Netflix นำ “Roma” เจ้าของรางวัลสิงโตทองคำ 2018 เข้าฉายที่ House RCA, สกาลา, MVP บุรีรัมย์, MVP ศรีสะเกษ 14 ธันวาคมนี้ พร้อมกับ Netflix

Roma-Poster

 

“Roma” นับเป็นผลงานที่ถือได้ว่า “ส่วนตัวมากที่สุด” ของผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์จาก “Gravity” อย่าง “อัลฟอนโซ คัวรอน” ซึ่งเขาควบตำแหน่งทั้งเขียนบท, กำกับ, ถ่ายภาพ และตัดต่อเองเสร็จสรรพ

 

“Roma” พาผู้ชมย้อนกลับไปยังเม็กซิโกซิตี้ต้นทศวรรษที่ 70 ช่วงเวลาที่ประวัติศาสตร์ของเม็กซิโกกำลังถึงจุดเปลี่ยนผ่าน นักศึกษาหัวก้าวหน้าออกมาเรียกร้องสิทธิจากรัฐบาลที่มีทหารเป็นกองหนุนเพื่อทำลายโครงสร้างทางชนชั้นและความเหลื่อมล้ำของประเทศ

 

แต่แทนที่จะพูดเรื่องการเมืองโดยตรง กัวรอนกลับพาผู้ชมไปสำรวจความเป็นไปที่เล็กกว่านั้น หนังเล่าเรื่องชะตาชีวิตของครอบครัวชนชั้นกลางครอบครัวหนึ่งในย่านโรมา ซึ่งมี “โซเฟีย” เป็นเสาหลักของบ้าน เธอเพิ่งแยกทางกับสามี แต่ก็ยังไม่กล้ายอมรับกับลูกๆ ทั้ง 4 อย่างตรงไปตรงมาว่า พ่อจะไม่กลับมาอยู่กับเราอีกแล้ว โซเฟียจึงต้องดูแลสมาชิกทุกคนด้วยตัวของเธอเอง โดยมีผู้ช่วยคนสำคัญคือ “คลีโอ” สาวรับใช้ที่คอยช่วยเหลือทุกอย่างไม่ต่างจากคนในครอบครัวเดียวกัน

 

ความเปลี่ยนแปลงกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาทุกชีวิตในเม็กซิโก แต่มิตรภาพระหว่างโซเฟียและคลีโอ-คุณนายและสาวใช้ ที่อยู่นอกเหนือช่องว่างทางชนชั้นนั่นเองที่ทำให้ครอบครัวนี้ผ่านช่วงเวลาที่แสนยากลำบากนั้นมาได้

 

 

 

ประเทศเม็กซิโกถูกปกครองมาอย่างยาวนานโดยพรรคปฏิวัติสถาบัน (PRI) แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำกลับไม่ได้รับการแก้ปัญหา จนปะทุจนกลายเป็นความรุนแรงในปี 1968 (ปีเดียวกับที่เม็กซิโกเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก) เมื่อรัฐบาลซึ่งมีกองทัพหนุนหลังตัดสินใจใช้กำลังเข้าจัดการกับกลุ่มนักศึกษาฝ่ายซ้ายที่มาเดินขบวนจนเกิดการสังหารหมู่ที่เรียกกันว่า “การสังหารหมู่ตลาเตโลโก” รัฐบาลออกรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 44 คนในเหตุการณ์ปะทะ (แต่ในความเป็นจริงมีผู้เสียชีวิตและสูญหายนับ 400 คน)

 

ผลพวงหลังจากการปะทะในครั้งนั้น (คือฉากหลังใน “Roma”) เม็กซิโกเข้าสู่ภาวะสงครามเย็นภายในประเทศเต็มรูปแบบ สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนรัฐบาลเม็กซิโก ในการจัดการฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงที่พยายามเปลี่ยนประเทศเป็นสังคมนิยม

 

 

สารจากผู้กำกับ

เหตุการณ์หลายช่วงในประวัติศาสตร์ ได้สร้างรอยแผลเป็นที่ลบเลือนไม่ได้ให้กับสังคม และในขณะเดียวกัน เหตุการณ์เหล่านั้นได้ส่งผลกระทบกับปัจเจกบุคคลเช่นตัวเราให้พวกเรากลายมาเป็นอย่างที่พวกเราเป็นทุกวันนี้

พวกเรามีชีวิตอยู่ในกรอบจำกัดของเวลาและสถานที่ แต่เวลาและสถานที่ได้นิยามความเป็นตัวเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมันได้ผูกชีวิตของเราเข้ากับชีวิตของคนอื่นในเวลาหรือสถานที่เดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์

“Roma” เป็นความพยายามของผมที่จะบันทึกช่วงเวลาในความทรงจำเหล่านั้น ที่ผมเคยประสบพบเจอมาเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ตอนที่โครงสร้างทางชนชั้นในเม็กซิโกถึงจุดปะทุแตกหัก จนทำให้สถานะและเชื้อชาติของผู้คนเปลี่ยนแปลงจวบถึงปัจจุบัน

รวมทั้งยังเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของผู้หญิงหลายๆ คนในชีวิตวัยเด็กของผมที่เลี้ยงดูผมมาด้วยความรัก ความรักซึ่งเป็นพลังเหนือสถานที่ เหนือความทรงจำ และเหนือกาลเวลาทั้งปวง

 

 

เกร็ดภาพยนตร์

  • “Roma” เป็นการกลับไปทำหนังที่พูดภาษาสเปนอีกครั้งของกัวรอน นับตั้งแต่ “Y Tu Mama Tambien” ในปี 2001

 

  • คัวรอนให้สัมภาษณ์ว่า กว่า 90% ของเนื้อเรื่องในหนังนั้นมาจากความทรงจำของเขา ส่วนที่เหลือเป็นการประกอบช่องว่างทางความทรงจำเหล่านั้น

 

  • แม้คัวรอนจะเป็นผู้กำกับภาพให้หนังสั้นของตัวเองหลายเรื่องแล้ว แต่ “Roma” นั้นถือเป็นครั้งแรกที่กัวรอนรับตำแหน่งตากล้องหนังยาวเอง เขาเล่าว่าแต่เดิมเขาวางตัว “เอ็มมานูเอล ลูเบสกี้” ผู้กำกับภาพคู่บุญไว้แล้ว แต่ลูเบสกี้ต้องขอถอนตัวในวินาทีสุดท้ายเพราะยังติดงานหนังเรื่องอื่นอยู่ กัวรอนติดต่อผู้กำกับภาพอีกหลายคน แต่ไม่มีใครว่าง (เขาอยากใช้ตากล้องเม็กซิกัน และพูดภาษาสเปนได้เท่านั้น) เขาจึงจำยอมตัดสินใจรับตำแหน่งนี้ด้วยตนเอง

 

  • “Roma” ถ่ายโดยใช้เลนส์ 65 มม. และถ่ายเป็นหนังขาวดำ โดยใช้นักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งหมด

 

  • “Roma” ชนะ “รางวัลสิงโตทองคำ” ปี 2018 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของ “เทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส”

 

 

“Roma” พร้อมเข้าฉาย 14 ธันวาคมนี้ ที่ House RCA, สกาลา, MVP บุรีรัมย์, MVP ศรีสะเกษ พร้อมกับ Netflix

 


Featured News