ครั้งสุดท้ายที่ “เดมี มัวร์” และ “อเล็ก บอลด์วิน” แสดงหนังด้วยกันคือใน “The Juror” หนังดราม่าขึ้นโรงขึ้นศาลเมื่อปี 1996 หลายปีผ่านไปมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งคู่จะกลับมาพบกันอีกครั้งใน “Blind” หนังโรแมนติกดราม่าของผู้กำกับ “ไมเคิล เมลเลอร์”
ในเรื่อง มัวร์จะรับบทเป็น “ซูซาน” ภรรยาของอาชญากรนักธุรกิจ “มาร์ก ดัตช์แมน” (ดีแลน แม็คเดอร์ม็อตต์) ในขณะที่มาร์กถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก ทางฝั่งของซูซานเองถูกศาลตัดสินให้ต้องทำงานรับใช้สังคมในฐานะที่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอตัดสินใจทำงานช่วยเหลือนักเขียนและศาสตราจารย์ตาบอด “บิล โอกแลนด์” ตัวละครของบอลด์วิน ด้วยการอ่านหนังสือให้เขาฟังเป็นเวลา 100 ชั่วโมง จากความสัมพันธ์ที่เหมือนจะเข้ากันไม่ค่อยดี แต่ความรู้สึกของทั้งคู่ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะแยกขาดกันได้
คุณบอกอะไรถึงตัวละคร “ซูซาน” ที่คุณสวมบทบาทได้บ้าง
มัวร์: เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ใช้ชีวิตอยู่บนความจริงหรือความเป็นจริง แม้ว่าเมื่อมองจากภายนอก เธอจะเหมือนมีทุกอย่าง แต่เมื่อโลกของเธอพังทลาย เธอก็สูญสิ้นทุกอย่างทั้งรากฐาน ตัวตน และสัมผัสการรับรู้ เธอไม่มีเข็มทิศคอยนำพาชีวิตให้เดินไปในทางที่ใช่ เธอหันหน้าเดินไปยังอีกทิศ ซึ่งกลับกลายเป็นว่ามันช่วยเธอเอาไว้
แล้วคุณบอกอะไรได้บ้างถึงตัวละคร “บิล โอกแลนด์” ของคุณ
บอลด์วิน: ตอนที่ผมไปพบเจอคนตาบอด โดยเฉพาะคนที่เคยสายตาปกติมาก่อนแล้วมาสูญเสียการมองเห็นภายหลัง ผมอึ้งไปเลยเมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องใช้พลังงานที่มีทั้งหมดเพื่อผ่านพ้นแต่ละวันไปในฐานะคนตาบอด ถ้าเป็นผม ผมคงจะแค่กลับบ้าน ต้มน้ำซุป แล้วก็นอนแค่นั้น มันดูเป็นเรื่องน่าเหนื่อยเหลือเกิน โดยเฉพาะการต้องไปไหนมาไหนในนิวยอร์ก แต่พวกเขาเหล่านี้ถือเป็นคนกล้าและแกร่ง พวกเขาสามารถเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองนิวยอร์กก็ได้ ยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ได้พบเจอผู้คน ได้ใช้ชีวิต ได้สานต่อความสัมพันธ์ที่ดูสุ่มเสี่ยงเหมือนกันคนปกติ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร มีชีวิตบางรูปแบบที่ผู้คนอยากมีและมีหลายสิ่งที่ผู้คนอยากได้มาครอบครอง สำหรับผมทุกวันนี้ผมแต่งงาน มีลูกแล้วเมื่อผมเห็นเด็กๆ มีความสุข หรือส่งเสียงร้องเมื่อพวกเขารู้สึกพึงพอใจ และเมื่อพวกเขารู้สึกถึงคามรักและความปลอดภัย ผมจะมาคิดกับตัวเองว่ายังขาดเหลืออะไรอีกนะ ฉันมีความสุขจังเลย มันมีบางเส้นทางที่ผมต้องลองเดินดูก่อนถึงจะเข้าใจความรู้สึก ซึ่งผมก็คิดอย่างนั้นกับบิลด้วย ผมไม่แน่ใจว่าบิลเองอยากเดินทางสายนี้ด้วยจริงไหม แล้วเมื่อเขาได้พบกับซูซาน เธอคือคนที่ทำให้เขาคิดว่า เขาอยากจะลองคว้าโอกาสนั้นดู เพราะถ้าเกิดมันออกมาดีล่ะก็ เขาก็จะมีความสุขมากๆ
มัวร์: แล้วกับซูซาน ฉันคิดว่าเธอใช้ชีวิตอยู่แต่กับสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่มองไม่เห็นอย่างลึกซึ้งและเปี่ยมความหมาย มันได้ปลุกตัวตนที่เคยสูญเสียไปให้คืนกลับมา
การที่คุณรับบทเป็นตัวละครที่ไขว่คว้าหาความรักและการแต่งงาน การอยู่กับสามีที่ร่ำรวย เป็นสิ่งที่เย้ายวนใจเหลือเกิน เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมมาก
มัวร์: ฉันเคยเห็นมาเยอะค่ะ ผู้หญิงที่ยอมโอนอ่อนผ่อนปรนเพื่อให้ความสัมพันธ์อยู่รอด สำหรับในกรณีนี้ เธอถึงขั้นยอมลาออกจากหน้าที่การงาน ยอมละทิ้งสิ่งที่สำคัญต่อตัวเธอ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับสามี แต่สุดท้ายเธอก็เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งของที่เขาครอบครองก็เท่านั้น
มันเหมือนกับว่าสามีก็รักเธอในแบบของตัวเองเหมือนกันนะ แม้ว่ามันจะบิดเบี้ยวไปหน่อย
มัวร์: ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ แต่มันคือการแสดงความรักว่าเป็นเพียงวัตถุ ฉันรักไอศกรีมนะ แต่ฉันก็รักเธอด้วย มันคือการหานิยามให้กับความรัก แต่ความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีทางมองเห็นได้ นั่นต่างหากคือปัจจัยที่น่าสนใจ ตัวละครทั้งหมดในเรื่องต่างเผชิญหน้ากับความสูญเสีย และสำหรับซูซานกับบิล มันคือโอกาสในการปลุกอะไรบางอย่างขึ้นมา ซึ่งมันอาจไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว
บอลด์วิน: น่าสนใจว่าในระยะหลังๆ ผมเองมีเพื่อนจำนวนหนึ่งที่เป็นแบบนี้เหมือนกัน คนที่มาค้นเจอตัวเองหลังจากใช้ชีวิตมานาน พวกเขาแต่งงาน มีลูก ผู้หญิงเองเป็นแม่คน เธออาจมีหน้าที่การงานที่ยิ่งใหญ่ ส่วนผู้ชายเองมีเงินมีทองมากมาย แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็พลิกผัน สิ่งที่เคยผูกสัมพันธ์และรวมพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวหายไป พวกเขาคิดถึงตอนที่อะไรๆ ยังไม่ยุ่งยากแบบนี้ ผมคิดว่าสำหรับซูซาน เธออยู่กับคนที่… ถ้าเขาฉลาดพอล่ะก็ เขาคงใช้เวลา 1 ปีหยุดงานแล้วแก้ไขปัญหาครอบครัวไปแล้ว พวกเขาจะไปที่ไหนกันก็ได้ จะทำอะไรด้วยกันก็ได้ บางทีอาจไปเช่าเรือยอชต์ แล้วไปเที่ยวยุโรปด้วยกันก็ได้
มัวร์: แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสำหรับคนที่เคยได้ครอบครองอะไรอย่างนั้นแล้ว มันไม่มีคำว่าพอ ฉันหมายถึงดูอย่าง “เอล ชาโป” (นักค้ายาเสพติดชื่อดัง) เป็นตัวอย่างสิ! (ทั้งคู่หัวเราะ)
บอลด์วิน: ในชีวิตของบิลไม่มีอะไรที่สวยงามเลย ถึงอย่างนั้นมันก็มีความเรียบง่ายแฝงอยู่ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ที่ซูซานโหยหา สามีของเธอหลงลืมไปว่าตัวเธอเองเป็นใคร แต่คุณต้องหาทางรักษาภรรยาของคุณให้ยังคงสถานะความเป็นแฟน ไม่ใช่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นความสัมพันธ์ของเจ้านายกับลูกน้อง
ใน “Blind” เล่าเรื่องราวชีวิตของคนทำงาน คนบ้างาน การบ้างานถือปัญหาที่จริงจังมากๆ ซึ่งยังไม่ค่อยถูกนำมาพูดถึงหรือสำรวจเสียเท่าไหร่
มัวร์: เพราะมันถูกยกย่องว่าเป็นการทำเพื่อให้เกิดการผลิต ให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้น แต่มันมีเส้นแบ่งอยู่ว่าตรงจุดไหนคือมากเกินไป เมื่อผู้คนบ้างานเกินไป พวกเขาจะใช้มันเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิต และการเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งอื่นๆ
บอลด์วิน: ผมเองรู้จักกับหลายคนที่ยึดติดในสิ่งที่ตัวเองทำมาโดยตลอด พวกเขายึดติดกับอำนาจ แต่มันไม่ได้มีแค่เรื่องของเงินและอำนาจ มันเป็นอะไรที่เป็นเอกลักษณ์
มัวร์: มันคือเรื่องของผลประโยชน์ มันคือการเสพติดผลประโยชน์
บอลด์วิน: นั่นก็ใช่ แต่กับการทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์ สิ่งที่พวกเราทำอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นงานที่พิเศษ ผมรู้จักคนที่อยากทำงานในกองถ่ายมากกว่าที่ไหนๆ บนโลก พวกเขาไม่อยากหยุดงานเลยจริงๆ
“Blind เล่ห์รักบอด”
14 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์