ตากล้องไทย อาจไปไกลถึงออสการ์ “สอง-สยมภู มุกดีพร้อม” ผู้บันทึกภาพความรัก…ในหนังรักที่งดงามที่สุดของปีนี้ “Call Me by Your Name”

 

CallMeByYourName-st15

 

“ความมีชีวิตชีวาที่ดูรางเลือนในหนังนั้นให้ความรู้สึกเหมือนดูโปสการ์ดใบเก่า และชวนให้คิดถึงความทรงจำอันล้ำค่า” 

 

นักวิจารณ์จากนิตยสาร “วานิตี้แฟร์” กล่าวถึงงานถ่ายภาพในหนังเรื่อง “Call Me by Your Name” ซึ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังกล้อง หามุม วัดค่าแสง คือ ผู้กำกับภาพชาวไทย “สอง-สยมภู มุกดีพร้อม”

 

ก่อนจะได้มาเป็น “ผู้กำกับภาพ” (Director of Photography) ให้กับหนังรักที่ดังที่สุดในรอบปี 2017 เรื่องนี้ สยมภูเคยผ่านการร่วมงานกับผู้กำกับหนังชื่อดังชาวไทยมาแล้วมากมาย อาทิ “คงเดช จาตุรันต์รัศมี” (สยิว, เฉิ่ม), “ก้องเกียรติ โขมศิริ” (ไชยา) และคนที่ทำให้เขาได้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ คือ “อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล” (สุดเสน่หา, แสงศตวรรษ, ลุงบุญมีระลึกชาติ)

 

“ลูกา กัวดาญิโน” ผู้กำกับชาวอิตาเลียนเล่าว่า “สยมภูมาถ่ายหนังอิตาเลียนเรื่องหนึ่งที่ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ผมชอบงานของเขาจึงชวนมาทำ Call Me by Your Name ด้วยกัน”

 

กัวดาญิโนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับฉากหลังและภูมิทัศน์ของหนังมากๆ

 

“มนุษย์เราเป็นอย่างที่เราเป็นได้ก็เพราะสถานที่ที่เราอาศัยอยู่”

 

ดังนั้นก่อนจะร่วมงานกันอย่างเป็นทางการ กัวดาญิโนจึงชวนสยมภูมาทางตอนเหนือของอิตาลี เพื่อมาดูโลเคชั่นหลักที่เขาตั้งใจจะใช้เป็นฉากหลังของหนัง

 

“เราคุยกันถูกคอมาก เพราะเรามีวิธีการทำงานที่คล้ายๆกัน” ผู้กำกับเล่า “ผมชอบที่เขาเป็นผู้กำกับภาพที่มีความรู้สึกอ่อนไหว ผมสังเกตเห็นว่าเขาแอบร้องไห้ในบางฉากที่เราถ่ายทำ อารมณ์ของเขาจึงอยู่ในสิ่งที่เขาถ่ายด้วย”

 

CallMeByYourName-st13

CallMeByYourName-st03

CallMeByYourName-st09

CallMeByYourName-st14

 

สยมภูเล่าว่า “ผมมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตรงแถบเส้นศูนย์สูตรเลย เพราะฉะนั้นอากาศโดยเฉลี่ยจะเท่าๆ กันเกือบทั้งปี มันเป็นภูมิภาคที่ยากต่อการถ่ายแสงกลางคืนและแสงแดดเช้าให้ออกมาสวยงาม แต่ในอิตาลีคุณภาพแสงดีกว่าจนน่าตกใจ อากาศที่นั่นแห้งกว่า สีและความคอนทราสต์จึงทำงานได้ดีกว่า และการเปลี่ยนแปลงของอากาศและอุณหภูมินั้นก็สวยงามเหมือนบทกวี ผมตกหลุมรักเลย”

 

ข้อจำกัดหนึ่งที่กัวดาญิโนบอกกับสยมภูก็คือ เขาอยากถ่ายหนังเรื่องนี้โดยใช้เลนส์แค่ตัวเดียว (คือ 35 มม.) และถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม (ในยุคที่ทุกคนถ่ายด้วยกล้องดิจิทัลซึ่งง่ายกว่าและประหยัดกว่า)

 

“ผมต้องการสัมผัสแบบสายตามนุษย์จริงๆ ต้องการให้ภาพมันดูง่าย และตรงไปตรงมาที่สุด”

 

แต่ความยากลำบากในการถ่ายทำ ไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านั้น เพราะสภาพอากาศก็แปรปรวน จนทำให้มีฝนตกอยู่เกือบตลอดเวลา

 

“เราต้องรอว่าเมื่อไหร่ฝนจะหยุด หรือแสงจะมา สยมภูจะได้ถ่ายได้ทันที” กัวดาญิโนเล่า

 

ทั้งนี้ การถ่ายทำพร้อมกับสายฝนไม่ได้เป็นอุปสรรคกับสยมภูมากนัก

 

“ผมมาจากเมืองไทย ผมต้องเจอฝนระหว่างถ่ายทำบ่อยมาก ผมค่อนข้างชินว่า ถ้าเราจะจัดไฟเพื่อหลอกว่าเป็นแสงอาทิตย์ เราควรจะใช้ไฟแบบไหน แต่ถึงอย่างนั้น เวลาฝนตกลงมา ผมก็อดบ่นไม่ได้ว่า โธ่ อุตส่าห์มาไกลถึงอิตาลี ยังจะต้องเจอฝนอีกเหรอนี่”

 

สยมภูยังเล่าอีกว่า “ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมถ่ายมานั้น สีไหนปรับได้ในขั้นตอนโพสต์โปรดักชั่น แต่ส่วนตัวผมเองไม่ชอบความคิดแบบ ค่อยไปแก้ตอนโพสต์ก็ได้’ ผมอยากให้มันเสร็จเรียบร้อยจากการถ่ายทำมากกว่า”

 

งานภาพของ “สยมภู มุกดีพร้อม” ใน Call Me by Your Name” ออกมาสวยอย่างเป็นธรรมชาติ และกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักวิจารณ์จะยกขึ้นมาชื่นชม (ไม่มีใครมองออกเลยว่า หนังถ่ายทำในช่วงที่ฝนตกหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ในอิตาลี) และได้รับการคาดหมายว่างานกำกับภาพในหนังเรื่องนี้ จะต้องได้เข้าชิงรางวัลใหญ่ๆ ในทุกเวทีรางวัลที่กำลังจะมาถึง

 

Call Me by Your Name” เล่าเรื่องความรักครั้งแรกของ “เอลิโอ” เด็กหนุ่มวัย 17 ที่มีต่อ “โอลิเวอร์” นักศึกษาหนุ่มชาวอเมริกัน ท่ามกลางฉากหลังคือเมืองเครมา ชนบทเล็กๆ ทางตอนเหนือของอิตาลี หนังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา

 

ล่าสุด สยมภูได้เข้าชิงรางวัล “กำกับภาพยอดเยี่ยม” เวที “อินดิเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดส์” จาก “Call Me by Your Name” อันถือเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับหนังอิสระ หวังว่าคนไทยจะช่วยกันร่วมเชียร์และเป็นกำลังใจให้สยมภูได้เข้าชิงในทุกเวทีต่อจากนี้

 

แต่ก่อนอื่น ถ้าอยากมาสัมผัสภาพที่งดงามเหมือนบทกวีที่เคลื่อนไหวได้ อย่าพลาดชมCall Me by Your Name” ด้วยสายตาคุณเองบนจอภาพยนตร์ ตั้งแต่ 14 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป เฉพาะที่โรงภาพยนตร์ House RCA แห่งเดียวเท่านั้น

         

สอบถามรายละเอียดและรอบฉาย 0-2641-5177 หรือ FB/houseRCA

 

CallMeByYourName-Poster

ประวัติ “สอง-สยมภู มุกดีพร้อม”

“สยมภู มุกดีพร้อม”เป็นผู้กำกับภาพชาวไทย และเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ จากการร่วมงานกับผู้กำกับ “อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล” เขาเกิดเมื่อปี พ.ศ.2513 เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่ง จากนั้นไปศึกษาต่อที่ VGIK หรือสถาบันภาพยนตร์แห่งชาติรัสเซีย ณ กรุงมอสโคว

เมื่อเรียนจบกลับมาเมืองไทย เขาก็เริ่มต้นทำงานกับอภิชาติพงศ์ นับตั้งแต่เรื่อง “ดอกฟ้าในมือมาร” (Mysterious Object at Noon, ปี 2543), “สุดเสน่หา” (Blissfully Yours, ปี 2545), “แสงศตวรรษ” (Syndromes and a Century, ปี 2549) และ “ลุงบุญมีระลึกชาติ” (Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives, ปี 2553 ชนะรางวัลปาล์มทองคำ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์)

นอกจากนี้ยังเคยเป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์ของ “คงเดช จาตุรันต์รัศมี” อย่าง “สยิว” (ปี 2546) และ “เฉิ่ม” (ปี 2548) อีกทั้งยังถ่ายภาพให้ภาพยนตร์ไทยอีกหลายเรื่อง อาทิ “สตรีเหล็ก 2, แจ๋ว, Me…Myself ขอให้รักจงเจริญ, Last Summer ฤดูร้อนนั้นฉันตาย”

ในปี 2558 สยมภูได้รับการติดต่อจาก “มิเกล โกเมซ” ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวโปรตุเกส ให้ไปร่วมงานในหนังไตรภาคชุด “Arabian Nights” (2015) ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์

ในปีเดียวกันนั้น สยมภูได้ไปถ่ายภาพยนตร์อิตาเลียนชื่อ “Antonia.” (ปี 2015, กำกับโดย “แฟร์ดินานโด ชิโต ฟิโลมาริโน”) และได้พบกับ “ลูกา กัวดาญิโน” ซึ่งนั่งตำแหน่งโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว จากนั้นกัวดาญิโนจึงชักชวนให้สยมภูมาเป็นผู้กำกับภาพให้กับหนัง 2 เรื่องของเขา คือ “Call Me by Your Name” (2017) และ Suspiria (2018)


Featured News