หากเอ่ยชื่อ “นีล เบอร์เกอร์” รับรองได้ว่าคอหนังต้องคุ้นชื่อในฐานะผู้กำกับไอเดียสุดบรรเจิดที่แจ้งเกิดจากหนังเขย่าขวัญไฮคอนเซ็ปต์อย่าง “Limitless” (2011) รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง “Divergent” (2014) และ “Voyagers” (2021) พร้อมกระแสการตอบรับอย่างอบอุ่นในทุกครั้งที่เขามีผลงานออกมา
และครั้งนี้ “นีล เบอร์เกอร์“ กลับมาพร้อมแล้วกับโปรเจกต์ใหม่ที่จะกระตุ้นอะดรีนาลีนกับความตื่นเต้นสุดขีดคลั่งใน “The Marsh King’s Daughter ล่าแค้นสันดานดิบ” ภาพยนตร์ทริลเลอร์เอาตัวรอดที่เล่าเรื่องราวของ “เฮเลนา“ (เดซี ริดลีย์) หญิงสาวที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายอยู่กับสามีและลูก แต่กลับซ่อนความลับอันดำมืดไว้ภายในว่าแท้จริงแล้วพ่อของเธอคือ “มาร์ชคิง“ (เบน เมนเดลโซห์น) โคตรอาชญากรที่จับและขังแม่ของเธอไว้กลางป่าลึกนานหลายปี เฮเลนาต้องรับมือกับฝันร้ายจากอดีตที่ตามหลอกหลอนมาตลอดชีวิต ทั้งยังถูกบีบให้เผชิญกับความมืดในจิตใจอีกครั้ง เมื่อได้ข่าวว่าพ่ออำมหิตของเธอหนีออกจากคุก และแน่นอนว่าเป้าหมายถัดไปของมาร์ชคิงคือตัวเธอและครอบครัว เฮเลนาต้องยืนหยัดป้องปกครอบครัวของตนจากชายที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเรียกว่าพ่อ การล่าแค้นสุดเดือดระหว่าง “พ่อ-ลูก” จึงเริ่มต้นขึ้น…
คุณเข้ามามีส่วนร่วมกับโปรเจกต์นี้ได้ยังไง
ผมมองหาหนังที่มีฉากหลังเป็นธรรมชาติ มี “ป่าไม้” เป็นเหมือนตัวละครอีกตัว ผมยังสนใจประเด็นที่ว่า “อะไรที่หล่อหลอมเราขึ้นมา” จะพ่อแม่, ประสบการณ์ในวัยเด็ก, แม้กระทั่งบาดแผลในใจ เราจะเป็นคนแบบนั้นตลอดไป หรือสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเลือกจะเป็นตัวของตัวเอง ปมนี้คือสิ่งที่ “เฮเลนา” คาแร็กเตอร์นำของเรื่องกำลังเผชิญ เธอต้องเอาตัวเองออกมาจาก “พ่อบังเกิดเกล้า” เขาเป็นตัวอันตราย ผมกับ “เท็ดดี้ ชวาร์ซแมน” (ผู้ควบคุมการสร้าง) หาโอกาสทำงานด้วยกันสักพักแล้ว ผมบอกไอเดียคร่าวๆ บังเอิญเขามีบทที่เหมาะอยู่ในมือพอดี เขาเลยส่งมาให้ผม
สถานที่ถ่ายทำมีอิทธิพลต่อการเล่าเรื่องอย่างไร ช่วยบรรยายถึงการถ่ายทำในป่าให้ฟังหน่อย
สำหรับ “เฮเลนา” เธอมอง “ป่า” ที่เธอเคยใช้ชีวิตเหมือนเป็น “สวนอีเดน” เมื่อไหร่ที่เธออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เธอจะรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ทุกครั้งที่เธอได้ยินเสียงนกร้อง เสียงใบไม้ไหว ลมเบาๆ กระทบหน้า แต่เธอถูกบีบให้ลาจากที่ที่เธอควรจะอยู่ทำให้เธอยังถวิลหามันตลอดมา ดังนั้นการหาสถานที่ในธรรมชาติที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เราต้องการให้มันมีความเป็นป่าจริงๆ แบบที่ไม่เคยผ่านมือมนุษย์ มันแตกต่างจริงๆ นะ เราต้องควานหากันไกลเพื่อให้ได้ภาพป่าที่สมบูรณ์ อย่างเช่นเราเลือกสถานที่หนึ่งไว้ถ่ายทำหนึ่งสัปดาห์ เราต้องนั่งรถบนถนนลูกรังเป็นชั่วโมงเพื่อไปถึงแม่น้ำ จากนั้นต้องล่องเรืออีก 45 นาที และเดินเท้าต่ออีกครึ่งชั่วโมงจึงจะถึงจุดที่เราเลือกไว้ การที่เราถ่ายกันไกลปืนเที่ยงขนาดนี้ทำให้เรามีเวลาถ่ายไม่มาก ขนของก็ลำบาก สิ่งอำนวยความสะดวกแทบไม่มี แต่สิ่งที่เราได้มามันคุ้มค่ามาก
แล้วการทำงานที่หน้ากองเป็นยังไงบ้าง “เดซี, เบน, และ บรูกลินน์ พรินซ์” (เฮเลนาวัยเด็ก) มอบอะไรให้กับบทของพวกเขาบ้าง
เพราะสถานที่ถ่ายทำเลยลำบากพอสมควร แต่แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคขนาดไหน “เดซี” ก็เอาชนะมันได้หมด เธอมอบการแสดงอันทรงพลังให้บท “เฮเลนา” เธอถ่ายทอดปมในใจทั้งหมดออกทางสีหน้าและท่าทาง ในฐานะผู้กำกับผมโล่งใจที่ได้เห็นนักแสดงที่คุณเลือกมาพร้อมทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่คุณต้องการออกมา
“เบน” เป็นนักแสดงที่คนทั้งวงการให้ความเคารพ เขาเข้ามายกระดับการทำงานของทุกคนในกอง เขาใจเย็นพร้อมให้คำแนะนำเสมอ เขาเป็นคนน่ารัก ทำงานด้วยง่าย และแน่นอนออร่าความน่าเกรงขามของเขาแผ่ออกมาในทุกๆ ซีนที่เขาแสดง
“บรูกลินน์ พรินซ์” เก่งเกินอายุ เธอเพิ่งสิบเอ็ดขวบ แต่เธอมีเทคนิคการแสดงที่เฉียบไม่แพ้ผู้ใหญ่ นักแสดงทุกคนประทับใจการทำงานของเธอ อีกอย่างเธอเป็นคนที่ผมชอบคุยด้วยที่สุดระหว่างพักกอง เธอมีหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจไม่เว้นแต่ละวัน ไม่น่าเชื่อใช่ไหม แต่นี่มันเรื่องจริง
คุณมีวิธีสร้างบรรยากาศในกองให้เหมาะการทำงาน เพราะประเด็นใน “The Marsh King’s Daughter” นั้นเข้มข้นและลึกซึ้งมาก
ในฐานะผู้กำกับคุณต้องสร้างบรรยากาศที่เหมาะกับการทำงานให้นักแสดงเพื่อให้เขาทำงานออกมาได้ดีที่สุด บรรยากาศที่เหมาะให้พวกเขาอุ่นใจพร้อมปลดปล่อยอารมณ์ออกมา สำหรับเรื่องนี้มันเป็นเรื่องยากมาก เพราะนักแสดงต้องเดินริมผา ล่องไปตามกระแสน้ำเชี่ยว หรือเดินฝ่าโคลนสูงครึ่งแข้ง ขณะที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครพวกเขาซึ่งเป็นหัวใจของเรื่องออกมา มันกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผมพยายามทำให้นักแสดงรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้พวกเขาลืมความลำบากไปก่อน ให้โฟกัสที่ตัวละครซึ่งมันไม่ง่ายเลย
ความสัมพันธ์ระหว่าง “เฮเลนา” และ “พ่อของเธอ” นั้นซับซ้อน คุณช่วยอธิบายความขัดแย้งในตัวเธอได้ไหม การที่เธอยังคงรักและเทิดทูนพ่อตัวเอง แม้เธอจะรู้ว่าเขาเคยทำอะไรกับเธอและแม่ไว้บ้าง
“เฮเลนา” มีวัยเด็กที่งดงาม เธออยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดจากพ่อของเธอ “เจค็อบ” (พ่อของเฮเลนา) ทำให้บ้านของเธอเหมือนเป็นแดนสวรรค์ ต่อมาเธอรู้ความจริงเกี่ยวกับเขา แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าเธอมีความสุขแค่ไหนเมื่อได้อยู่กับพ่อ เธอโหยหาความรู้สึกนั้นอีกครั้งแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงได้ พ่อของเธอคือศัตรูตัวฉกาจ แต่เขาก็เป็นคนสอนเธอทุกอย่าง อารมณ์ที่ขัดแย้งกันนี้คือหัวใจของเรื่อง อดีตที่กลับมาหลอกหลอน เราจะจัดการกับความรู้สึกที่สับสนนี้อย่างไร เราจะปล่อยวางอดีตพ้นหรือจมอยู่กับมัน
อะไรที่ทำให้หนังเรื่องนี้พิเศษ ผู้ชมควรจะคาดหวังอะไรจากหนังเรื่องนี้
ผมว่ามันมีความระทึกและตัวละครที่มีมิติ หนังเขย่าขวัญจะทำงานได้ดีเมื่อผู้ชมอินกับตัวละคร ถ้าผู้ชมเอาใจช่วยตัวละครมันจะเหมือนพวกเขาได้สัมผัสทุกอย่างผ่านสายตาตัวละครไปด้วย เรื่องราวของมันไม่เหมือนเรื่องไหน ตัวละครที่อยู่ระหว่างสองโลก “เฮเลนา” มีปมในใจที่เกิดขึ้นระหว่างอยู่ในป่าและตอนที่เธอต้องปรับตัวเข้ากับสังคม แต่เธอเลือกที่จะลูกขึ้นสู้และเผชิญหน้ากับปมเหล่านั้น
เตรียมลุ้นระทึกความสนุกตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจกับหนัง Survival Thriller ที่สร้างจากนิยายเรื่องเยี่ยมระดับเบสต์เซลเลอร์ใน “The Marsh King’s Daughter ล่าแค้นสันดานดิบ“ 30 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์