(ภาพ: Cannes 2023)
(ภาพ: Reuters)
(ภาพ: Loïc Venance / AFP via Getty)
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณครู นักเรียน และผู้ปกครองใน “Club Zero”
ภาพยนตร์ “Club Zero” สำรวจการที่พ่อแม่มอบหน้าที่ดูแลลูกของพวกเขาให้กับครูที่ใช้ความไว้วางใจนี้ผิดวิธี “ครูโนแว็ก” ตัวเอกของเรื่องควบคุมเด็กๆ และทำให้พวกเขาห่างจากพ่อแม่ตัวเอง เมื่อพ่อแม่ตัดสินใจจะช่วยเหลือลูกของตนมันก็สายไปเสียแล้ว พวกเขาถูกบังคับให้ต้องอยู่กับฝันร้ายที่สุดของพ่อแม่ทุกคนนั่นคือการสูญเสียลูกของตนเองไป หนังกล่าวถึงความกลัวที่มีอยู่นี้และไตร่ตรองว่า “พ่อแม่จะเช็กลูกๆ ของตนได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาไม่มีเวลาเพียงพอ”
ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจกแต่เป็นปัญหาระดับสังคม เรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นกับฉันได้ กับคุณด้วยเช่นกัน พ่อแม่ไม่รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนและไม่มีเวลามากพอ หรือไม่มีแม้แต่หนทางที่จะรู้ได้เลย พวกเราอาศัยอยู่ในหลักคุณธรรมที่ทำให้เราทำงานมากขึ้น ฉันถูกพาไปสู่ความประทับใจที่ว่าความล้มเหลวของผู้ปกครองนั้นมันเป็นระบบ “Club Zero” ดำเนินเรื่องอยู่ที่โรงเรียนประจำเพื่อเน้นให้เห็นความที่ผู้ปกครองต้องพึ่งพาคุณครูในการดูแลลูกๆ ของตน ในสังคมของพวกเรานั้นคุณครูมักจะได้รับค่าจ้างที่น้อยและไม่ได้รับการยกย่องมากนัก ทั้งที่มันควรเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพอย่างสูงและควรได้ค่าจ้างที่เหมาะสมด้วย ผู้ปกครองควรจะเชื่อใจคุณครูอย่างเต็มที่หรือควรจะรับผิดชอบให้มากกว่านี้? และเป็นไปได้อย่างไรในสังคมที่ขึ้นอยู่กับการทำงานและความสำเร็จ ฉันสนใจในเรื่องที่ว่าสังคมของเราได้รับการมอบหมายความรับผิดชอบแบบนั้นอย่างไร “คุณดอร์เซต” ซึ่งเป็นครูใหญ่ในเรื่องนี้กล่าวว่าผู้ปกครองไม่มีเวลาให้ลูกๆ ของตน ดังนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าจะให้ความสนใจและความรักทั้งหมดแก่พวกเขาเท่าที่พวกเขาต้องการ
เยาวชน, อุดมการณ์ และการจัดการ (Youth, Ideology & Manipulation)
คนหนุ่มสาวสมัยนี้กลัวความล้มเหลวของตัวเอง พวกเขาต่อสู้เพื่อมัน พวกเขาต้องการที่จะทำเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพื่อมีอำนาจเหนือชีวิตตัวเอง เพื่อสร้างความแตกต่าง หรือเพื่อตามหาความหมาย พวกเขาต้องการที่จะช่วยโลกนี้และทำแบบนั้นไปก็เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง พวกเขากลายเป็นคนสนใจเรื่องการเมือง บ้างก็เข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรง พวกเขาไม่อยากรอจนกระทั่งมันสายเกินไป ฉันเข้าใจนะแล้วก็รู้สึกเห็นใจคนในยุคสมัยนี้มากๆ
ใน “Club Zero” ครูโนแว็กฉวยประโยชน์จากความกลัวและความหวังของเด็กๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง เธอผสมผสานความกลัวและความปรารถนาของพวกเขาเข้ากับอุดมการณ์ของเธอ เธอเชื่ออย่างแท้จริงเลยว่าเธอกำลังช่วยเด็กๆ และพวกเขาก็ทำเกินไปแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คำชักจูงของเธอนั้นแสนจะอันตราย ความเชื่อของเธอพบเจอกับความหวังของเด็กๆ เพื่อจะเปลี่ยนโลกและเพิ่มความโน้มเอียงที่แสนอันตรายต่อการพัฒนาความผิดปกติของการกินของเด็กบางคน ฉันเรียนที่โรงเรียนคาทอลิกหญิงล้วนตอนช่วง 1980 และการกินน้อยเป็นสิ่งที่แพร่หลายมาก มันคือการแข่งขันในหมู่พวกเรา พวกเราแค่เคี้ยวหมากฝรั่งไม่มีน้ำตาลและรู้สึกขยะแขยงเด็กที่กินแซนด์วิชไข่ในช่วงพัก จริงๆ แล้วพวกเราก็ชื่นชมเธอนะ เพราะเธอไม่แคร์ในสิ่งที่พวกเราคิด มันเป็นแรงผลักดันที่น่าสนใจมาก มันเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของและสถานที่ที่มีกฎที่คุณต้องทำตาม ซึ่งแรงผลักดันนี้ก็มีอยู่ใน “Club Zero” ด้วย
มันมีความคิดแบบเป็นกลุ่มที่ยากที่จะหนีพ้น ในช่วงเวลานั้นเพื่อนของฉันเบื่ออาหารจนเข้าโรงพยาบาลไปเป็นอาทิตย์ มันทำให้ฉันเข้าใจว่าความผิดปกตินี้อันตรายถึงชีวิตยังไง ฉันมองว่ามันเป็นอาการเสพติดรุนแรง มันยากมากที่จะหยุดและเริ่มกลับมากินอีกครั้ง การไม่กินอะไรเลยก็เป็นการลงโทษคนอื่นทางหนึ่งเหมือนกัน สำหรับผู้ปกครองแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดเลยเวลาเห็นลูกตนเองไม่ยอมกินข้าว มันเป็นการปฏิเสธที่แปลได้ว่าเป็นการปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่เหมือนกัน ที่มาของการปฏิเสธนี้นั้นเป็นคำถามสำคัญที่จะถามเหมือนกัน ฉันได้แต่คิดถึงเรื่องหิวโหยตอนเขียนบท “Club Zero” การปฏิเสธอาหารก็เป็นการประท้วงทางการเมืองรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน รูปแบบที่รุนแรงของการต่อต้านแบบไร้ความรุนแรงไม่ว่าจะต่อพ่อแม่หรือต่อสังคมก็ตาม
ศรัทธา การอดอาหาร และศาสนา (Faith, Fasting & Religion)
การควบคุมอาหารเป็นส่วนหนึ่งของศาสนามาโดยตลอด ฉันคิดว่าเพราะการอดอาหารทำให้คุณรู้สึกถึงความสูงส่งที่ส่งเสริมการตระหนักรู้ในทางจิตวิญญาณ คุณเปลี่ยนจิตใจได้ผ่านการเปลี่ยนการทานอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นแล้วการควบคุมการบริโภคอาหารยังหมายถึงการควบคุมร่างกายของคุณด้วย มันเสริมสร้างความรู้สึกของพลังและการเป็น “คนพิเศษ” การกินนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวมากแต่บางครั้งก็เป็นเรื่องของสังคมมากเช่นกัน ลองคิดดูนะว่าคุณเจอเพื่อนๆ เพื่อไปทานอาหารเย็นกันแต่คุณไม่ทาน สิ่งนี้สามารถทำให้พวกเขารู้สึกโดนโจมตีได้ มันทำให้พวกเขาหงุดหงิดได้ ทำไมล่ะ เพราะคุณตั้งคำถามกับการใช้ชีวิตของพวกเขา พวกเราต่างเชื่อในบางสิ่ง ไม่มีใครรอดจากเรื่องงมงายหรอก พวกเราต่างเหมาะกับกลุ่มที่มีหลักการหรือหลักปฏิบัติบางอย่าง พวกเราจำเป็นต้องเข้าใจความเชื่อที่เป็นปัจเจกของพวกเราเพื่อที่จะเข้าใจว่าครูโนแว็กและเด็กๆ เชื่อมั่นในความเชื่อของพวกเขาอย่างไร “ศาสนาอาหาร” ของพวกเขาคือตัวอย่างของความเชื่อของกลุ่มหัวรุนแรง
เทพนิยายและต้นแบบ (Fairy Tales & Archetypes)
เทพนิยายดั้งเดิมถูกเล่าเพื่อช่วยเด็กๆ (และผู้ใหญ่) ให้ได้รับเข็มทิศทางศีลธรรม เพื่อรู้จักผิดชอบชั่วดี ใน “Club Zero” ครูโนแว็กและเด็กๆ ตั้งคำถามว่าสิ่งที่พวกเราคิดมันถูกจริงๆ เหรอ พวกเขามีความจริงของพวกเขาเอง แม้พวกเขาจะอดยากอย่างชัดเจนแต่พวกเขาก็ยังเชื่อ แรงบันดาลใจสำคัญของฉันคือเทพนิยายเรื่องนักเป่าปี่แห่งฮาเมลน์ ซึ่งเด็กๆ ทุกคนตายในตอนสุดท้ายของเรื่องทั้งหมดยกเว้นหนึ่งคนผู้ที่ป่วยวันนั้นพอดีเลยไม่ได้ไปร่วมกับเด็กคนอื่นๆ นอกจากนี้ฉันยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายรัสเซียหลายเรื่องด้วย
เทพนิยายรัสเซียถ่ายทอดคุณธรรมที่แตกต่างไปจากเทพนิยายยุโรปอย่างสิ้นเชิง ศีลธรรมถูกเผยแพร่ไปในทางที่แตกต่างกัน พวกโจรและอันธพาลมักเป็นพระเอกของเรื่อง การใช้เทพนิยายเป็นแรงบันดาลใจยังช่วยให้มีแนวทางที่ไกลกว่านั้นด้วยซึ่งเป็นมุมมองทั่วไป รายละเอียดทางจิตวิทยาหรือสังคมถูกผลักเข้าสู่พื้นหลังเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นสากลมากขึ้น ตัวละครมีลักษณะคล้ายกับต้นแบบมากกว่าตัวปัจเจก สุนทรียภาพเน้นย้ำถึงคุณภาพที่เป็นสากลของเรื่องราว ทั้งฉาก เครื่องแต่งกาย เครื่องแบบ พวกเราไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องราวดำเนินไปเมื่อไหร่หรือที่ไหน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลสำหรับโรงเรียนประจำและเป็นภาษาภาพยนตร์สากลด้วย มีความไร้แก่นสารบางอย่างที่อาศัยอยู่ในการดำรงอยู่ของพวกเรา เมื่อมองจากมุมมองที่ห่างไกล หลายๆ สิ่งที่เราเชื่อและเราดูเหมือนน่าขัน ไร้แก่นสาร หรือไร้ประโยชน์ ในภาพยนตร์ของฉัน ฉันมักจะพยายามหามุมมองที่ห่างไกลเพื่อที่จะสะท้อนสิ่งนี้ “Club Zero” ถูกเล่าจากมุมมองแบบนั้น การพูดเกินจริงถึงขอบเขตของความไร้แก่นสารทำให้เกิดแนวทางที่ตลกขบขันมากขึ้นในธีมที่มืดหม่นของภาพยนตร์เรื่องนี้
“Club Zero ชมรมหมายเลข…สูญ” 2 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์