“อีจองแจ“ นักแสดงหนุ่มเกาหลีมากฝีมือผู้ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงชื่อดังระดับโลก หลังจากฝากงานแสดงเหนือระดับในซีรีส์เรื่องดัง “Squid Game” (2021) จนทำให้เขาคว้ารางวัล “SAG Awards 2022” สาขา “นักแสดงชายยอดเยี่ยมในซีรีส์ดราม่า” รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขา-เรื่องเดียวกันจาก “ลูกโลกทองคำ 2022” และ “Emmy Awards 2022” ทำให้เขากลายเป็นที่กล่าวขวัญ จับตามอง และถูกยกให้เป็นนักแสดงคุณภาพระดับเอลิสต์จนเป็นที่รู้จักในระดับสากล
ในปี 2022 นี้ถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถอันโดดเด่นของเขาไปอีกขั้นกับ “ครั้งแรก” ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้กำกับ-เขียนบทภาพยนตร์” รวมถึง “แสดงนำ” ใน “Hunt ล่าคนปลอมคน” ภาพยนตร์แอ็กชันสายลับสุดเดือดแห่งปีที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยการนำผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาไปฉายโชว์สาย “Midnight Screenings” ใน “เทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด” (2022 Cannes Film Festival) ที่ได้รับเกียรติหลังฉายจบด้วยการยืนปรบมือ (Standing Ovation) ยาวนานกว่า 7 นาที พร้อมกวาดคำชมมาอย่างล้นหลาม ซึ่งมีผู้กำกับไม่มากนักที่จะสามารถขึ้นมาสู่จุดนี้ได้
เส้นทางในวงการบันเทิงกว่า 30 ปีของเขาเริ่มจากผลงานการแสดงซีรีส์เรื่องแรก “Dinosaur Teacher” ตั้งแต่ปี 1993 จากนั้นก็สามารถคว้ารางวัล “นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม” หลายสถาบันจาก “The Young Man” (1994) ต่อด้วยงานแสดงอีกหลากหลาย “Sandglass” (1995), “An Affair” (1998), “City of the Rising Sun” (1998) จนมาถึง “Il Mare” (2000) ภาพยนตร์รักสุดโรแมนติกที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นในบ้านเรา หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานการแสดงคุณภาพไม่ยิ่งหย่อนออกมาอย่างต่อเนื่องแทบทุกปี ไม่ว่าจะเป็น “The Housemaid” (2010), “The Thieves” (2012), “New World” (2013), “Assassination” (2015) รวมถึงหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง “Along With the Gods: The Two Worlds” (2017), “Along with the Gods: The Last 49 Days” (2018), “Deliver Us from Evil” (2020) และซี่รีส์สุดฮอต “Squid Game” (2021) ที่ส่งให้เขาโด่งดังในระดับโลกและได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานก้าวขึ้นสู่การทำงานเบื้องหลังในฐานะ “ผู้กำกับ-เขียนบท” เป็นครั้งแรกนอกเหนือจากงานแสดงระดับมืออาชีพใน “Hunt ล่าคนปลอมคน” ที่ทำให้อีจองแจถึงขั้นนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ล่าสุดหลังจากเข้าฉายในบ้านเกิดหนังก็สามารถสร้างกระแสแรงเปิดตัวอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศเกาหลี โดยมียอดผู้ชมกว่า 2 ล้านคนแค่เพียงสุดสัปดาห์แรก
ความรู้สึกที่ “Hunt” ได้ถูกเชิญให้ฉายอย่างเป็นทางการในสาย “Midnight Screenings” ของ “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 75” (2022)
มีหลายคนที่มองเห็นความสนุกและประเด็นของเรื่อง ภาพยนตร์เรื่องนี้เราร่วมแรงร่วมใจสร้างกันขึ้นมา ก็ต้องขอบคุณทั้งเหล่าทีมงานและนักแสดงทุกท่านมากๆ ครับ ในตอนท้ายของการฉายภาพยนตร์ผมทั้งตกใจและเขินที่ได้รับเสียงปรบมือนานที่สุดที่เคยได้รับในชีวิตเลย
“Hunt” เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับอะไร
“Hunt” เป็นภาพยนตร์แอ็กชันสายลับชิงไหวชิงพริบกัน มันเล่าเรื่องของคนที่ต้องทำอะไรขัดกับความเชื่อและหลักการของตัวเอง เรื่องราวของการตามหาสายลับที่แฝงตัวอยู่ในองค์กร “KCIA” (Korean Central Intelligence Agency) โดยผมรับบท “พัคพยองโฮ” และ “คิมจองโด” รับบทโดย “จองอูซอง” ระหว่างการค้นหาตัวสายลับทำให้ทั้งสองคนเกิดความสงสัยในกันและกัน และต้องมาเจอกับคดีลอบสังหารคนสำคัญเบอร์หนึ่งของเกาหลีทำให้เกิดเรื่องพลิกล็อกและเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ
ถ้าจะให้แนะนำตัวละคร “พัคพยองโฮ” ที่คุณรับบทในเรื่องนี้ในฐานะนักแสดง
ตัวละคร “พัคพยองโฮ” ที่ผมรับบทในเรื่อง “Hunt” ในฐานะหัวหน้าทีมหน่วยข่าวกรองต่างประเทศเป็นคนที่ใช้เหตุผล แล้วก็เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ห่วงใยเพื่อนร่วมงาน แต่พอได้รู้ข่าวว่ามีสายลับอยู่ในองค์กรก็ต้องมาระแวงเพื่อนร่วมงานไปจนถึงถูกสงสัยว่าตัวเขาเองก็คือสายลับ แต่ก็ยังพยายามสุดตัวเพื่อจะตามหาสายลับที่ซ่อนอยู่ในองค์กรครับ
คุณแยกระหว่าง “พยองโฮ” ที่ทำงานให้ “KCIA” มา 13 ปี กับอดีตทหารบกอย่าง “จองโด” ผ่านเครื่องแต่งกายและทรงผมได้อย่างไร
หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวละครชาย ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ “KCIA” ดังนั้นทั้งชนิดเสื้อผ้าและสีสันจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ทีมเสื้อผ้าเตรียมเน็กไทวินเทจและเครื่องประดับจากยุคนั้นไว้เพียบเพื่อแสดงเอกลักษณ์ของแต่ละตัวละครออกมา พวกเขาช่วยกันออกแบบเครื่องแบบของทหารไทย, ตำรวจ, เจ้าหน้าที่รัฐ และคนจากกองทัพ
คาแร็กเตอร์ของตัวละครใน “Hunt” คุณวางแต่ละคนเป็นแบบไหน
ผมอยากให้ตัวละครทุกตัวมีคุณค่า “จองโด” ผมอยากให้เขาเริ่มจากการเป็นคนเยือกเย็นไปจนถึงที่เขาบันดาลโทสะแบบไม่เลือกหน้าในช่วงท้าย “จู-คยอง” เป็นตัวโจ๊กตัวเดียวในเรื่อง แต่เขาจำเป็นต่อจุดหักมุมของเรื่องมาก “ชอลซอง” เป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของจอมทรราช ผมอยากให้เขาเป็นบัวใต้ตม ไม่เคยรู้ตัวว่าโดนล้างสมองมาตลอด “ยูจอง” ไม่ได้โผล่มาบ่อย แต่เธอเป็นตัวละครที่ใกล้ชิดกับตัวละครปริศนาของเรื่องที่สุด เธอขยะแขยงในการกระทำของคนรุ่นก่อน แต่เธอได้คำตอบของชีวิตที่เฝ้าตามหาจาก “พยองโฮ”
“Hunt” มีส่วนผสมของแอ็กชันดราม่าสายลับ แต่ยังมีความเป็นสงครามจิตวิทยาที่สองตัวละครนำทำใส่กันตลอดทั้งเรื่อง คุณถ่ายทอดประเด็นดังกล่าวลงในหนังได้อย่างไร
มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ “พยองโฮ” และ “จองโด” เจอกับเรื่องคอขาดบาดบาดตายเสมอให้พวกเขาห้ำหั่นกันตลอด เมื่อเจตนาที่แท้จริงของพวกเขาถูกเปิดเผยในองก์ที่สามของเรื่อง ประเด็นมันจะยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น การผูกเรื่องในองก์แรกและองก์ที่สองมันยากพอสมควร
ระหว่างการกำกับเรื่อง “Hunt” ให้ความสำคัญกับจุดไหนบ้าง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องมีความสนุกก็จริง แต่ว่าผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกับหลายๆ คนเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ถึงแม้จะนำเรื่องที่เกิดในยุค 80 ขึ้นมาทำ แต่ผมคิดว่ายุค 80 กับตอนนี้มีจุดที่ไม่แตกต่างกันอยู่ทั้งเรื่องราวในจุดเหล่านั้น ทั้งความคิดอื่นๆ ที่ตัวละครมีอยู่ การลองถ่ายทอดสิ่งที่คิดออกมา ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมากครับ จะต้องมีเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับตัวละครเพื่อให้พวกเขาปะทะกันอย่างร้อนแรง และผมหวังว่าการปะทะกันที่ดุเดือดนี้จะเต็มหน้าจอ พวกประเด็นที่ต้องไม่ให้เห็นเยอะไปเราก็ต้องมานั่งคิดด้วยกัน
คุณเองก็รับบทในเรื่องนี้เหมือนกัน เรามั่นใจว่าประสบการณ์ในฐานะนักแสดงที่ผ่านมาของคุณมีผลกับวิธีที่คุณกำกับนักแสดงในเรื่อง คุณมีจุดไหนที่เน้นเป็นพิเศษหรือไม่
ที่ผ่านมาถ้าสถานการณ์ในบทมันน่าเชื่อและมีฉากที่เสริมกัน การแสดงของผมมันจะออกมาตามธรรมชาติ แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมก็จะพยายามถ่ายทอดสิ่งที่ผู้กำกับต้องการออกมามากที่สุดเท่าที่ทำได้ ระหว่างขั้นเตรียมงานและการซ้อมบท มันมีบางจุดที่ผมแก้ไดอะล็อกตามฟีดแบ็กจากนักแสดง ขณะที่บางครั้งผมต้องกล่อม ให้พวกเขายอมเล่นบางซีนที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจบ้างเหมือนกัน
“Hunt” ที่แตกต่างกับภาพยนตร์สายลับอื่นๆ อย่างไร
ผมมองว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อให้อุดมการณ์ของเขากลายมาเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าเล่าเรื่องเกาหลีเหนือและใต้ เวลาดูหนังสายลับจะมีคดีหรือสถานการณ์ที่แต่ละตัวละครเผชิญอยู่ ทำให้รู้สึกลุ้นระทึกมาก พวกเราเองก็คิดมาเยอะมากว่าจะทำสายลับในแบบเกาหลียังไงให้ต่างจากหนังสายลับอื่นๆ นั้น ปกติหนังสายลับส่วนใหญ่จะเป็นการทิ้งปริศนาให้ผู้ชมได้ปะติดปะต่อเรื่องเอา แต่ผมเขียนบทออกมาเพราะต้องการสร้างภาพยนตร์ที่มีความเข้มข้น โดยมีการพลิกกลับทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็กและการคลี่คลาย ผมพยายามไม่ทำให้เรื่องราวซับซ้อนเกินกว่าจะติดตามได้ และแค่หวังว่าผู้ชมจะเพลิดเพลินกับมัน
ในเรื่อง “Hunt” ต้องรับหน้าที่ทั้งเขียนบท กำกับ ไปจนถึงนักแสดง คนเดียวสามตำแหน่งคงจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย
ความจริงแล้วผมซื้อลิขสิทธิ์ของเนื้อเรื่องมา ตั้งใจจะเป็นแค่ผู้จัดอย่างเดียว แต่การมานั่งรอทุกวันเป็นเรื่องยากครับ รู้สึกอึดอัดและเสียดายกับเวลาที่ผ่านไป ก็เลยเริ่มเขียนบทด้วยตัวเองครับ แล้วพอเขียนมาตลอดสี่ปี การเรียบเรียงสิ่งที่เขียน การทำโปรเจกต์ในแต่ละหัวข้อ การสร้างคาแร็กเตอร์ให้กลมกล่อม ผมได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างที่บอกว่าน่าจะลองมากำกับเองดู จนสุดท้ายก็ได้มากำกับด้วยครับ
บรรยากาศในกองถ่ายที่ได้มีนักแสดง “จองอูซอง” ที่เป็นเพื่อนสนิทเป็นยังไงบ้าง
เราคุยกันเยอะมากเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันอีกครั้งในเร็วๆ นี้หลังจากเคยร่วมงานกันใน “City of the Rising Sun” (1998) เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เราพยายามทำให้มันเป็นไปได้ แม้แต่เขียนบทด้วยกัน ณ จุดหนึ่ง แต่มันก็ไม่เคยปรากฏเป็นภาพยนตร์เลย จนมาถึงในเรื่องนี้ผมรู้สึกกระตือรือร้นมากที่จะมีเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ อยากให้คนพูดว่า “จองอูซอง” ดูดีที่สุดบนหน้าจอเมื่อเขาถูกยิงโดย “อีจองแจ” ในกองถ่ายก็ยุ่งกับการดูแลกันและกันครับ สำหรับผมที่ต้องตั้งใจกำกับให้ “จองโด” ออกมาเท่มากที่สุดตรงกันข้ามกับคุณอูซองนั้น ที่เห็นว่ายิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งหมดแรงคงคิดว่า “เพื่อนฉันอาจจะตายไปแบบนี้ก็ได้” ก็คอยจัดวิตามินให้ผมกิน สำหรับตอนนี้แค่อยู่ข้างๆ กันก็รู้สึกอุ่นใจแล้ว ถึงวันไหนไม่มีคิวถ่ายแค่มาอยู่ข้างๆ ก็เป็นกำลังใจมากที่สุดแล้วครับ
คุณได้การปรึกษาด้านใดเป็นพิเศษเกี่ยวกับการถ่ายทอดภาพในหัวของคุณออกมาในภาพยนตร์บ้าง
ผมอยากลองอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สี, องค์ประกอบภาพ, แม้แต่สถานที่ถ่ายทำ ทีมกล้องต้องเจออุปสรรคมากมายระหว่างการถ่ายทำ ผมว่าพวกเขาเจอหนักสุดแล้วล่ะ รวมถึงทีมสตันต์ เพราะผมต้องการให้ฉากแอ็กชันในเรื่องทุกฉากดูทรงพลังและสมจริง ผมอยากผลักมันไปจนสุดขอบแต่ก็ยังเก็บรายละเอียดไว้ครบถ้วนด้วย
คุณสร้างเกาหลีใต้ยุค 80 ในเรื่องออกมาได้อย่างไร
ปัญหาใหญ่เลยคือมันไม่มีโลเคชันไหนที่ให้บรรยากาศแบบยุค 80 ชนิดที่ครบจบในที่เดียว แถมงบเราก็ไม่ได้มากพอที่จะเนรมิตขึ้นมาใหม่ได้ทั้งหมด แต่ทีมงานของเราทำได้ดีมาก พวกเขาเอาชนะอุปสรรคและหาจุดที่ลงตัวพบ โดยเฉพาะกับฉากที่เราจำลองวอชิงตัน, โตเกียว และประเทศไทย เราถ่ายทั้งหมดในเกาหลี แม้ว่าขั้นเตรียมงานแทบจะเรียกได้ว่ารากเลือด แต่ผลที่ออกมาทำให้พวกเราลืมความลำบากในตอนนั้นไปเป็นปลิดทิ้ง
คอนเซปต์เบื้องหลังฉากต่อสู้ที่เป็นไฮไลต์ของภาพยนตร์เรื่องนี้
ความเดือด ความสมจริง และรายละเอียดคือสามสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมทำสตอรีบอร์ดกับแผนกเทคนิคพิเศษ ทีมสตันต์ และทีมซีจี แน่นอนว่ามันไม่ใช่งานง่าย แต่มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราถ่ายทำกันได้ราบรื่น ผมอยากให้มันมีขับรถไล่ล่า วิ่งไล่กันตามถนน การระเบิด และการสาดกระสุนกันเหมือนกำลังอยู่ในสนามรบ ผมยังต้องการให้ทั้งหมดนั้นออกมาดูสดใหม่ ซึ่งทีมงานทุกคนไม่ทำให้ผมผิดหวัง
เราได้ยินว่าคุณเปลี่ยนเทคนิคระเบิดในเรื่องนี้ให้ใช้ส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ คุณมีเหตุผลใดเป็นพิเศษไหม
ผมเป็นนักแสดงมานาน ผมเข้าใจหัวอกพวกเขาดี ผมให้ความสำคัญกับความปลอดภัย และสุขภาพของทีมงานทุกคน เราเลยเลือกใช้ข้าวสาลีป่นแทนส่วนผสมที่เป็นเคมี
อยากจะพูดอะไรกับผู้ชมที่จะได้พบกับ “Hunt” ในโรงภาพยนตร์
แน่นอนว่าฉากแอ็กชันตระการตาเป็นส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้ แต่ผมอยากให้แน่ใจว่าผู้ชมจะอินไปกับเนื้อเรื่อง อึ้งไปกับทุกจุดหักมุม และเอาใจช่วยสองตัวละครนำ ถึงพวกเราจะบอกว่าเป็นหนังประเภทสายลับก็จริงแต่เนื้อหาไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น อาจจะคิดว่าขั้นตอนการสืบสวนหาคนร้ายไม่ได้ซับซ้อน แต่ความจริงแล้วเราได้อธิบายไว้ให้เข้าใจแบบง่ายๆ ต่างหาก เข้าไปดูแบบสบายๆ ได้เลยครับ แต่ว่าเรื่องอาจจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก แค่สนุกไปกับความเร็วพวกนั้นก็พอครับ
พบกับผลงานเรื่องล่าสุดของนักแสดงชื่อดังระดับโลก “อีจองแจ” กับความทุ่มเททั้งกำกับ เขียนบท และแสดงนำใน “Hunt ล่าคนปลอมคน” ภาพยนตร์แอ็กชันสายลับสุดเดือดแห่งปีจากเกาหลีที่โด่งดังทั่วโลก และได้รับกระแสการตอบรับอย่างล้นหลามจนถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 140 ประเทศ สำหรับประเทศไทยเตรียมมันส์ ระห่ำพร้อมกัน 1 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างซับไทย(1): https://youtu.be/juFlePVtaic
ตัวอย่างซับไทย(2): https://youtu.be/fYTG889671Q
ปฏิบัติการล่าสะเทือนคาบสมุทร: https://youtu.be/HhTc9DOMXxg
เดือดขั้นสุด ภารกิจล่าโคตรคลั่ง: https://youtu.be/hDVKnro523I