“อูโก เชแล็ง” อายุ 40 ปี เขาเกิดในครอบครัวศิลปิน พ่อของเขาเป็นโปรดิวเซอร์หนัง เขาเปิดบริษัททำหนังและรายการทีวีกับเพื่อนตั้งแต่อายุ 21 ปี เนื่องจากเป็นคนสนุกสนาน เขาจึงสนใจและถนัดหนังตลกเป็นพิเศษ
เขาทำหนังมาแล้ว 2 เรื่องคือ “Just Like Brothers” (2012) และ “Two Is a Family” (2016) เคยเขียนบทหนังเรื่อง “The Gilded Cage” (2013) จนทำเงินถล่มทลายในยุโรป ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้งกับ “Love at Second Sight” (ชื่อฝรั่งเศสคือ “Mon Inconnue”) หนังที่ยังตลกอยู่เหมือนเดิม แต่ละมุนกว่าทุกๆ ครั้ง
คุณนึกอย่างไรถึงมาทำหนังโรแมนติกคอเมดี้
หลักๆ มันมาจากคำถามส่วนตัวที่ผมชอบถามตัวเองบ่อยๆ ว่า ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรนะ ถ้าผมไม่ได้เจอคนรักของผม ชีวิตของคนเราจะเป็นอย่างที่เป็นทุกวันนี้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ได้เจอความรักกับคนๆ นี้ ปกติแล้วผมมักจะมองทุกอย่างเป็นเรื่องตลก ผมถนัดทำหนังตลก แต่ด้วยคำถามนี้ มันทำให้ผมสามารถเข้าไปสำรวจความรักในแง่มุมที่ลึกซึ้งขึ้น ผมอยากทดลองทำหนังรักที่มีอารมณ์ขันผสมผสานกันไปอย่างกลมกลืน
แสดงว่ามาจากประสบการณ์ส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง
ผมมักถามตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตของคนเราคืออะไร อะไรชักนำมาให้ผมได้เจอกับคนรักของผม และถ้าผมไม่ได้เจอเธอ ผมจะทำความฝันสำเร็จไหม ผมจะได้กลายมาเป็นคนทำหนังอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า ผมว่าเราทุกคนก็เคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเองว่าความรักที่เราเจอทำให้เรากลายเป็นคนอย่างไรในทุกวันนี้ เป็นคำถามสากลที่ไม่มีคำตอบแน่ชัด เรามักสงสัยว่าชีวิตเราจะดำเนินไปทางไหนนะ ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจเลือกอีกทาง ผมว่าหนังเป็นสื่อพิเศษที่เราสามารถเอาคำถามเหล่านั้นมาทดลองเล่นได้
คุณช่วยขยายความหน่อย
มีหนังหลายๆ เรื่องเลยที่พูดถึงความหมายของชีวิต พูดถึงโชคชะตา และทางที่คนเราเลือกเดิน ทุกคนคงไม่ลืมหนังคลาสสิกอย่าง “It’s a Wonderful Life” (1946) ของ “แฟรงก์ คาปรา” ที่พูดถึงความสำคัญของชีวิตคนเราที่ส่งผลต่อคนรอบข้าง หรืออย่าง “Groudhog Day” (1993) ซึ่งเป็นหนังในดวงใจตลอดกาลของผม ผมชอบหนังเรื่องนี้มากๆ จนต้องตั้งชื่อพระเอกใน “Love at Second Sight” ว่า “ราฟาเอล รามิสส์” เพื่อเป็นการคารวะ “แฮโรลด์ รามิส” (ผู้กำกับ “Groudhog Day”) ตอนผมเขียนบทหนังเรื่องนี้ ผมยังนึกถึงหนังอีกหลายเรื่อง เช่น “The Family Man” (หนังปี 2000 ของผู้กำกับ “เบรตต์ แรตเนอร์”) หรืออย่าง “Her” (2013) หรือ “Eternal Sunshine of a Spotless Mind” (2004) ผมไม่ได้เป็นคนต่อต้านหนังโรแมนติกคอเมดี้เลย และผมก็ชอบหนังของ “ริชาร์ด เคอร์ติส” อย่าง “Notting Hill” (1999) และ “Love Actually” (2003) ด้วย
ถึงแม้คนฝรั่งเศสจะมองว่าหนังแบบนี้เป็นวัฒนธรรมพวกแองโกลแซ็กซอน (คนอังกฤษและหมายรวมถึงคนอเมริกัน) น่ะเหรอ
ใช่ ก็เพราะหนังแนวนี้กำเนิดจากที่นั่น และพวกเขาก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก หนังฝรั่งเศสน้อยเรื่องมากที่จะทำแบบนั้นได้ ผมเดาว่า คงเป็นเพราะวัฒนธรรมฝรั่งเศสที่นิยมชมชอบการเหน็บแนม ความเป็นคนช่างวิจารณ์ที่ฝังรากลึก ทำให้พวกเราไม่มีแง่มุมที่มันพาฝัน หนังตลกของเรา มันก็ตลกเสียดสีมาก ส่วนหนังโรแมนติกของเราก็ลึกซึ้งละเอียดอ่อน แต่คนฝรั่งเศสไม่ค่อยเอาหนังสองแนวมาผสมเข้าด้วยกันเท่าไหร่ มันอาจจะมีหนังอย่าง “Love Me If You Dare” (2003, Yann Samuell) แต่นานๆ จะมีมาสักที
แล้วคุณจะรักษาสมดุลของสองอย่างนี้ได้อย่างไร
ความท้าทายของผมคือ ผมอยากให้คนดูรู้สึกหัวเราะได้พร้อมๆ กับกำลังเสียน้ำตา เอาเข้าจริงผมไม่เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า ผมต้องการให้คนดูรู้สึกอย่างไรกันแน่ เป้าหมายของผมก็คือ ผมมีเรื่องที่จะเล่า ผมต้องเล่าเรื่องให้ได้ก่อน แล้วอารมณ์จะตามมาหลังจากนั้น
แต่การทำหนังโรแมนติกคอเมดี้ ต้องอาศัยทักษะอย่างมากเลย
ใช่เราต้องได้นักแสดงที่เล่นดีมากๆ ด้วย ต้องเชื่อในสิ่งที่เขากำลังเจออยู่ แม้ว่ามันจะดูไม่จริงเลยก็ตาม อย่างเช่นการไปอยู่ในโลกคู่ขนาน ผมคิดว่านี่คือจุดที่ผมต้องหาสมดุลให้เจอมั้ง ในขณะที่พล็อตมันต้องทำให้คนดูเซอร์ไพรส์อยู่เรื่อยๆ นั้น คุณต้องทำให้คนดูเชื่อเรื่องโม้ๆ นั้นให้ได้ด้วย
คุณคัดเลือกนักแสดงได้ดีเยี่ยมมากๆ
ผมโชคดีที่เราได้ “ฟร็องซัวส์ ซีวิล” เขาเป็นพระเอกที่หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ แต่มีเสน่ห์เวลาเขาอยู่ในบท เขาทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้และเอาใจช่วย ผมคิดว่าสิ่งสำคัญของหนังโรแมนติกคอเมดี้คือ เคมีระหว่างนักแสดง “ฟร็องซัวส์ ซีวิล” และ “โจเซฟีน ฌาปี” เป็นคู่พระนางที่เล่นได้เข้าขากันมาก ผมคิดว่าคนดูจะต้องตกหลุมรัก ส่วน “เบนจามิน ลาแวร์เนอ” เป็นนักแสดงตลกที่เปี่ยมพรสวรรค์ บังเอิญว่าทั้งซีวิลและลาแวร์เนอเป็นเพื่อนกันในชีวิตจริง เวลาพวกเขาเข้าฉากด้วยกันมันจึงดูลื่นไหลมาก ในฐานะผู้กำกับผมมีความสุขมากๆ เวลาได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆ
หนังของคุณดูเหมือนจะสรุปกับคนดูว่า ชีวิตคนเราถูกกำหนดไว้แล้ว
ใช่เลย หนังเรื่องนี้บอกกันตรงๆ ว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกชอยส์ไหนให้กับชีวิต คุณก็จะได้เจอกับใครอีกคนเสมอ ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม ผมเชื่อว่าเราทุกคนถูกกำหนดมาให้ได้เจอกัน มันขึ้นอยู่กับตัวคุณนั่นแหละว่าจะใช้โอกาสนั้นอย่างไร
“Love at Second Sight”
24 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์