ทำไมตอนแรกถึงปฏิเสธที่จะรับบท “หลางผิง”
ตอนแรกที่ปฏิเสธเพราะรู้สึกว่าบทนี้ค่อนข้างมีความกดดันสูง เนื่องจาก “โค้ชหลางผิง” เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และเขาคือตัวแทนของผู้หญิงทั่วโลกเลยกลัวมากว่าจะแสดงความเป็นหลางผิงออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พอได้ศึกษาบทและอ่านสคริปต์แล้วรู้สึกเหมือนกำลังได้เป็นนักวอลเลย์บอลหญิง อีกทั้งยังมีคำพูดของโค้ชหลางผิงที่กล่าวไว้ว่า “หากเธอไม่ลองทำดู จะรู้ได้ยังไงว่าจะแพ้หรือชนะ ฉะนั้นต้องมีความกล้าที่จะลองทำ” หลังจากอ่านสคริปต์นี้แล้วก็เลยพูดกับตัวเองว่า “โอเค งั้นฉันจะลองดู” นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสสัมภาษณ์โค้ชหลางผิงรวมทั้งนักกีฬาคนอื่นๆ ตอนสัมภาษณ์พวกเขามีเหงื่อไหลตลอดเวลา นอกจากนี้ตอนถ่ายทำทำให้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังขึ้นเรื่อยๆ ในการแสดง ประมาณว่าถ่ายบทนี้เสร็จแล้วอยากจะถ่ายบทถัดไปต่อทันที
ได้ยินมาว่านอกจากจะรับบท “หลางผิง” แล้วยังช่วยด้านการวางแผนอีกด้วย
อ่อ ใช่ค่ะ คือทุกคนจะสามารถมีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นบทตัวละครในสคริปต์บางตัวหรือแม้แต่การสร้างตัวละครเอง ทุกคนก็สามารถปรึกษาหารือกันได้ตลอด ฉันยังรู้สึกว่าถ้าทุกคนมีส่วนร่วมแบบนี้จะสามารถทำให้สร้างหนังออกมาได้ดีมากขึ้น ส่วนคนที่มาแสดงร่วมกันพวกเขามีความสำคัญมาก ถ้าหากสมมติว่าแค่เล่นไปตามบทเฉยๆ ฉันรู้สึกว่าอาจจะไม่เพียงพอ ต้องใส่ความรู้สึกการมีส่วนร่วม ความเห็นอกเห็นใจกัน รวมทั้งความคิดเห็นของแต่ละคน แบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่าจะสามารถทำให้ผลงานออกมาดียิ่งขึ้น
เมื่ออธิบายความเป็น “หลางผิง” เขาให้ความสำคัญมากกับรายละเอียดการเคลื่อนไหว หรือสปิริตจิตวิญญาณความคิดจากภายในมากกว่ากัน
ฉันคิดว่าเริ่มจากภายใน คือไม่ได้แค่แสดงเลียนแบบรูปร่างหน้าตาของเขาเท่านั้น ตอนที่ฉันไปคุยกับโค้ช ตอนนั้นเขากำลังฝึกซ้อมอยู่ก็ดูเขาฝึกซ้อมมองไปที่แววตาของเขา และตอนที่ได้พูดกับเขาฉันรู้สึกได้ถึงคำที่ว่าไม่มีการยอมแพ้ แสดงให้เห็นถึงพลังของการไม่ยอมแพ้ของทีมชาตินักวอลเลย์บอลหญิงจีน ที่มีแต่ความต้องการที่จะชนะทั้งนี้ก็ไม่หวาดหวั่นกับคำว่าพ่ายแพ้ ในตอนนั้นเองที่ได้เจอโค้ช ความรู้สึกนั้นก็ได้ซึมซับไปในตัว และคิดว่าจะต้องนำความรู้สึกเหล่านี้แสดงออกมาให้เหมือนกับ “โค้ชหลางผิง” มากที่สุด อีกมุมของโค้ชก็มีทั้งความอ่อนโยนและสวยงาม แต่อีกมุมก็มีความเข้มแข็งซ่อนอยู่ นอกจากนี้ทางด้านจังหวะการเคลื่อนไหวาทางกายยังมีความว่องไวมาก
การที่ได้รับบทบาทที่มีต้นแบบเป็นบุคคลในชีวิตจริงยากหรือเปล่า
ฉันรู้สึกว่ายากค่ะ ค่อนข้างยากเลย เนื่องจากเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง มีชีวิตจริงๆ ผู้คนต่างประทับใจในตัวเขา หากแสดงผิดเพี้ยนไปอาจจะกลายเป็นข้อผิดพลาดได้ง่าย จึงต้องมีสมาธิอย่างมากในการแสดง ดังนั้นการที่จะแสดงให้เหมือนเขาจริงๆ ทั้งยังเป็นบุคคลทางสังคมถือว่าเป็นบทที่ยากพอสมควร ทุกวันเห็นข่าวทางออนไลน์ บางครั้งก็คุยกับทางผู้กำกับว่ายังมีความรู้สึกกลัวๆ สำหรับบทบาทนี้อยู่เลย จะแสดงบทนี้ได้จริงๆ เหรอ แต่ระหว่างการถ่ายทำก็ทำให้เข้าใจบทมากขึ้นและสามารถสื่อออกมาได้เสมือนเป็น “โค้ชหลางผิง” จริงๆ แต่บางทีก็ยังมีความรู้สึกกดดันจนทำให้พูดไม่ออกจริงๆ
คุณได้คุยกับ “ไป่หลาง” ที่รับบทลูกสาวในหนังเรื่องนี้ไหม
เคยค่ะ เวลาแต่งหน้าเสร็จแล้วเขาก็พูดกลับมาว่า “นี่คือแม่ของฉัน” เหมือนเวลาที่เขามองแม่ของเขา และเวลาฉันมองไปที่เขาแล้วก็คิดว่าเหมือนตัวเองจัง บุคลิกเขาจะคล้ายกับ “หลางผิง” มาก เวลาเขายิ้มก็จะมีลักยิ้มสองข้าง แล้วก็เหมือนหลางผิงจะลักยิ้มหนึ่งข้าง ตอนที่เราเจอกันตอนนั้นมองตากันก็จะมีความรู้สึกถึงแววตาที่ไม่เหมือนกัน มีความรู้สึกที่ต่างกันพอสมควร
เล่าถึงประสบการณ์ตัวเองหรือความรู้สึกเกี่ยวกับ “ทีมวอลเลย์บอลหญิง”
ตอนเด็กๆ อยู่บ้านเคยดูทีมวอลเลย์บอลหญิงทางทีวีเลยพอได้เห็นการแข่งขันมาบ้าง ฉันก็ติดตามมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจกีฬาวอลเลย์บอลมากนัก ยิ่งตอนยังเด็กแทบจะไม่เข้าใจเลย พอโตขึ้นมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าวอลเลย์บอลมีวิธีการเล่นหรือนับคะแนนอย่างไร แต่ว่าพอได้ดูทีมวอลเลย์บอลหญิงแล้วทำไมรู้สึกดูเท่จัง หลังจากการแข่งขัน การชนะในแต่ละครั้ง พ่อแม่ พี่ชาย ฉันมีพี่ชายสามคน พี่สาวหนึ่งคนซึ่งแก่กว่าประมาณสิบกว่าปี พวกเขารู้สึกตื่นเต้นไปด้วยทุกครั้ง เลยรู้สึกว่าความทรงจำในครั้งนั้นคิดว่าพวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของประเทศ เป็นดั่งฮีโร่ในสายตาทุกคน พอถึงตอนที่ฉันได้รับบทนี้ก็ไปถามพี่ชายและเพื่อนๆ รอบตัวว่าตอนนั้นความรู้สึกพวกเธอเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายฉันยังเป็นแฟนคลับตัวยงของทีมนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิง ตอนที่ไปหาฉัน พี่ชายยังถามว่าเมื่อไหร่โค้ชหลางผิงจะมา เขาเป็นแฟนคลับตัวจริงเลยล่ะ ตอนที่กำลังถ่ายทำก็มีแฟนคลับของทีมวอลเลย์บอลมาชิดติดขอบติดตามเสมอ ฉันก็ติดตามดูแต่ไม่ได้ถึงกับแบบแฟนคลับขนาดนั้น เพราะฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลังจากที่ได้เข้าไปสัมผัสกับชีวิตในทีมวอลเลย์บอลหญิงเลยคิดว่าถ้าหากมีโอกาสเกิดใหม่อีกครั้ง ฉันอยากจะเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลบ้าง และเต็มใจจะทำมันจริงๆ
ภาพของรอยเตอร์เห็นคุณกำลังจดบันทึกในสนามฝึกซ้อม บอกได้ไหมว่าบันทึกอะไรบ้าง
ตอนที่เดินทางไปที่ “เป่ยหลุน” ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นพวกเขาฝึกซ้อม พวกเขาไม่ได้ซ้อมตลอดเวลามีช่วงพักเบรก บังเอิญเป็นสถานที่ฝึกซ้อมเลยมีเวลาประมาณสิบวันให้ฉัน ฉันก็ไปพักที่นั่นเลย และในแต่ละวันก็ตื่นแปดโมงซ้อมถึงตอนพักเที่ยง พวกเขาพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายก็อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา นอกจากนี้เพิ่งได้ทราบว่าเอวและเท้าของโค้ชหลางไม่ค่อยดีเลยต้องนั่งบ้างและมองดูลูกทีมฝึกซ้อม แต่ในช่วงเวลาที่ฉันไปยังเคยพูดกับโค้ชหลางว่าสิบกว่าวันมานี้ ฉันยังไม่เคยเห็นโค้ชนั่งเลย ลูกทีมของโค้ชพูดขึ้นมาว่าเพื่อฉันเลยที่อยากจะให้เห็นตอนเวลาซ้อมจริงๆ โค้ชเป็นอย่างไร ทั้งน้ำเสียง วิธีการ รวมทั้งท่าทางเล่นวอลเลย์บอล จากนั้นมาฉันก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายของโค้ชก็ไม่ค่อยดี ตอนเวลาถ่ายทำก็นั่งไม่ได้ โค้ชเลยต้องยืนตลอดเวลา กิจวัตรประจำวันของทีมวอลเลย์บอล เช่น ตอนเช้าตื่นเช้ามาเข้าแถวเรียงหนึ่ง คุยกันว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง พูดจบก็เป่านกหวีดไปฝึกซ้อมได้ ส่วนตอนเย็นซ้อมเสร็จก็เป่านกหวีดเข้าแถวอย่างกับค่ายทหารของนักรบประมาณนั้น พอฉันได้รู้เบื้องหลังเลยรู้สึกว่าถ้าเกิดพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็จะรู้สึกน้ำตาไหล พวกเขาฝึกหนักมากเพื่อการแข่งขัน พวกเขาหวังที่จะชนะแต่ก็ไม่หวั่นกับความพ่ายแพ้ ตอนที่ฉันจดบันทึกก็ได้จดทุกอย่างทั้งคำพูด หน้าที่ทั้งหมด ส่วนวิธีการฝึกซ้อมของพวกเขาเป็นการฝึกแบบสมัยใหม่ยุคใหม่ เช่น การเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ช่วยในการฝึกซ้อม ตอนที่ฉันจดบันทึกยังรู้สึกว่าแต่ละอย่างยากเกินไป
คุณกับ “หลางผิง” ต่างก็เป็นผู้หญิงที่โดดเด่นมาก คิดว่าจุดที่เหมือนกันมีอะไรบ้าง
ฉันคิดว่าจุดที่เหมือนกันของเราคือ “การไม่ยอมแพ้” คือแค่ให้โอกาสก็พร้อมจะสู้ต่อ อยากจะทำให้ดีที่สุดเหมือนกับคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนั้น
“Leap ตบให้สนั่น”
5 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์