“นามปากกา” คือสิ่งที่นักเขียนสร้างขึ้นเพื่อเป็นสิ่งที่ทั้งปกปิดตัวตน หรือสร้างตัวตนในรูปแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อก้าวข้ามความเป็น “ต้วตน” ที่แท้จริงของตนเอง นักเขียนไม่น้อยใช้ชื่อจริงในการสร้างสรรค์ผลงาน แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ใช้นามปากกาเพื่อที่จะใช้ในการแต่งเรื่องโดยเฉพาะ
จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณสามารถสร้างร่าง “อวตาร” ของคุณได้นอกเหนือจากแค่นามปากกาบนหน้าหนังสือ เรื่องราวของ “JT LeRoy” คือคำตอบนั้น เพราะมันจัดว่าเป็นคดีลวงโลกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในวงการวรรณกรรมอเมริกันเลยก็ว่าได้
“JT LeRoy” กำกับโดย “จัสติน เคลลี” (I Am Michael, King Cobra) โดยสร้างมาจาก “Girl Boy Girl: How I Became JT Leroy” หนังสือบันทึกความทรงจำของ “ซาวานนาห์ นูป” ที่ต้องมารับบทเป็น “เจที ลีรอย” (เจเรอไมอาห์ เทอร์มิเนเตอร์ ลีรอย) เด็กหนุ่มที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงแต่เป็นการผสมสร้างระหว่างจินตนาการและชีวิตจริงของ “ลอรา อัลเบิร์ต” นักเขียนชาวอเมริกันที่ไม่เพียงแต่เขียนหนังสือในนามปากกา “เจที ลีรอย” แต่เธอยังสร้างเรื่องราวของเขาให้กลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวละครแทนตัวของเธอเอง ในหนังสือสามเรื่องคือ “Sarah” (1999), “The Heart Is Deceitful Above All Things” (1999) และ “Harold’s End” (2005)
เธอเขียน “เขา” ให้เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกแม่บังคับให้ขายตัวเป็นทาสบำเรอกามในจุดพักรถบรรทุกตั้งแต่เล็กๆ (อัลเบิร์ตเขียนให้เพศภาพของเขากำกวมโดยบอกว่าเป็น กะเทย) ชีวิตของเจทีพบวิบากกรรมเหลือคณานับ ทั้งติดเฮโรอีนตั้งแต่อายุ 13 และต้องใช้ชีวิตข้างถนนในซานฟรานซิสโก ติดเชื้อ HIV และเคยพยายามฆ่าตัวตาย ทำร้ายตนเอง รวมถูกทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและทางเพศ ชีวิตของเขามีแต่ความเจ็บปวดและเป็นผู้ถูกกระทำ รวมถึงความรักของเขาก็เกี่ยวข้องกับความรุนแรง เปรียบเสมือนว่าความเจ็บปวดคือสิ่งที่ทำให้เขาได้สัมผัสความเป็นมนุษย์และเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ
ชีวิตรันทดของ “เจที ลีรอย” กลายเป็นเหมือนกับละครบทโศกที่ทำให้ผู้อ่านติดงอมแงม แต่ทุกอย่างมันเป็นแค่คำลวงที่อัลเบิร์ตปั้นแต่งขึ้นมาหรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ อัลเบิร์ตเคยผ่านชีวิตที่โหดร้ายและโศกสลดไม่แพ้กัน เธอมีปัญหาในชีวิต เคยทำอาชีพเป็นผู้ให้บริการทางเพศและยังเคยคิดที่จะฆ่าตัวตาย ในสมัยวัยรุ่นเธอเคยโทรศัพท์ไปหาสายด่วนช่วยเหลือผู้มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย และพบว่าเธอสามารถเล่าเรื่องชีวิตของเธอได้อย่างสะดวกใจมากกว่าหากเล่าว่าเธอเป็นเด็กผู้ชาย อีกทั้งเคยปรึกษาจิตแพทย์โดยใช้นามปากกาว่า “เทอร์มิเนเตอร์” และพบว่าการเล่าเรื่องในมุมของผู้ชายได้รับความสนใจมากกว่า เมื่อจิตแพทย์ได้แนะนำว่าให้ “เขา” ซึ่งเป็นตัวตนที่เธอสร้างขึ้นมาเขียนระบายเรื่องราวออกมาเป็นการช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ทางสภาพจิตใจ
จาก “เทอร์มิเนเตอร์” กลายมาเป็น “เจที ลีรอย” เด็กหนุ่มที่เกิดขึ้นจากความทรงจำที่เจ็บปวดของ “ลอรา อัลเบิร์ต” ที่เธอเลือกที่จะสร้างเจทีขึ้นมาแทนตัวของเธอ เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า เจทีคือ “Phantom Limb” (อวัยวะที่ไม่มีอยู่จริง) ของเธออันเนื่องมาจากผลพวงของการถูกทำร้ายทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ และเธอตั้งใจเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นงานศิลปะ
“ฉันต้องทุกข์ทนกับสภาวะลื่นไหลทางเพศตั้งแต่ยังไม่มีคำนิยามให้กับมัน ฉันจึงสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาทั้งบนหน้ากระดาษ และนอกกระดาษเพื่อเป็นเสมือนตัวแทนของการมีชีวิตอยู่”
ปี 2001 เจที ลีรอยได้ถือกำเนิดขึ้นและมันทำให้อัลเบิร์ตได้ก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ของชีวิต เมื่อหนังสือของเธอติดอันดับ Bestseller ก็เกิดกระแสเรียกร้องอยากพบตัวเจที ลีรอย จนอัลเบิร์ตไม่กล้าที่จะเผยตัวว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นหญิงวัยกลางคนไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ทุกคนหลงรักและอยากทำความรู้จักกับเขาจนต้องไปขอความช่วยเหลือจาก “ซาวานนาห์ นูป” น้องสาวของสามีของเธอให้มาเป็น “ร่าง” ของเจที โดยเธอจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ “เอมิลี เฟรเซอร์” หรือ “สปีดี” และปฏิบัติการลวงโลกของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีเหล่าคนดังที่หลงใหลในผลงานของอัลเบิร์ตเป็นตัวเร่งทำให้ชื่อเสียงของเจที ลีรอยโด่งดังเข้าไปอีก เจที ลีรอยได้รับเชิญไปงานเลี้ยงต่างๆ มากมายในฐานะเซเลบริตีที่ทุกคนอยากรู้จัก แม้ว่าเขาจะปรากฏกายในรูปลักษณ์บุคคลที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพศอะไรกันแน่ และยังทำตัวประหลาดสวมวิกและใส่แว่นตากันแดดตลอดเวลา แต่ในยุคนั้นความแปลกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับวงการฮอลลีวูด สำหรับโลกมายาที่มีคนมากมายพยายามสร้างคาแร็กเตอร์ให้กับตัวเองและคบหากันอย่างฉาบฉวย
เมื่อ “นักแสดง” เจอกับ “นักแสดง”
พฤติกรรมของ “ซาวานนาห์ นูป” ความจริงแล้วอาจจะไม่ได้แตกต่างจากเหล่านักแสดงที่ทำหน้าที่สวมบทบาท “บุคคลอื่น” ผ่านสื่อกลางอย่างภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ แต่สิ่งที่เธอทำไปนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับใครหลายคน เพราะ “เวที” ที่เธอใช้เสนอบทบาทนั้นคือโลกแห่งความเป็นจริง
เมื่อตัวตนของ “เจที ลีรอย” กลายเป็นที่รู้จักในวงสังคม เป็นเรื่องปกติที่เหล่าคนดังทั้งหลายต่างอยากมาทำความรู้จัก… นักแสดงสาว “วิโนนา ไรเดอร์” ออกมาคุยโวว่าเธอรู้จักกับเขาตั้งแต่ยังไม่เป็นนักเขียนและยังใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนน, “โบโน” แห่งวง U2 เคยเป็นที่ปรึกษาให้เขา, ผู้กำกับดัง “กัส แวน แซงต์” บอกว่าอยากร่วมงานด้วย, “มาดอนนา” อยากชวนมาเข้าลัทธิ Kabbalah ถึงขั้นส่งหนังสือหลักคำสอนไปให้, วงร็อกชื่อดังอย่าง “Garbage” ยังแต่งเพลงถึงเขา, เขาถึงขั้นได้ขึ้นปกหนังสือ “Vanity Fair” เมื่อปี 2003 เรียกได้ว่าคนดังในยุคนั้นทุกคนอยากมีชื่อเกี่ยวข้องกับเขากันหมด “ลิฟ ไทเลอร์” และ “คอร์ตนีย์ เลิฟ” ยังโทรศัพท์ไปคุยกับเขาอยู่นานนับชั่วโมงเพราะรู้สึกสงสารที่เขาเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ
แต่คนที่ต้องเสียใจกับตัวตนอุปโลกน์ของซาวานนาห์ นูปมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น “เอเชีย อาร์เจนโต” นักแสดงหญิงชื่อดังชาวอิตาลี ทายาทของผู้กำกับระดับตำนาน “ดาริโอ อาร์เจนโต” เพราะทั้งสองสนิทสนมกันจนเป็นคนรักและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง
เอเชียได้พบกับซาวานนาห์ซึ่งกำลังสวมบทบาทเจที ลีรอยระหว่างที่ไปทัวร์โปรโมตหนังสือเล่มสุดท้ายเรื่อง “Harold’s End” ที่อิตาลี แต่ก่อนหน้านี้เอเชียเคยเขียนอีเมลมาพูดคุยกับเขามาระยะหนึ่งแล้วโดยลอรา อัลเบิร์ตเป็นผู้ตอบจดหมายให้ เอเชียหลงใหลในงานเขียนชุดนี้มากถึงขั้นดัดแปลง “The Heart Is Deceitful Above All Things” หนังสือนวนิยายปี 1999 มาเป็นหนังชื่อเดียวกันเมื่อปี 2004
ในวันแถลงข่าวซาวานนาห์ตื่นเต้นจนตัวสั่น เธอกลัวไม่น้อยว่าจะถูกจับได้ว่ากำลังหลอกทุกคนในโลก แต่เมื่อนักข่าวถามคำถามว่าทำไมเขาต้องใส่วิกและสวมแว่นตา เธอกลับสามารถตีมาดนิ่งตอบคำถามว่าเป็นเพราะต้องการรักษาความเป็นส่วนตัวและไม่อยากให้คนจำได้ เจที ลีรอยสามารถเป็นรูปลักษณ์แบบไหนก็ได้แล้วแต่ใครจะคิด และสำหรับเรื่องที่บอกว่าเสียงเหมือนผู้หญิงนั้นเธอก็ขอขอบคุณ
ด้วยคำพูดยอกย้อนแบบมีสไตล์และเสน่ห์ดึงดูดอันประหลาดทำให้ทุกคนเชื่อว่าเธอคือเจที ลีรอยตัวจริงแบบไม่มีข้อกังขา และเอเชียก็คือหนึ่งในคนที่เชื่ออย่างสุดใจ ทั้งสองคบกันเหมือนคู่รักทั่วไปและเริ่มเปิดใจให้กันจนซาวานนาห์บอกชื่อจริงของเธอให้เอเชียรู้ แต่เธอก็ไม่เคยเรียกและยังคงเรียกเขาว่าเจทีตามเดิม เอเชียอาจจะรู้อะไรบางอย่างว่า เจที ลีรอยคนนี้มีอะไรที่ปิดบังโลกเอาไว้ แต่เธอก็บอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพื่อให้เธอมีภาพลักษณ์เป็นเหยื่อเหมือนคนอื่นๆ
เมื่อความลับเปิดเผย
ปี 2006 นับเป็นเวลา 6 ปีเต็มที่ซาวานนาห์สวมบทบาทเป็นเจที ลีรอย แต่แล้วหน้ากากของเธอก็ถูกกระชากออกโดย “วอร์เรน เซนต์จอห์น” นักข่าวมือฉมังของ “The New York Times” ที่รวบรวมหลักฐานสำคัญจาก “จอฟฟรีย์ นูป” พี่ชายของซาวานนาห์ซึ่งออกมายืนยันว่าเจที ลีรอยคือน้องสาวของเขานั่นเอง และภรรยาของเขา “ลอร่า อัลเบิร์ต” จึงจำใจออกมายอมรับว่าเธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด
เมื่อถามซาวานนาห์ว่ารู้สึกผิดไหมที่หลอกทุกคนโดยเฉพาะเอเชียที่เป็นคนรักกัน ซาวานนาห์ตอบว่าเธอรู้ว่าเอเชียโกรธมากหลังจากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง แต่ถ้ารู้สึกผิดไหม เธอก็ตอบไม่ได้เพราะคิดว่าที่ผ่านมาเอเชียน่าจะรู้อะไรบางอย่างมาตลอด เธอได้อ่านคำพูดของเอเชียที่บอกว่าไม่เคยสงสัยว่าเจที ลีรอยเป็นผู้หญิง เพราะเห็นว่ามีขนหน้าแข้งเยอะกว่าผู้หญิงทั่วไป เรื่องนี้ซาวานนาห์ไม่คิดอย่างนั้นเพราะพวกเขามีเซ็กซ์กัน และเอเชียคงจะเป็นคนที่อ่อนต่อโลกมากๆ หากจะเชื่อว่าใครคนหนึ่งจะสามารถแปลงเพศได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ด้านลอรา อัลเบิร์ตก็ออกมาเปิดเผยว่าเอเชียเข้ามาตีสนิทและมีความสัมพันธ์กับเจที ลีรอยเพราะอยากจะได้สิทธิ์ในการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่โปรดิวเซอร์และผู้กำกับภาพยนตร์ยุคนั้นชอบทำกัน และนอกจากนี้จากการถูกเปิดโปงทำให้อัลเบิร์ตต้องเผชิญต่อการฟ้องร้องจาก “Antidote International Films” ซึ่งได้ลิขสิทธิ์ในการสร้างหนังเรื่อง “Sarah” ที่ดัดแปลงจากหนังสือของเธอด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้วเธอต้องจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์คืนให้พร้อมกับเงินค่าเสียหาย
“ซาวานนาห์ นูป” กับการได้ “คริสเตน สจวร์ต” มารับบท
นูปได้พบกับ “จัสติน เคลลี” ในปี 2009 ผ่านทางเพื่อนของพวกเขาในกลุ่ม LGBTQ เพื่อนของทั้งสองคนแนะนำเคลลีให้นูปรู้จักและส่งหนังสั้นของเคลลีมาให้ดู เธอรู้สึกทึ่งไปกับผลงานของเขาและคิดว่าเขามีจังหวะที่สามารถไปด้วยกันได้ ทำให้เธอตัดสินในร่วมทำโปรเจกต์หนังเรื่องนี้ โดยร่วมเขียนบทและเป็นที่ปรึกษาให้กับหนัง เธอได้ไปที่กองถ่ายเพื่อพบปะนักแสดง ทั้ง “คริสเตน สจวร์ต” ผู้รับบทเป็นเธอ และ “ลอรา เดิร์น” ผู้รับบทเป็น “ลอรา อัลเบิร์ต” แรกเริ่มนูปคิดว่าเธอจะแค่ไปที่กองแค่ช่วงต้นๆ ของการถ่ายทำ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าเธอได้อยู่กับกองถ่ายตลอดจนจบเพื่อที่จะเป็นที่ปรึกษาให้กับนักแสดงทั้งสองเกี่ยวกับการนำเสนอตัวละคร ในขณะเดียวกันเธอก็เหมือนได้ทบทวนชีวิตของเธอผ่านทางการแสดงของสจวร์ตด้วย
“การได้ดูคริสเตนแสดงเป็นสิ่งที่มันทำให้ฉันเกิดความกระจ่างมากขึ้น เพราะเธอแสดงออกมาเป็นตัวละครที่แตกต่างกัน ระหว่างการเป็นซาวานนาห์และเจที แต่สำหรับฉันเองแล้วตอนเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น ทั้งสองคนไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ฉันเองก็แยกไม่ได้ว่าใครคือซาวานนาห์ ใครคือเจที และอะไรจะเกิดขึ้นในแต่ละวัน”
“คริสเตน สจวร์ต” กับการเป็น “เจที ลีรอย”
“คริสเตน สจวร์ต” เรียกได้ว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการแสดงเป็น “ซาวานนาห์ นูป / เจที ลีรอย” เธอเติบโตมาจากการเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็ก และโด่งดังไปทั่วโลก กับการเแสดงแฟรนไชส์แวมไพร์สุดโรแมนติกอย่าง “Twilight” เคยตกเป็นเป้าสายตาของประชาชนในการจับตาเรื่องความรักกับ “โรเบิร์ต แพตทินสัน” กลายเป็นข่าวฉาวในการเป็นมือที่สามของชีวิตครอบครัวของผู้กำกับ “โรเบิร์ต แซนเดอร์ส” แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้ เธอรับงานที่หลากหลาย และกลายเป็นนักแสดงที่ได้รับการยอมรับทางด้านฝีมือ เธอได้รางวัล “César Awards” สาขา “นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม” จากการแสดงในเรื่อง “Clouds of Sils Maria” (2014) และเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่าเป็นว่าเป็นเลสเบี้ยนในปี 2017 และหลังจากนั้นชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป สจวร์ตกลายมาเป็นไอคอนของเหล่า LGBTQ และผู้ทรงอิทธิพลทางด้านแฟชั่น
สจวร์ตเผยว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องราวของเจที ลีรอยมาก่อนจนกระทั่งได้ถูกเสนอบทให้เล่นหนังเรื่องนี้ ทำให้เธอได้ไปศึกษาเพิ่มเติมทั้งหนังสารคดีและอ่านหนังสือของนูปและสอบถามข้อมูลต่างๆ จากเธอโดยตรง เธอเผยว่าเธอเลียนแบบท่าทางของเจทีได้จากภาพและฟุตเทจเก่าๆ แต่ว่าการแสดงเป็นซาวานนาห์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
“ซาวานนาห์เป็นมนุษย์ที่แตกต่างออกไป เธอไม่ใช่คนไม่มีความมั่นใจ เธอไม่ได้ขี้อาย และเป็นคนประหลาดอย่างเจที เธอค่อนข้างเปิดเผย เธอผ่านเรื่องราวที่ต้องทนทุกข์กับการถูกประณามและความระทมในการรับบทเป็นเจทีมาแล้ว ซึ่งฉันเองก็เข้าใจในจุดนี้ในการพยายามต่อสู้เพื่อเป็นสิ่งอื่น และเมื่อเธอหยุดแสดงเป็นเจที เธอรู้สึกเหมือนกับสูญเสียตัวตนไป และต้องใช้เวลาในการกลับมาเป็นตัวตนของตัวเอง มันยากมากที่จะต้องแสดงเป็นเธอเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอได้เผชิญมา และเปรียบเทียบกับตัวตนที่แท้จริงของเธอซึ่งเป็นคนที่จริงใจมาก”
“JT LeRoy แซ่บลวงโลก”
20 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์