ก่อนไปดู “Hunter Killer สงครามอเมริกาผ่ารัสเซีย” หนังสงครามครบรสทุกภาคพื้น ซึ่งเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเรือดำน้ำเอสเอส อาร์คันซอของกองทัพเรือสหรัฐฯ พบข้อมูลลับว่า กำลังจะเกิดการรัฐประหารขึ้นที่รัสเซีย แถมประธานาธิบดีของรัสเซียยังถูกอดีตนายพลแปรพักตร์จับเป็นตัวประกัน ซึ่งหากปล่อยให้เหตุการณ์ บานปลายก็อาจจุดชนวนกลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3″ ได้ทุกขณะ
กองทัพสหรัฐฯจึงตัดสินใจให้ “กัปตันโจ กลาส“ กัปตันเรือดำน้ำเพชฌฆาต “Hunter Killer” ต้องรีบพาลูกเรือทั้งหมดออกปฏิบัติภารกิจสุดระห่ำด้วยการฝ่ามหาสมุทรอาร์กติกรุกเข้าเขตน่านน้ำของศัตรูเพื่อชิงตัวประธานาธิบดีรัสเซียเอาไว้ให้ทันเวลา ในขณะเดียวกับปฏิบัติการคู่ขนานของหน่วยซีลที่ต้องจู่โจมให้ถึงตัวประธานาธิบดีจากภาคพื้นดิน รวมทั้งฝ่ายบัญชาการในตึกเพนตากอนที่ต้องตัดสินใจและทำทุกอย่างด้วยความรัดกุม เพราะเป้าหมายครั้งนี้มี “ความสงบสุข” ของคนทั้งโลกเป็นเดิมพัน!
เราจะพาไป “เจาะลึกถึงเบื้องหลังงานสร้าง” ที่ทำให้ “Hunter Killer” ไม่ได้มีดีแค่ความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจที่คนดูจะได้รับอย่างเต็มอิ่ม เพราะนี่คือหนังสงครามเกี่ยวกับเรือดำน้ำที่สมจริงที่สุดในโลกภาพยนตร์ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก
ทำความรู้จัก “Hunter Killer” อาวุธทำลายล้างใต้มหาสมุทรหมายเลขหนึ่งของโลก
ความหมายจริงๆ ของ “Hunter Killer” หมายถึงยุทโธปกรณ์สงครามที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปฏิบัติภารกิจทางน้ำ โดยในเรื่องนี้จะมีความหมายเจาะจงเฉพาะ “เรือดำน้ำ” ที่มีภารกิจหลักคือการ “ล่า” เรือดำน้ำของฝ่ายศัตรู
ต้นแบบของเรือที่ถูกยกให้เป็น “Hunter Killer” อาวุธทำลายล้างหมายเลขหนึ่งคือ เรือดำน้ำที่ชื่อ “เวอร์จิเนีย คลาส” ซึ่งเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์รุ่นล่าสุดของอเมริกา ที่เริ่มออกปฏิบัติการตั้งแต่ปี 2004 (เรือตระกูลเวอร์จิเนียร์รุ่นแรก เริ่มออกปฏิบัติตั้งแต่ปี 1990) มีจุดเด่นอยู่ที่ความคล่องตัวที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้หลากหลายและยืดหยุ่นได้ตามพื้นที่สถานการณ์ และมีการพัฒนาเพิ่มศักยภาพอยู่ตลอดเวลา ทั้งเทคโนโลยีพรางตัวรุ่นล่าสุด อาวุธนำวิถีที่แม่นยำราวจับวาง กลายเป็นแนวรบหลักใต้สมุทรที่กองทัพสหรัฐฯวางแผนใช้งานถึงปี 2043 เป็นอย่างน้อย
ความยิ่งใหญ่ของ “Hunter Killer” ในคราวนี้นั้นเริ่มต้นตั้งแต่ความแข็งแกร่งจากโครงสร้างน้ำหนัก 7,400 ตัน ประกอบขึ้นจากวัสดุเหล็กกล้า 1,000,000 ชิ้น จากฝีมือของทีมวิศกรและแรงงานช่าง 5,000 ชีวิต สมรรถนะพื้นฐานสามารถดำน้ำได้ลึกสุด 500 ฟุต ใช้เวลาเพียง 14 วันในการดำน้ำรอบโลก และสามารถออกปฏิบัติภารกิจใต้น้ำได้นานถึง 25 ปี โดยไม่ต้องหยุดพัก
อาวุธหลักประกอบด้วย มิสไซล์โทมาฮอว์ก 38 ลูก ตอร์ปิโด 4 ลูก พิกัดยิงไกล 1,200 ไมล์ อานุภาพของอาวุธทั้งหมดรุนแรงกว่าระเบิดที่ถล่มเกาะฮิโรชิมา 3,000 เท่า พร้อมกับส่วนสำคัญที่สุดในงาน “ข่าวกรอง” คือระบบเครื่องดักฟังที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับแล็ปท็อป 2,000 เครื่อง!
เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้รับการร่วมมือกับกองทัพเรือสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
เพื่อนำเสนอภาพเรือ “Hunter Killer” ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องออกมาได้สมจริงที่สุด ผู้กำกับไฟแรงอย่าง “โดโนแวน มาร์ช” (Dollar$ + White Pipes, Spud และ Avenged) ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากกระทรวงความมั่นคงและกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ให้ความเป็นอย่างดี ทั้งการส่ง “รัสเซล คูนส์” ผู้เชี่ยวชาญแห่งกองทัพมาเป็นที่ปรึกษาให้กับหนัง พร้อมกับเปิดโอกาสให้ทีมงานนักแสดงเข้าฝึกตามหลักสูตรจริงของกองทัพเพื่อจำลองวิธีการรับมือเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับตัวเรือ
ที่สำคัญที่สุด คือการอนุญาตให้ทีมงานเข้าไปเก็บภาพของจริงในเรือดำน้ำเวอร์จิเนียร์คลาสของจริง รวมทั้งการส่งทีมช่างเทคนิคมาให้คำปรึกษากับฝ่ายออกแบบงานสร้างอย่างใกล้ชิด ทำให้ทีมงานสามารถสร้างโมเดล 3 มิติ จำลองรูปลักษณ์และบรรยากาศออกมาได้อย่างสมจริงมากที่สุด
ความสมจริงบนเครื่อง “ไฮดรอลิกส์” ขนาดยักษ์ และสตูดิโอที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ก่อนเปิดกล้องมาร์ชเดินทางไปที่ “เพิร์ล ฮาร์เบอร์” เพื่อออกทะเลไปกับลูกเรือเวอร์จิเนีย คลาส (เรือดำน้ำที่เป็นต้นแบบของยูเอสเอส อาร์คันซอใน “Hunter Killer”) เป็นเวลา 3 วันเต็มๆ ซึ่งประสบการณ์ที่ได้ออกทะเลจริงครั้งนี้ได้เปิดมุมมองของเขาจนกลายเป็นไอเดียสุดระห่ำ ด้วยการสร้างฉากเรือดำน้ำทั้งลำบนเครื่องไฮดรอลิกส์ขนาดยักษ์เพื่อสร้างการเคลื่อนไหวภายในเรือให้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพราะเขารู้แล้วว่ สิ่งที่ลูกเรือทุกคนต้องเผชิญภายใต้ระดับความลึกสุดหยั่งนั้น ใช้แค่ CG และเทคนิคการถ่ายภาพอย่างเดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป
โดยผู้ที่มารับหน้าที่นี้คือ “จอน เฮนสัน” (ออกแบบงานสร้างจากเรื่อง Criminal) ที่ได้ยึดพื้นที่ใน Ealing Studios สตูดิโอถ่ายหนังที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเพื่อเนรมิตฉากเรือดำน้ำเอสเอส อาร์คันซอบนเครื่องไฮดรอลิกส์ขนาดยักษ์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ตอบโจทย์ของผู้กำกับที่เคยพูดเอาไว้ว่า
“ถ้าคุณอยู่ในเรือดำน้ำแล้วมันปักหัวลง 50 องศา ทุกอย่างมันจะเริ่มเอียงลง และถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกยึดติดกับกำแพงไว้แล้วล่ะก็มันจะหล่นเละเทะไปหมด การสร้างทั้งฉากขึ้นมาบนเครื่องยกไฮดรอลิกส์ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ทุกคนพอใจกับผลที่ออกมา มันมอบความรู้สึกเหมือนทุกคน กำลังอยู่ใต้ทะเลลึกได้สมจริง”
ฉากสำคัญอื่นๆ อย่าง “ห้องปฏิบัติการของเหล่าหัวกะทิแห่งกองทัพ” และ “ฉากในเรือดำน้ำฝั่งรัสเซีย” ถูกสร้างขึ้นที่ Nu Boyana Film Studios อีกหนึ่งสตูดิโอคุณภาพที่เคยใช้สร้างผลงานในหนังเรื่อง “300: Rise of an Empire”, “The Hitman’s Bodyguard”, “The Expendables 2” มาแล้ว, Pinewood Studios (Jurassic World: Fallen Kingdom, Transformers: The Last Knight, Star Wars: The Last Jedi) ที่จอน เฮนสันใช้ถ่ายทำฉากภายนอกเรือเอสเอส อาร์คันซอที่ถูกสร้างขึ้นในแทงก์น้ำพิเศษเพื่อจำลองภาพเมื่อเรือดำน้ำอยู่ใต้ทะเลลึกขึ้นมาโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ทีมงานยังต้องบุกไปถึง Leavesdon Film Studios (สตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำเรื่อง “Harry Potter”) ที่มีแทงก์น้ำขนาดยักษ์สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อถ่ายทำบุกช่วยประธานาธิบดีซึ่งนับเป็นภารกิจหลักที่สำคัญที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้
การร่วมมือจากหลายฝ่าย สู่ความสมจริงที่กัปตันเรือต้องอ้าปากค้าง
นอกจากนักออกแบบงานสร้างอย่าง “จอน เฮนสัน” ยังมีทีมงานคุณภาพอย่าง “จอห์น ธอมป์สัน” โปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่ที่โปรเจกต์ฟอร์มยักษ์อย่าง “The Expendables”, “Olympus Has Fallen”, “Criminal”, “The Hitman’s Bodyguard” / “เจมี มอส” มือเขียนบทจาก “Ghost in the Shell” / “ทอม มาไรส์” ผู้กำกับภาพชาวแอฟริกาใต้จาก “Avenged” / “แคโรลีน แฮร์ริส” นักออกแบบเครื่องแต่งกาย “Legend”, “42”, “A Knight’s Tale” ที่ต้องทำงานกับที่ปรึกษาของกองทัพเรือตลอดเวลาเพื่อให้เครื่องแบบของทุกคนสมจริงแบบทุกกระเบียดนิ้ว
ผลที่ได้คือความสมจริงที่อยู่เหนือความสวยงามตามที่ผู้กำกับให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“หลาย ๆ ครั้งที่เราเห็นภายในของเรือดำน้ำในหนัง ทุกอย่างมันเงาไปหมด ไม่มีแม้แต่รอยฝุ่น แต่เรือดำน้ำที่ใช้งานของจริงมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สวยงาม มันคือเครื่องจักรสงคราม ถ้าคุณเข้าไปในเรือดำน้ำของจริงคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงงาน มีสายไฟโยงยาง มีอะไรก็ไม่รู้ถูกตอกติดกับกำแพงเต็มไปหมด นี่คือสิ่งที่ผมอยากถ่ายทอดออกมา เพราะมันมีพลังงานความสมจริงอยู่”
และมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาคิด เพราะทันทีที่ “จอร์จ วอลเลซ” ผู้เขียนนิยายต้นเรื่องที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือเวอร์จิเนีย คลาสมาหลายปีถึงกับอ้าปากค้าง
“มันสมจริงจนเหมือนผมอยู่บนเรือเวอร์จิเนียของจริงเลยถ้านับหนังเรือดำน้ำทั้งหมดที่ผมเคยดูมา ผมว่าฉากเรื่องนี้สมจริงที่สุดแบบทิ้งห่างเรื่องอื่นไปหลายช่วงตัว”
ฉากแอคชั่นบนพื้นดิน เปิดสงครามความระห่ำบนพื้นที่ลึกลับในบัลแกเรีย
อีกหนึ่งส่วนที่ขาดไม่ได้ของ “Hunter Killer” คือปฏิบัติการคู่ขนานของหน่วยซีลบนภาคพื้นดินที่ต้องแทรกซึมเข้าไปช่วยประธานาธิบดีออกมาให้ได้
ฉากแอคชั่นส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในรัสเซีย ทีมงานเลือกใช้พื้นที่ในบัลแกเรียที่มีเสน่ห์และความสมจริงต่างจากหนัง สงครามเครื่องอื่นๆ โดยเฉพาะฉากฐานทัพเรือที่โพลียานีที่ประธานาธิบดีถูกจับเป็นตัวประกัน ได้ใช้พื้นที่ในเมืองลึกลับที่อยู่สุดขอบด้านตะวันตกเฉียงใต้ของบัลแกเรียเป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมทั้งฐานทัพเรือของจริงในเมืองวาร์นาบนชายฝั่งทะเลดำก็กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของเรื่องด้วยเช่นกัน
ความทุ่มเทของนักแสดง เพื่อความสมจริงที่ลึกลงไปถึงภายในจิตใจ
“เจอราร์ด บัตเลอร์” รับบทเป็น “กัปตันโจ กลาส”
เขาคือคนที่ไปออกทริปล่องใต้สมุทรพร้อมกับผู้กำกับ “โดโนแวน มาร์ช” เป็นเวลา 3 วัน ไม่เพียงแค่นั้นเขายังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอดีตผู้บังคับบัญชาทหารเรือเพื่อสอบถามถึงความรู้สึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อต้องลงไปปฏิบัติภาร กิจภายใต้ความกดดันใต้มหาสมุทร ทั้งการทำงาน การรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า การออกคำสั่งเมื่อเกิดเหตุวิกฤติ ความรู้สึกของลูกเรือทุกคน ไปจนถึงการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดภายในเรือดำน้ำ
“ไมเคิล นีควิสต์” รับบทเป็น “กัปตันแอนโพรดอฟ”
นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวสวีดิชถูกใจบทนี้ตั้งแต่แรกเห็น เพราะพื้นฐานของชาวสวีดิชจะถูกสอนให้ขับเรือเป็นตั้งแต่เด็ก ก่อนมารับเล่นเรื่องนี้ด้วยการดูหนังเรือดำน้ำสัญชาติเยอรมัน “Das Boot” ซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยรอบเพื่อเตรียมตัวในการรับบทนี้ให้ดีที่สุด
อีกสิ่งที่น่าชื่นชมคือ “ความกล้า” ที่จะเอาชนะความกลัว เพราะจริงๆ แล้วเขาเป็นคนกลัวที่แคบ แต่ก็ตัดสินใจรับบทที่ต้องมาอยู่ในเรือดำน้ำที่แคบที่สุดตลอดเวลา และในที่สุดเขาก็เอาชนะมันได้จริงๆ ก่อนที่จะเขาจะจากโลกนี้ไปด้วยวัย 56 ปี หลังจากต่อสู้กับมะเร็งปอดมายาวนาน
“โทบี สตีเฟนส์” รับบทเป็น “จ่าบิล บีแมน”
เพื่อให้การแสดงสมบทบาทมากที่สุด เขาคืออีกหนึ่งคนที่ยอมรับการฝึกพิเศษโดยตรงจากหน่วยซีลจนได้รับรู้ว่าการเป็นหน่วยซีลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และมีสิ่งที่ต้องเผชิญมากกว่าคนปกติทั่วไปมากขนาดไหน “ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับ การฝึกของหน่วยซีล แต่การหาข้อมูลมันเหมือนคนละโลกกับสิ่งที่ต้องเจอจริงๆ ตอนที่ผมไปฝึกสิ่งที่พวกเขาทำทุกวันมันน่ายกย่องมาก”
“คอมมอน” รับบทเป็น “พลเรือตรี จอห์น ฟิสก์”
แร็ปเปอร์ที่ต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อพลิกบทบาทมาเป็นทหารเรือครั้งแรกในชีวิต เขาต้องใช้เวลาเพื่อศึกษาชีวิตของหนึ่งในทีมงานฝ่ายวางแผนระดับสูงอย่างหนัก จาก “กัปตันรัสเซล คูนส์” ที่ปรึกษาจากกองทัพฯ และการรับบทเรื่องนี้ก็เปลี่ยนความคิดของเขาที่มีต่อทหารเรือไปตลอดกาล โดยเฉพาะความรู้สึกเคารพต่อผู้ที่เสียสละเพื่อปกป้องประเทศชาติที่ต้องผ่านเรื่องราวหนักหนาสาหัสมาขนาดไหน
เตรียมพร้อมจัดเต็มความมันส์นันสต๊อปที่คอแอคชั่นไม่ควรพลาด! “Hunter Killer สงครามอเมริกาผ่ารัสเซีย” 25 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์