“ผมรู้สึกว่าทุกวินาทีที่เราอยู่กับเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่เราเก็บไว้เป็นความทรงจำที่เราจะเก็บไว้กับตัวตลอดไป ไม่มีใครรู้ว่าจะมีโอกาสทำหนังชนิดนี้อีกหรือเปล่า ซึ่งมันทำให้ทุกๆ คนรวมถึงตัวผมรู้สึกศรัทธาการทำงานในทางนี้ เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทุ่มเทให้กับโปรเจกต์นี้ เราให้ 100 เปอร์เซนต์”
เป็นอย่างไรบ้างกับการกลับมารับบทเป็น “ขุนพันธ์” นายตำรวจวีรบุรุษผู้เป็นตำนานครั้งที่ 2
ต้องบอกว่าพอจบภาคแรก ยอมรับเลยว่านี่เป็นโปรเจกต์ที่ใช้พลังงานมากที่สุดในทุกๆ โปรเจกต์ที่ผมเคยร่วมงานมาก่อน ตอนปิดกล้องก็ยังบอกพี่โขมเลยว่าสิบปีนะพี่เดี๋ยวค่อยกลับมาเจอกัน ให้กลับมาอย่างนี้อีกรอบหนึ่งไม่รู้ว่าจะไหวไหม ขอทำใจก่อนนะถ้าพี่จะให้ผมกลับมาเล่น พอรู้ว่ามีภาค 2 มันเป็นโปรเจกต์ที่ทำยาก เป็นชนิดหนังที่น้อยทีมน้อยคนคิดที่จะทำกันแล้ว ซึ่งมันทำให้ทุกๆ คนรวมถึงตัวผม รู้สึกศรัทธาการทำงานในทางนี้ เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทุ่มเทให้กับโปรเจกต์นี้ เราให้ 100 เปอร์เซนต์ ในเมื่อเราทำภาค 1 ให้มันสำเร็จมาแล้วเนี่ย ภาค 2 คือเรารู้อยู่แล้วว่ามันต้องมากกว่านั้น ก็เลยเตรียมตัวที่จะเหนื่อยกว่าภาคแรกด้วยซ้ำไป สิ่งหนึ่งที่ผมชอบในทีมของเรา เพราะเราได้ฝ่าฟันหลายสิ่งหลายอย่างกับภาคแรก ผมรู้สึกว่ามันทำให้ทุกคนสนิทกัน มีความสามัคคีอยู่สูงมากเราทำงานกันเป็นครอบครัวเราสู้เพื่อกันและกัน กลุ่มกองถ่ายของเราเป็นเหมือนกลุ่มแก๊งโจรเชิ๊ตดำไปแล้ว
ในเรื่อง “ขุนพันธ์ 2″ นี้อะไรคือความแตกต่างที่ผู้ชมจะได้สัมผัส
สำหรับ “ขุนพันธ์ 2″ ความแตกต่างจากภาคแรกที่เราจะได้เห็นคือเราจะได้เห็นตัวละครของขุนพันธ์เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมากขึ้น มีความเป็นมนุษย์ปุถุชน ภาคแรกขุนพันธ์จะค่อนข้างขาวดำคือทุกอย่างที่เขาเชื่อมันเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่สำหรับภาคนี้เราจะได้เห็น Conflict เห็นความรู้สึกขัดแย้งของตัวละครตัวนี้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้เผชิญหน้าจริงๆ อย่างโจรที่เขาได้เจอมันก็มีทั้งคุณธรรม มีเมตตา ก็ไม่ได้เลวซะทีเดียว ในเวลาเดียวกันก็จะได้เห็นตำรวจที่ไม่ได้ดีซะทีเดียวเหมือนกัน มันทำให้ท่านขุนเขาเกิดคำถามเกิดความรู้สึกที่ว่าแล้ว “ตำรวจที่ดียังมีอยู่ไหม” แต่ในขณะเดียวกันแน่นอนอยู่แล้วใครที่เป็นแฟนหนังแอคชั่นแฟนตาซี เรื่องอาคม ในภาค 2 เราจะได้เห็นความเข้มข้นของวิชาอาคมที่ท่านขุนพันธ์มานำเสนอให้ทุกคนได้ดูนะครับ และจะได้เห็นที่มาที่ไปของวิชาอาคมเหล่านี้ว่าท่านไปเรียนมาจากที่ไหน ท่านเอามาใช้มากขึ้นชัดขึ้นมากกว่าภาคแรกอีก
เรื่องราว “ขุนพันธ์ 2″ เป็นอย่างไร
เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นกฎหมายค่อนข้างอ่อนแอมาก ท่านขุนเองก็เริ่มรู้สึกหมดศรัทธาในกฎหมาย เจอตำรวจหักหลัง โดนให้พักราชการ ในภาคนี้เราก็เลยจะได้เห็นท่านขุนเข้าไปอยู่ในกลุ่มของพวกจอมโจรเชิ๊ตดำซึ่งนำโดย “เสือฝ้าย-เสือใบ” พูดได้ว่าสำหรับเสือฝ้ายก็จะคุมชุมโจรที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางในช่วงนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องการจับตัวมากที่สุด ทางเสือใบกับเสือฝ้ายเนี่ยนอกจากจะเก่งก็จะมีของดีมีอาคมที่ไม่แพ้ใครเลยครับ และก็ความไม่ธรรมดาของสองคนนี้คือยอมหักไม่ยอมตาย สำหรับท่านขุนเองพอเข้าไปอยู่ในกลุ่มเชิ๊ตดำ มันมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ส่งผลต่อความคิดที่อยู่ในตัวท่านขุนพันธ์ ท่านได้เห็นว่าจริงๆ แล้วโลกมันไม่ได้มีแค่ขาวดำ ทุกอย่างไม่ได้ดำเนินไปตามกฎหมายอย่างเดียว พอได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งเชิ้ตดำก็ไปสะกิดความเชื่อแต่เดิมที่ท่านเคยมีมาตลอดเกี่ยวกับพวกเสือและกฎหมาย ความน่าสนใจในภาคสองนี้คือเราจะได้เห็นตัวละครท่านขุนที่มีอาวุธมีอาคมที่เหนือใคร แต่ในขณะเดียวกันสำหรับเสือฝ้ายกับเสือใบนี่ก็ไม่แพ้กัน มีวิชาอาคมที่ไม่ธรรมดาเหมือนกันครับ ในภาค 2 นี้กฎหมายจะจับตายขุนพันธ์ครับ เราจะได้เห็นขุนพันธ์ถือคำสัตย์ปฏิญาณกับพวกโจร
ในภาค 2 นี้ผู้ชมจะได้สัมผัสของขลังวิชาอาคมอะไรของ “ขุนพันธ์” บ้าง
ในภาคนี้คือหนังเหนียวคงกระพัน คาถาพรางตัว แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะท่านก็จะมีอาวุธพิเศษในภาคนี้ด้วยก็คือ “ดาบแดง” เราจะได้เห็นขุนพันธ์ใช้ดาบแดง เราจะได้เห็นความมันการปะทะกันของสามตัวละครที่มีความคงกระพัน มีวิชาแคล้วคลาด และก็พลังช้างสาร
ในภาคนี้ยังมีตัวละครใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 คาแรคเตอร์คู่ปรับตัวละครสำคัญอย่าง “เสือใบ” กับ “เสือฝ้าย” เป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับคาแรคเตอร์ “เสือใบ” จะเป็นตัวละครที่เจ้าเล่ห์ จะมีไหวพริบที่ดี ฉลาด แต่จุดที่ผมว่ามีเสน่ห์ของตัวเสือใบนี่คือ ความกะล่อน ความเจ้าชู้ คือจากที่ “เป้ อารักษ์” เขาแสดงไปนี่มันน่าสนใจมาก ถึงขนาดที่ว่าเป้เขามีการดีไซน์ตัวละครตัวนี้ขึ้นมา อย่างเช่นมีการดัดเสียงเพื่อเล่นเป็นตัวละครเสือใบตัวนี้โดยเฉพาะ ในขณะเดียวกันตัวเสือใบเองก็จะมีของขลังเป็นกระสุนคต เสือใบเขาก็จะมีปืนพิเศษที่จะเป็นปืนสำหรับกระสุนคตโดยเฉพาะ เพียงแค่ขอให้มองเห็น กระสุนอยู่ทิศไหนก็จะไปโดนคนนั้น และตะกรุดแคล้วคลาด พูดง่ายๆ เขาเรียกเหมือนกับเกราะของเขา ซึ่งใครยิงมาตะกรุดหันไปด้านนั้นก็จะยิงมาไม่ถึงตัว จะเป็นเหมือนเกราะที่จะช่วยบิดให้กระสุนหักเหออกไปในทิศทางอื่น
ส่วน “เสือฝ้าย” นี่ก็เป็นโจรที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกเหนือจากอาคมที่แกมีแล้ว เสือฝ้ายเป็นตัวละครที่มีความเหนือกว่าตัวละครตัวอื่นๆ ก็คือผู้คนทั่วไปล้วนนับถือ เป็นเสือที่มีบารมีเป็นที่นับถือของชาวบ้านถึงแม้แกจะเป็นโจร พูดง่ายๆ เสือฝ้ายก็จะเหมือน Godfather ส่วนความสามารถหรือพลังอาคมของเสือฝ้ายคือจะเก่งอาวุธทุกชนิด ปืนเล็ก ปืนสั้น ปืนยาว รวมไปถึงบาซูก้าแกก็ใช้ นอกเหนือจากนั้นแกก็สักช้างเอราวัณอยู่บนอก ซึ่งถ้าเกิดออกฤทธิ์เมื่อไหร่ก็จะเกิดเป็นพละกำลังพลังมหาศาลเหมือนช้างสาร เรี่ยวแรงเยอะสามารถจับเหวี่ยงคู่ต่อสู้ลอยได้สบายเลย
อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่มีบทบาทในภาคนี้ “ก้อย รัชวิน” สำหรับตัวละครตัวนี้เป็นอย่างไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับขุนพันธ์
เขาก็มารับบทเป็น “บุษรา” ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมสุวรรณบุปผา เป็นแหล่งที่ทั้งโจรทั้งตำรวจทุกๆ คนที่อยู่ในสุพรรณฯ มาหาความสุขกัน เป็นแหล่งที่ทั้งโจรทั้งตำรวจเนี่ยต้องเข้ามาหาข้อมูลกัน แต่ตัวของบุตร์ราที่เป็นเจ้าของโรงแรมในที่นี้ เขาเองก็ไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เพราะนอกจากความสวยมีเสน่ห์ล้นเหลือแล้ว ที่ไม่ธรรมดาคือมีอำนาจด้วย และก็จะอยู่ท่ามกลางโจรและตำรวจเลยครับ
เราจะได้เห็นมุมมองของชีวิตของขุนพันธ์ในอีกด้านหนึ่งผ่านความสัมพันธ์ของทั้งสองตัวละครด้วย
เพราะว่าภาคแรกเราโฟกัสทุกอย่างไปที่อุดมการณ์ คือเราจะเห็นขุนพันธ์ที่เป็นตัวแทนของกฎหมายเท่านั้น เราจะไม่เห็นมุมส่วนตัวของเขาสักเท่าไหร่ ส่วนตัวละครบุตร์ราที่จะมามีความเกี่ยวข้องกับขุนพันธ์เพื่อที่เราจะได้มองเห็นถึงมุมอื่นๆ ของท่านขุนด้วย และก็มีฉากพิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างขุนพันธ์กับบุษรา ซึ่งถ้าให้นึกเชื่อว่าเราเองอาจจะคาดไม่ถึงว่าจะมีฉากเต้นรำของท่านขุน ซึ่งทั้งผมและก้อยก็ต้องไปฝึกซ้อมกัน นับว่าเป็นฉากพิเศษฉากหนึ่งของหนังเลยครับ ซึ่งพี่โขมเขาก็เอาตัวอย่างมาให้ดู ผมก็แอบตกใจนิดนึง เพราะว่าผมแยกไม่ออกระหว่างเท้าซ้ายเท้าขวา (หัวเราะ) ก็เลยกังวลนิดนึง แต่ก็รอดูว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร
โปรเจกต์นี้ทรหดและโหดมากๆ กว่าจะปรากฏออกมาเป็นภาพให้เราได้ชมกัน
กว่าจะได้ภาคแรกมานี่ก็ไม่ธรรมดา มันใช้พลังงานสูงมาก พอเรามาทำภาค 2 มันก็ต้องมีอุปสรรค ผมคาดเดาไว้แล้วว่าต้องเจอ เป็นฉากที่ถ่ายยากมาก ก็คือมีวันหนึ่งที่เราถ่ายพวกฉากของเสือฝ้าย เสือใบ กับเสือบุตร์ มันจะเป็นฉากที่ท่านขุนพันธ์กลายเป็นเสือบุตร์ และก็เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มเชิ๊ตดำออกไปปล้น แล้ววันนั้นฝนตก แต่เราก็ต้องทำงานกันต่อ ก็เลยเปลี่ยนเป็นขี่ม้าลุยฝน แล้วในฉากนั้นมันก็จะมีโจรดักซุ่ม เสือฝ้าย เสือใบ เสือบุตร์ขี่มาด้วยกัน มันก็จะมีโจรโผล่ขึ้นมาอยู่รอบด้าน และผมก็ต้องยิงโจรที่อยู่ข้างหลังเสือฝ้าย เสือฝ้ายก็จะไปยิงโจรข้างหลังเสือใบ เสือใบก็จะไปยิงโจรข้างหลังเสือฝ้าย ตอนแรกเราไม่ได้ใช้กระสุนกันทำเป็นท่าทางไป ม้าก็ไม่ได้ตื่นอะไร คราวนี้พี่โขมเขาอยากให้ใช้ลูกกระสุนแบลงก์ ซึ่งเสน่ห์ของภาคนี้คือ เอฟเฟกต์หรือกระสุนปืน เราเอาให้มันสมจริงมากที่สุด ไม่อยากให้ไปเขียนซีจีอะไรมากมาย อยากให้เห็นว่าอยู่ด้วยกันสามคนจริงๆ และยิงกันจริงๆ ครับ ก็คือพอใส่ลูกแบลงก์ก็เท่านั้นแหละครับ ยิงออกไปปุ๊บม้าตื่น ของผมกับเป้นี่เอาไม่อยู่เลย มีแค่ของพี่เบิร์ดที่เอาอยู่ ก็เป็นฉากจำสำหรับผม ม้ามันไม่ยอมกลับมาที่มาร์ก ตอนสั่งแอคชั่นเนี่ยทุกคนก็ต้องกระซิบกัน หาจังหวะเผลอแล้วก็ค่อยแสดงกันอะไรอย่างนี้ครับ แต่พอยิงปืนก็วิ่งอยู่ดี ต้องปล่อยให้วิ่งหาวิธีกระชากให้มันหยุด
อีกวันหนึ่งพายุเข้า หลังคาคอกม้าล้มมาทับม้าของผมเจ็บก็ต้องเปลี่ยนม้าเข้ามา ได้ม้าตัวใหม่คราวนี้ก็ได้ม้ามาจากอีกคอกหนึ่งเป็นพ่อพันธุ์ มันก็จะขึ้นทับทุกตัวเลยพอเราขี่ตัวนี้ ทางพี่แอ๊นท์ที่เป็นหัวหน้าทีมม้า ก็จะคอยบอกว่าให้ผมดึงม้าของผมให้ห่างจากม้าตัวอื่นหน่อย เพราะมันจะขึ้นทับอย่างเดียวเลย มันอยู่ใกล้ตัวอื่นไม่ได้เลย อันนั้นก็เป็นอุปสรรคผม
ฉากที่คิดว่าเท่ที่สุดที่เด่นในเรื่องเลยก็คือ หลังจากที่ท่านขุนเขาเป็นโจรเต็มตัวแล้ว ก็จะมีฉากที่เปิดตัวท่านขุนกับแก๊งโจรเชิ๊ตดำ ที่เปิดตัวมาพร้อมกันโดยที่ท่านขุนขี่มอเตอร์ไซต์ออกมา และก็มีเสือฝ้ายกับเสือใบขี่ม้าตามมาท่ามกลางสายฝนที่เราไม่ได้ตั้งใจ ส่วนอีกฉากหนึ่งมันมีฉากแอคชั่นที่ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่านี่แหละขุนพันธ์ภาค 2 ได้เริ่มแล้วก็คือวันแรกที่ถ่ายเลย ฉากที่ท่านขุนอยู่ในทุ่งหญ้า และแก๊งโจรเข้ามาล้อมยิงปืนใส่ ซึ่งท่านขุนเขาก็ใช้วิชาอาคมหนังเหนียวยิงไม่เข้า ปืนนี่มันก็จะมีลูกไฟออกมา แล้วผมก็ต้องวิ่งอยู่ตรงกลางระหว่างแก๊งโจร 2 ข้างที่เขาไล่ยิงใส่ผมอยู่ จำได้เลยว่ากำลังวิ่งยกมือไหว้ท่องคาถา แล้วผมเห็นไฟอะไรสักอย่างวิ่งเข้ามาขอบตา พอมาถึงหน้าผมแล้วมันก็เฉี่ยวออกไป ระหว่างเล่นมันเร็วมากดูเพลย์แบ็กก็คือไฟจากปืนนี่แหละตรงเข้าหาหัวผมเลย สุดท้ายมันก็เฉี่ยวออกไป
อีกฉากที่ขุนพันธ์กับเสือใบจะต้องวิ่งท่ามกลางสวนระเบิด แล้ววันนั้นเราเร่งกันมากเพราะมันเป็นช็อตท้ายๆ ของวัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าระเบิดมันจะใหญ่แค่ไหน ระเบิดอยู่ตรงไหนบ้าง เราสู้กับเวลาเราก็ต้องถ่าย เป้ก็อยู่ด้านหนึ่งผมก็อยู่อีกด้านหนึ่ง พอแอคชั่นก็วิ่งอย่างเดียว เราก็วิ่งไปถึงมาร์กเราให้ได้ แต่ขอบตาเห็นไฟ พอกลับมาเพลย์แบ็กดู โห…ระเบิดลูกใหญ่ไล่ตามหลังมาเป็นช็อตที่เท่มาก ส่วนของผมมันรู้สึกถึงความร้อนอยู่ห่างนิดเดียวเอง ทุกคนตกใจขอโทษไม่คิดว่ามันเป็นระเบิดไฟ แต่ภาพมันก็โอเค อย่างที่ผมบอกในภาคนี้ตัวแอคชั่นมันจะสมจริงมากที่สุด หลายๆ สิ่งที่เห็นในหนังมันเป็นเอฟเฟกต์ของจริงหมด
แล้วเบื้องหลังการทำงานมีอะไรสนุกๆ อีกมั้ย
มีฉากที่เสือฝ้าย เสือใบ และก็เสือบุตร์สาบานต่อองค์พระพุทธรูปว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป ต้องเอามีดกรีดนิ้วแล้วเอาเลือดไปปั๊มในหนังสือว่าเราจะรักกันสามัคคี ต้องคุกเข่าสาบานต่อหน้าพระ แต่ฉากมันตลกตรงที่ว่าเป้เขามีปัญหาเอ็นที่เข่า พี่เบิร์ดก็จะมีปัญหาเรื่องเข่า แต่ผมมีปัญหาเรื่องเท้า พอคัตนี่หมดสภาพกันสามคน เหมือนเป็นโจรชรา โจรพิการ ต่างคนก็ต่างโอ๊ย หลังๆ พี่เบิร์ดก็เอาฟองน้ำมารองเข่า เป้ก็ต้องเอาฟองน้ำมายัดไว้ใต้เข่า ผมก็ต้องเอาถุงทรายมารองเท้า
การทำงานร่วมกับ “ผู้พันเบิร์ด” เป็นอย่างไรบ้าง
พี่เบิร์ดผมไม่เคยเจอ พอเจอแรกๆ ผมก็จะตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก คือเขาดูมีออร่าอะไรบางอย่างมีความน่าเกรงขาม รังสีคือบารมีของเสือฝ้ายมันมีอยู่ในตัวเขาสูงมาก ผมรู้สึกต้องหลบสายตา แค่นั่งอยู่เฉยๆ ช่างดูน่ากลัว คือผมว่าพี่เบิร์ดเขาเกิดมาเพื่อบทนี้ เขาขึ้นหลังม้าแล้วพี่ฝ้ายอยากพูดอยากทำอะไรผมเชื่อหมดทุกอย่าง พวกฉากขี่ม้าเขาคนเดียวที่เอาอยู่ เหมือนนี่คืออาณาจักรของเขาจริงๆ และก็จะยิงปืนฟันดาบสำหรับผมมันดูเป็นเรื่องจริงหมดเลย
ฉากเด็ดอีกฉากหนึ่งคือตัวขุนพันธ์เข้าไปเป็นตลาดมืดที่เป็นท่าน้ำ และทางเสือใบกำลังเจรจาเรื่องอาวุธปืนอยู่ ขุนพันธ์ก็เลยเข้าไปขอร่วมแก๊งกับพวกโจรเชิ๊ตดำ ซึ่งฉากนั้นจะค่อนข้างยากมาก เพราะว่ามันเป็นตลาดน้ำ เสือใบก็จะเกิดเรื่องราวสู้ยิงกันอยู่ที่ท่าน้ำ ช็อตที่เขาอยากได้คือเป็นลองช็อตที่สองคนมาเจอกัน ซึ่งด้านหลังพอมันเกิดเรื่องราวที่มันค้าอาวุธกัน มันจะมีการต่อยตีมีระเบิดเต็มไปหมด และพี่โขมอยากได้ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอยู่ด้านหลังระหว่างที่สองคนนี้กำลังเจรจากันอยู่ต้องชักปืนยิงเฉียดกัน ผมก็ต้องดูดซิการ์ยิงปืนเฉียดและก็ต้องคุยไดอะล็อก ส่วนเป้ก็ต้องควงปืนออกมายิงเฉียดผม คือทุกคนลุ้นกันมาก เพราะองค์ประกอบของช็อตนั้นมันค่อนข้างเยอะมาก เพราะว่ามันต้องมีระเบิดคือมันต้องรีเซต รีเซตทีก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงขั้นต่ำ ทุกคนก็ลุ้นกันหมด ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นช็อตเด็ดของหนังหนึ่งช็อตเลยนะ เรากลับไปดูกันผมกับเป้ภูมิใจในช็อตนั้นมาก
จับตาดูอีกหนึ่งฉากไฮไลต์สำคัญที่น่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งฉากจำที่ทุกคนพูดถึง
ใครที่ได้ดูขุนพันธ์ภาคแรกก็จะได้ดูฉากขุนพันธ์ประจันกับอัลฮาวียะลู ส่วนภาค 2 นี้ก็จะมีเหมือนกันระหว่างขุนพันธ์กับเสือฝ้าย ขุนพันธ์นอนอยู่ตื่นขึ้นมาและก็มีปืนล้อม เสือฝ้ายก็อยากจะลองว่ามีของจริงหรือเปล่า ก็เลยเอาปืนจ่อหน้าอกและก็ยังไม่ทันได้ต่อรองอะไร เสือฝ้ายก็ยิงกระเด็นเลยครับ อ่านบทครั้งแรกเราก็ตกใจนิดหนึ่งว่าพี่โขมกะเอาอย่างนี้เลยเหรอ
อยากฝากบอกอะไรกับแฟนๆ ที่รอคอย “ขุนพันธ์ 2”
สำหรับ “ขุนพันธ์ 2″ ผมการันตีว่าโปรดักชั่นของหนังเรื่องนี้ไม่แพ้ใครแน่นอน ส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเด่นที่เราเห็นของเรื่องนี้คือเราเน้นความสมจริงครับ ทุกส่วนของโปรดักชั่นเลย เราอยากให้คนดูเขาเหมือนอยู่ร่วมในเหตุการณ์กับพวกเรา อยากจะบอกนิดหนึ่งว่าใครที่เป็นแฟนๆ ของภาคแรก แฟนตาซี อาคม หนังพีเรียด ขอบอกว่าภาค 2 ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน จะดุเดือดแค่ไหนท่ านขุนจะกลับมาด้วยวิชาอามคมแบบไหนบ้าง มีของขลังของใหม่อะไรยังไงมาบ้าง ก็ต้องห้ามพลาดนะครับ “ขุนพันธ์ 2” เข้าฉาย 23 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ