สัมภาษณ์ “จุน ชิซง” และ “มาซากิ โอคาดะ”
คุณตีความการแสดงออกทางอารมณ์และการแสดงออกทางร่างกายของตัวละครของคุณอย่างไร เพราะว่าพวกเขามีการแสดงออกที่แตกต่างกันมากเวลาที่อยู่ด้วยกัน
มาซากิ โอคาดะ: “ฮิยาคาวะ” เป็นผู้ชายที่ไม่เข้าใจการเข้าสังคมและมีลักษณะเหมือนเด็กๆ ครับ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆ ถึงพูดหรือแสดงออกแบบนั้น แล้วเขามักจะพูดว่า “ทำไมนายต้องโกรธด้วยล่ะ” ผมไม่เคยแสดงตัวละครแบบนี้มาก่อนเลย แต่มันน่าสนใจมากๆ เวลาที่ “มิคาโดะ” (จุน ชิซง) ไปไหนสักที่หนึ่งเขาก็จะแอบตามต้อยๆ เหมือนเด็ก “ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะหมอนั่นเป็นของฉันไงล่ะ”
บางครั้ง “ฮิยาคาวะ” ก็แสดงออกเหมือนกับต้องการผูกขาดเหมือนกันนะ
จุน ชิซง: ครับ ประมาณว่าฉันจะมัดนายไว้กับฉันเดี๋ยวนี้ล่ะ
มาซากิ โอคาดะ: ใช่เลย (หัวเราะ) จะให้พูดง่ายๆ ว่าผมมีความต้องการที่อยากผูกขาดไว้กับตัวเองคนเดียว ผมคิดว่าจะแสดงออกมาอย่างไรให้มันแตกต่างออกไป และมันมีจุดหนึ่งเหมือนกันที่ฮิยาคาวะเองก็มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา ผมคิดว่ามันเหมือนกับเป็นรางวัลเลยที่ได้แสดงบทที่สนุกแบบนี้ในขณะต้องคิดวิธีแสดงออกมาด้วย
จุน ชิซง: ผมคิดว่ามิคาโดะเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้ง่ายมากที่สุด และมันสำคัญที่จะต้องตั้งมาตรฐานเอาไว้ในการแสดง ผู้กำกับ “ยูกิฮิโระ โมริงากิ” พูดกับผมว่า “ผมอยากให้คุณกั้นผู้ชมออกไป” และผมปรับรูปแบบการแสดงโดยรักษาสมดุลอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นผมก็พยายามแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาในการตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของผม
“มิคาโดะ” เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึก “ธรรมดาสามัญ” ที่ผู้ชมจะเอาใจช่วยได้ง่าย
จุน ชิซง: ถ้าความธรรมดาของเขาถูกนำแสดงในทิศทางที่ต่างออกไป ผมมั่นใจว่าผู้ชมอาจจะรู้สึกต่อต้านอยู่เหมือนกัน หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเติบโตของมนุษย์ เพราะงั้นผมจึงแสดงออกมาว่าผมจะต้องมีความแข็งแกร่งที่ชัดเจนครับ
สัมภาษณ์ “จุน ชิซง” และ “เทะจิ-ยูรินะ ฮิราเตะ”
ความประทับใจแรกของคุณกับเรื่อง “The Night Beyond the Tricornered Window” เป็นอย่างไรบ้าง
ยูรินะ ฮิราเตะ: ตอนที่ฉันตัดสินใจเล่นเรื่องนี้ ฉันไปอ่านมังงะต้นฉบับมาก่อนค่ะ ปกติแล้วฉันไม่ค่อยได้อ่านมังงะเท่าไหร่ แต่อ่านแล้วก็อยากรู้เรื่องราวต่อไป เลยยิ่งอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันมีความสดใหม่หลายๆ อย่างเลยค่ะ
จุน ชิซง: ส่วนผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีความเป็นแฟนตาซี แต่ก็มีความเป็นจริงด้วย มันยังมีความดิบๆ ของเรื่องที่ทำให้เชื่อได้ว่าวิญญาณสามารถมองเห็นได้และสามารถกำจัดไปได้ มันดูเป็นเรื่องนามธรรมมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็สมจริงครับ
ตรงไหนบ้างที่คุณคิดว่ามันดูสมจริง
จุน ชิซง: เรื่องนี้เปลือกนอกมันเป็นเรื่องของสิ่งลึกลับ แต่แก่นของมันจริงๆ คือเรื่องของตัวละครที่ยอมรับปมปัญหาของตัวเอง ก้าวผ่านมันไป และเติบโตขึ้น ผมว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยากสื่อให้สังคมได้รับรู้ครับ
ความยากลำบากในการรับบทนี้คืออะไร
จุน ชิซง: มันยากที่จะแสดงอารมณ์ที่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ อย่างเช่นตอนแรกเมื่อตื่นมาก็มีความรู้สึกซึมเศร้าหรือเป็นลมไปเพราะความรู้สึกด้านลบที่มากไป มันต้องใช้ร่างกายค่อนข้างมากอยู่ครับ โดยเฉพาะตัวละครของผมที่ต้องมีฉากแสดงอาการชักและอาการหายใจเกิน (Hyperventilation) ผมมักจะหายใจออกมาเป็นเสียงแบบฮ่าาาฮาาา เพราะผมทำมากเกินไประหว่างซ้อมถ่าย ผมรู้สึกว่าตัวเองขาดออกซิเจนจริงๆ และตาก็วูบวาบไปหมด (หัวเราะ)
ยูรินะ ฮิราเตะ: เข้าใจเลยค่ะ ฉันก็มีฉากคล้ายๆ กันที่ต้องมีอาการชัก มันยากมากเลยนะ (หัวเราะ)
แล้ว “ฮิราเตะ” คิดว่าอะไรยากที่สุดในการรับบทนี้
ยูรินะ ฮิราเตะ: เรื่องนี้ฉันได้ใส่เครื่องแบบนักเรียนหญิงเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้ใส่มาสักพักค่ะ ฉันว่าเนี่ยแหละสิ่งที่ยากที่สุดเลย เพราะกระโปรงมันสั้นมาก สั้นแบบฉันคงไม่มีทางใส่สั้นแบบนี้ ฉันเลยต้องคอยจัดกระโปรงตลอดเวลา (หัวเราะ) ฉันอยากจะเล่นให้เหมือนนักเรียนที่ใส่ชุดแบบนี้จริงๆ ค่ะ แต่ก็คิดไปด้วยว่า “พวกเขาใส่มินิสเกิร์ตเดินได้ไงเนี่ย”
ได้ข่าวว่าตอนถ่ายอากาศค่อนข้างหนาวด้วยนี่นา แล้วไม่ลำบากเหรอ
ยูรินะ ฮิราเตะ: ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ
จุน ชิซง: ไม่จริงครับ มันหนาวเลยล่ะ แต่เธอจะไม่พูดออกมากหรอก เธอจะบอกว่าไม่หนาวๆ ทั้งๆ ที่ตัวสั่นไปหมดแล้ว และยังมีซีนที่ฮิราเตะต้องล้มเข่ากระแทกพื้น สตาฟฟ์ก็เตรียมสนับเข่าให้ใส่เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนะ แต่เธอไม่ยอมใส่แถมไม่ร้องออกมาสักแอะเลย
นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลย ทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ
ยูรินะ ฮิราเตะ: ฉันอยากรู้สึกแบบเดียวกับที่เอริกะรู้สึกค่ะ เลยคิดว่าควรปล่อยให้เป็นแบบนั้นดีกว่า ฉันว่ามันคงไม่เวิร์กนะถ้าใส่สนับเข่า
บทบาท 3 ตัวละครหลัก + ประวัติ 3 นักแสดงนำ
“โคซูเกะ มิคาโดะ” (แสดงโดย “จุน ชิซง”)
เขามักจะสวมแว่นตาอยู่เสมอ แต่เมื่อเวลาที่เขาต้องการแยก “คนเป็น” ออกจาก “คนตาย” เขาจะถอดแว่นออกมา
เพราะภาพที่เห็นนั้นจะเบลอไปหมด ยกเว้น “บางสิ่ง” ที่ไม่มีใครเห็น แต่เขาจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา “มิคาโดะ” หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าวิญญาณ ทำได้แค่หนีเอาตัวรอดมาโดยตลอด
จนกระทั่ง “ฮิยาคาวะ” เข้ามาในชีวิต การที่ต้องใกล้ชิดกับฮิยาคาวะในการทำงานแต่ละครั้งทำให้มิคาโดะกระอักกระอ่วนใจ
เพราะฮิยาคาวะต้องสัมผัสร่างกายของเขาและใช้เขาเป็นเครื่องมือในการกำจัดวิญญาณ
แต่เมื่อฮิยาคาวะใช้พลังผ่านร่างกายของเขามันทำให้เขารู้สึกดีอย่างไม่อาจบรรยายได้
แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าฮิยาคาวะใช้เขาเหมือนเป็น “เครื่องมือ” ในการทำมาหากิน
“จุน ชิซง” นักแสดงหนุ่มหน้าใสวัย 26 ปี เขาเข้าวงการบันเทิงด้วยการเป็นสมาชิก “D-BOYS & D2” กลุ่มนักแสดงชายในสังกัด “Watanabe Entertainment” ซึ่งเน้นในการพัฒนาทักษะให้นักแสดงในสังกัดได้ลองทำงานหลายๆ ด้าน ทั้งการแสดงหนังหรือซีรีส์ แสดงตลก วาไรตี้ ดนตรี และละครเวที รวมไปถึงการจัดแฟนมีตติ้ง ชิซงเป็นสมาชิก D2 เมื่อปี 2011 และเปิดตัวด้วยการแสดงละครเวทีมิวสิคัลเรื่อง “Prince of Tennis” (2011-2014) เขาเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเมื่อปี 2014
หลังจากแสดง “Ressha Sentai ToQger ขบวนการรถไฟทคคิวเจอร์” (2014-2015) และปี 2015 เขาได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์ “Senpai to Kanojo สวัสดีรุ่นพี่ที่รัก” หนังที่สร้างมาจากมังงะเรื่องดังของ “อัตสึโกะ นันบะ” ซึ่งเธอเลือกชิซงมาเป็นพระเอกด้วยตัวเอง เพราะเธอเป็นแฟนตัวยงของทคคิวเจอร์
หลังจากนั้นชิซงก็มีงานดีๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่องและได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมาย เขาได้โชว์ความสามารถในซีรีส์เรื่อง “Life As a Girl” (2018) ซึ่งขารับบทเป็น “มิกิ” สาวทรานสเจนเดอร์ที่มีความชอบเพศเดียวกัน (เธอคือผู้หญิงข้ามเพศที่รักผู้หญิงและมีความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน) โดยเรื่องนี้เขาแสดงร่วมกับ “เคตะ มาจิดะ” นักแสดงหนุ่มสุดฮอตที่ปัจจุบันกำลังดังจากซีรีส์ “Cherry Magic” (2020) ด้วย บทบาทที่ท้าทายและซับซ้อนนี้เขาแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและได้รับรางวัล “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” จากเวที “Confidence Award Drama Prize ครั้งที่ 11” (2018)
ชิซงมีผลงานเด่นทางภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เช่น “Ossan’s Love: Love or Dead” (2019) และ “High&Low The Worst (2019) รวมไปถึงได้พากย์เสียงภาษาญี่ปุ่นให้กับแอนิเมชัน “Onward” (2020) ในบท “เอียน ไลต์ฟุต” (เวอร์ชันฮอลลีวูดพากย์โดย “ทอม ฮอลแลนด์”) ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2021 ที่ผ่านมา “จุน ชิซง” ป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลันจนต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน แต่ปัจจุบันเขากลับมาทำงานได้แล้ว
“ริฮิโตะ ฮิยาคาวะ” (แสดงโดย “มาซากิ โอคาดะ”)
ชายหนุ่มปริศนาที่เข้าหา “มิคาโดะ” เพื่อใช้พลังของมิคาโดะในการทำอาชีพผู้ปัดเป่าวิญาณ “ฮิยาคาวะ” เป็นผู้ที่มีพลังวิเศษมหาศาล
แต่พลังของเขานั้นอันตรายและเขาเองก็มีความลับดำมืดกับอดีตที่เป็นโศกนาฏกรรมที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจตอบได้ว่าเขาเป็น
“ผู้ถูกกระทำ” หรือ “ผู้กระทำผิด” กันแน่ ทันทีที่เขาได้พบกับมิคาโดะเขารู้สึกว่าเขาได้เจอคนที่เขาตามหามานานทั้งชีวิต
และต้องการจะผูกมัดมิคาโดะไว้กับเขาแต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าเขาจะบอกมิคาโดะว่าอยู่กับเขาแล้วไม่ต้องกลัว
แต่เขาก็ทำให้มิคาโดะต้องตกอยู่ในสถานการณ์สุดสยองและเป็นอันตรายต่อชีวิตอยู่บ่อยๆ
“มาซากิ โอคาดะ” เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปี 1989 หนุ่มจากโตเกียวเริ่มเดบิวต์ในวงการในปี 2006 และได้รับรางวัล “Newcomer of the Year” ในปี 2010 จากการแสดงในภาพยนตร์ในปี 2009 ถึง 3 เรื่องคือ “I Give My First Love to You”, “Honokaa Boy” และ “Juryoku Pierrot” (Gravity Clown) ทำให้เขาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงตั้งแต่เข้าวงการได้ไม่นาน จากนั้นเขาได้ “เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” จากเรื่อง “Confessions” (2010) และ “Villain” (Akunin, 2010) ในเวทีรางวัล “34th Japan Academy Prize” เมื่อปี 2011
โอคาดะเคยแสดงในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากมังงะมาก่อนแล้ว เช่น “Himitsu – Top Secret” (2016), “Gin Tama” (2017) และ “JoJo’s Bizarre Adventure: Diamond Is Unbreakable Chapter I” (2017) ผลงานใหม่ที่น่าสนใจของเขาคือ “Cube” (2021) ภาพยนตร์สยองขวัญที่รีเมกมาจากภาพยนตร์เรื่อง “Cube” (1997) ของผู้กำกับ “วินเชนโซ นาตาลี” โดยมี “มาซากิ สุดะ” นำแสดง
“เอริกะ ฮิอุระ” (แสดงโดย “ยูรินะ ฮิราเตะ”)
“เอริกะ ฮิอุระ” คือชื่อที่ “ฮิยาคาวะ” และ “มิคาโดะ” ได้รับเป็นเบาะแสหลังจากร่วมสืบสวนคดีฆาตกรรม
เธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมสยองขวัญ แต่ตัวจริงของเธอกลับเป็นเด็กสาวไฮสคูลหน้าตาน่ารักที่ดูภายนอกเหมือนไม่มีพิษมีภัย
ทว่าเธอคือผู้ใช้คำสาปที่มีพลังสุดอันตราย พลังของเธอแข็งแกร่งมากในการปลิดชีวิตคนและเธอทำมันมาแล้วหลายครั้ง
เธอกลายมาเป็นหนึ่งในสามเหลี่ยมแห่งโชคชะตาของมิคาโดะและฮิยาคาวะ
“เทะจิ-ฮิราเตะ ยูรินะ” สาวน้อยมหัศจรรย์ผู้เป็นที่รักของแฟนๆ เดบิวต์เป็นศิลปินวงไอดอล “Keyakizaka46” เมื่อปี 2015 ความสามารถของเธอฉายแววมาตั้งแต่ต้นเพราะได้รับเลือกให้เป็นเซ็นเตอร์ของวงตั้งแต่ซิงเกิลแรกอย่าง “Silent Majority” ด้วยอายุ 14 ปีเท่านั้น แม้ว่าเธอจะอายุน้อยกว่าคนอื่นๆ แต่คาแร็กเตอร์สาวน้อยผมสั้น ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ก็เหมาะสมที่สุดแล้วกับการเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของผู้คน เทะจิได้รับฉายาว่าเป็นเซ็นเตอร์ตลอดกาลของ Keyakizaka46 เพราะหลังจากนั้นวงปล่อยเพลงออกมาอีก 7 ซิงเกิล เทะจิก็ยังคงได้รับเลือกให้เป็นเซ็นเตอร์เหมือนเดิม รวมแล้วเธอครองตำแหน่งนี้ทั้งหมด 8 ซิงเกิล จนกระทั่งเธอตัดสินใจขอ “ถอนตัว” ออกจากวง Keyakizaka46 เมื่อปี 2020 ซึ่งการออกจากวงครั้งนี้ไม่ได้เป็นการประกาศจบการศึกษาตามธรรมเนียมไอดอลทั่วไป ทำให้แฟนๆ รู้สึกตกใจกับการตัดสินใจของเธออย่างยิ่ง แต่ก็พร้อมจะสนับสนุนเส้นทางใหม่ๆ ของเธอต่อไป
ความสามารถของเทะจิยังมีมากกว่าการเป็นนักร้องไอดอล เธอได้รับการชักชวนให้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “Hibiki – Shousetsuka ni Naru Houhou” (2018) หรือ “ฮิบิกิ – วิธีการเป็นนักเขียนนิยาย” หนังที่สร้างมาจากมังงะเรื่องดังของ “ยานะโมโตะ มิตสึฮารุ” ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม “10th Manga Taishō Awards” ประจำปี 2017 เทะจิแสดงบท “ฮิบิกิ” ได้อย่างดีเยี่ยมจนได้รับรางวัลมากมายทั้ง “New Actor Award” จากเวที “Japan Academy Film Prize ครั้งที่ 42” และ “New Actor Award” จาก “Nikkan Sports Film Awards ครั้งที่ 31”
สำหรับหนังเรื่อง “The Night Beyond the Tricornered Window” (2021) ที่เธอได้รับบทเด่นครั้งนี้ได้รับความสนใจแฟนๆ อย่างมาก เพราะเป็นหนังเรื่องแรกหลังจากเธอออกจากการเป็นไอดอล และในปีนี้เธอก็ยังจะมีผลงานภาพยนตร์อีกเรื่องคือ “The Fable: A Contract Killer Who Doesn’t Kill” แสดงกับ “จุนอิจิ โอคาดะ” นักร้อง-นักแสดงชื่อดังจากวง “V6”
“The Night Beyond the Tricornered Window คู่หูสามเหลี่ยมล่าปีศาจ” 1 กรกฎาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ชมตัวอย่างซับไทย: https://youtu.be/c4lk834hF9M