เตรียมฮาสนั่นแอ็กชันป่วนทะลุองศาเดือดด้วยดีกรีความบ้าของซุป’ตาร์แถวหน้าของโลก “นิโคลัส เคจ” ที่คืนจอล่าสุดแบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เพราะเขาขอรับบทเป็น “ตัวเอง!” หลังจากฝากผลงานการแสดงผ่านคาแร็กเตอร์ต่างๆ มาแล้วมากมาย ในปีนี้คอหนังทั่วโลกเตรียมระเบิดเสียงฮา พร้อมเปิดประสบการณ์รับความบันเทิงแบบเต็มขั้น เมื่อ “นิค เคจ” เล่นครั้งไหนก็ไม่สุดเท่า “นิค ‘ฟักกลิ้ง’ เคจ” ในครั้งนี้กับหนังแอ็กชันสุดแหวกแหกความฮาทะลุจอแห่งปี “The Unbearable Weight of Massive Talent ข้านี่แหละนิค ‘ฟักกลิ้ง’ เคจ”
ความป่วนระดับโลกเริ่มขึ้นเมื่อ “นิโคลัส เคจ” นักแสดงฮอลลีวูดตัวพ่อตกลงปลงใจมารับบทเป็นตัวเองในเวอร์ชัน “นิค เคจ” นักแสดงขาลงที่กำลังตกอับขั้นสุด ไม่มีงานจ้าง ไม่มีเงินจ่ายหนี้สิน จนกระทั่งเมื่อ “ริชาร์ด ฟิงก์” (นีล แพทริก แฮร์ริส) ผู้จัดการส่วนตัวเสนอให้รับงานเอนฯ ในปาร์ตี้วันเกิดของ “ฮาวี กูเตียร์เรซ” (เปโดร ปาสคาล) แฟนคลับยงด้วยค่าจ้างถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ!!! เขาจึงจำใจต้องรับงานนี้เพื่อปลดหนี้ทั้งหมด แต่เหตุการณ์กลับวายป่วง เมื่อแฟนคลับมหาเศรษฐีชาวเม็กซิกันรายนี้กลับเป็นบุคคลอันตรายที่ CIA หมายหัว จากงานเอนเตอร์เทนสุดหรูกลายเป็นภารกิจสายลับจับแฟนคลับมาเฟียอย่างไม่คาดฝัน!
คุณรู้สึกยังไงบ้างครั้งแรกที่ได้ยินไอเดียหนังเรื่องนี้
ในตอนแรกผมไม่อยากมีส่วนร่วมใดๆ ทั้งสิ้น แต่พอผมได้อ่านจดหมายของผู้กำกับ “ทอม กอร์มิแคน” ผมเลยคิดว่า โอเค เขาไม่ได้แค่อยากล้อความเป็น “นิค เคจ” เขาสนใจผลงานในยุคนั้นของผมจริงๆ เขาอยากนำฉากในความทรงจำที่ผมเคยฝากไว้กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฉากใต้สระน้ำใน “Leaving Las Vegas” (1995) หรือตอนที่ผมใช้ปืนทองใน “Face/Off” (1997)
ผมให้ทอมเป็นมันสมองของเรื่องนี้ เพราะเขาเต็มไปด้วยไอเดีย เป็นคนฉลาดมาก แน่นอนว่าเขาใช้สมองทำงานได้เฉียบสุดๆ และเขามีความคิดดีๆ เกี่ยวกับผม บางอันมันฮามาก และงานของผมในฐานะนักแสดงคือถ่ายทอดจินตนาการของผู้กำกับออกมา แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผม ผมเหมือนเล่นเป็นตัวละครที่ชื่อ “นิค เคจ” ในหนังคือตัวละครสมมุติ เขาเป็นนักแสดงดังที่กำลังตกอับ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองกลับมาเป็นนักแสดงแนวหน้าอีกครั้ง แต่ปัญหาใหญ่ที่เขาต้องรับมือเป็นอย่างแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและภรรยาเก่า “โอลิเวีย” (ชารอน ฮอร์แกน) รวมถึงลูกสาว “แอ็ดดี” (ลิลี ชีน) ที่กำลังแตกสลายโดยที่เขาไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ นิคในหนังมาจากจินตนาการของทอม เขาคลั่ง เพี้ยน เดือดจัด ต่างกับตัวผมในทุกวันนี้เลย แต่ทอมบอกว่านั่นคือ “นิค เคจ” เวอร์ชันที่จะมอบความบันเทิงให้แฟนๆ ได้ดีที่สุด
จุดที่ผมชอบมากแต่เสียดายที่มันอาจโดนตัดออกไปแล้วคือซีเควนซ์ที่ตัวละครเคจรำลึกบทต่างๆ ที่ผ่านมาของเขาผ่านสไตล์การเล่าเรื่องแบบ German Expressionism เป็นขาวดำเหมือนหนังอย่าง “The Cabinet of Doctor Caligari” (1920) คุณจะได้เห็นฉากซิ่งรถมัสแตงจาก “Gone in 60 Seconds” (2000) ได้เห็นตัวละครของผมจากเรื่อง “Leaving Las Vegas” (1995) ในห้องโรงแรม
ผมชอบตัวละครนิคกี้มากๆ นิคกี้คือตัวผมตอนหนุ่มๆ ตอนแรกเราคืดว่าจะให้เขาลุกส์เหมือน “คาเมรอน โพ” ใน “Con Air” (1997) แต่นั่นไม่ใช่ผมเลย ลองเทียบกับตอนที่ผมไปออกรายกายทอล์กโชว์ “The Wogan Show” ที่อังกฤษตอนโปรโมตเรื่อง “Wild at Heart” (1990) นั่นใช่ผมมากกว่า หมอนั่นมันคลั่ง, ไม่สนโลก, โคตรยโส ตัวผมในเวอร์ชันนั้นแหละที่เหมาะกับเป็นคู่ปรับของผมในปัจจุบันที่สุด
ใครก็ตามที่ดูหนังเรื่องนี้คงสงสัยว่า “ตัวคุณในหนัง” กับ “ตัวตนของคุณในชีวิตจริง” แตกต่างกันยังไง
ต่างกันสิ้นเชิง ผมไม่มีทางทิ้งครอบครัวไปพบใครก็ไม่รู้เพื่อเงินหรอก สำหรับผมครอบครัวคืออันดับหนึ่ง ที่ผ่านมาผมยอมทิ้งบทที่จะสร้างชื่อให้ผมมากมายก็เพราะครอบครัว ตอนที่ผมจัดการเรื่องหย่า (เมื่อปี 2001 กับ “แพทริเซีย อาร์เควตต์”) ผมไม่อยากทิ้งลูกชายไปถ่าย “The Lord of the Rings” ที่นิวซีแลนด์ตั้งสามปี หรือตอนที่ผมปฏิเสธบทนำใน “The Matrix” ผมเลือกที่จะอยู่กับลูกชายที่ L.A. เหมือนเดิม ไม่มีผมเวอร์ชันไหนในจักรวาลไหนที่ “นิโคลัส เคจ” ไม่ใช้เวลากับลูกๆ แต่เพราะหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับนักแสดงที่เห็นอาชีพตัวเองสำคัญอันดับหนึ่ง และพยายามกู้ชื่อของเขาคืนมา เขาไม่ได้ใช้เวลากับลูกสาวเหมือนที่เขาควรจะทำ ซึ่งผู้กำกับบอกว่าตัวละครมีพัฒนาการต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อจะเป็นคนที่ดีขึ้น จนถึงจุดที่สามารถเลือกที่จะใช้เวลากับลูกสาว (รับบทโดย “ลิลี ชีน”) แทนที่จะโหยหาชื่อเสียงเอาแต่เล่นหนัง นั่นคือข้อแตกต่างสำคัญระหว่างผมตัวจริงและผมในหนัง
แต่ทอมบอกว่านี่มันเป็นหนัง เราพยามจะเล่าเรื่องของตัวละครที่มีการเติบโตทางความคิด ซึ่งผมเข้าใจนะ แต่คงต้องบอกก่อนว่าตัวผมในชีวิตจริงกับในหนังมันต่างกันมาก ผมยังบอกกับทอมด้วยว่าผมไม่ได้ใช้คำหยาบเยอะขนาดนั้น ในหนังเขาเขียนใหัผมแจก “ฟัก” เป็นว่าเล่น เขาบอกผมว่า “นิค เคจ” ที่เสียสติคือ “นิค เคจ” ที่มันส์ที่สุด ชีวิตประจำวันของผมก็แค่อ่านหนังสือ เล่นกับแมว แต่ถ้านั่นมาทำเป็นหนังคงน่าเบื่อจนไม่มีใครอยากดู
กลายเป็นว่านักแสดงที่มารับบท “ฮาวี” อย่าง “เปโดร ปาสคาล” ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ “นิค เคจ”
ทอมกับผมนัดทานมื้อกลางวันกับเปโดร เหตุผลที่ทำให้เราเลือกเขา เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นนักแสดงขั้นเทพแล้ว เขาก็ยังชื่นชอบผลงานของนิคมาก เขาลงล็อกทุกอย่าง
ซีนที่คุณอยากพูดถึงในมุมของความตลกสำหรับคุณ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกคือทอมมอบอารมณ์ขันให้หนังเยอะมาก เขาเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เขานำทางให้ผมไปในจุดที่ผมไม่คิดว่ามันจะตลก แต่กลายเป็นว่ามันออกมาฮาสุดๆ หนึ่งในนั้นคือซีนที่ผมเล่นเปียโนในงานวันเกิด นั่นคือซีนที่จำกัดความการเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน แต่ทำไมมันออกมาฮาขนาดนั้นก็ไม่รู้ ผมฟังสิ่งที่เขาพูด ผมคิดว่าเราร่วมสร้างสรรค์กันได้เข้าขา ผมพอใจกับผลที่ออกมามาก สิ่งที่เรามีเหมือนกันเหรอ สองสิ่งแรกที่นึกออกเลยคือความรักในภาพยนตร์ซึ่งมันมีหลายซีนในหนังที่ “ฮาวี” ตัวละครของเปโดรกับตัวละครของผมคุยกันเรื่องหนัง มันเหมือนมีอะไรสปาร์กขึ้นจริงๆ ในซีน หรือในบทพูดนั้นมันสมจริงมากๆ
“นิค เคจ” ในหนังมาถึงจุดตกอับของอาชีพ แล้วตัวคุณเองล่ะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันไหม แม้ว่าจะมีงานที่ประสบความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วนในอดีต คุณรู้สึกว่าต้องการกลับไปอยู่จุดนั้นอีกครั้งหรือไม่
ที่น่าขำคือตอนที่ “Pig” (2021) ออกฉาย มันไม่ได้โดนใจแค่แฟนหนังอินดี้แต่โดนแฟนวงกว้างด้วย ผมโทรบอกทอมว่าเราคงต้องแก้บทกันใหม่แล้ว ผมเริ่มศึกษาปรัชญา เลิกไปงานแจกรางวัลเพื่อนำเสนอตัวเอง ผมตัดสินใจทำงานเพื่อเติมเต็มมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมีหนังอย่าง “Sorcerer’s Apprentice” (2010), “Ghost Rider 2” (2011) หรือ “Drive Angry” (2011) ที่แป้กสามเรื่องติด ทั้งสองอย่างมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน
แต่ผมจำได้ว่าเสียงโทรศัพท์ผมดังตลอดนะ ผมแค่กลับไปยังรากเดิมของผมซึ่งคือหนังนอกกระแส ถ้าคุณย้อนกลับไปดูตลอดเส้นทางนักแสดง 43 ปี หนังของผมทำรายได้รวมเกือบหกพันล้านเหรียญ หนังแป๊กแค่สามเรื่องไม่ได้ทำให้ชื่อคุณหายไปจากวงการหรอก
คุณเคยบอกว่าคุณชอบทำงาน คำถามของเราคือคุณไม่ชอบอยู่ว่างๆ เหรอ
เป็นคำถามที่ดีนะ ตอนที่ผมโดนฟ้องล้มละลาย ผมตัดสินใจใช้การทำงานหาเงินมาแก้ปัญหา แต่ผมก็รับแต่งานที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถมอบบางสิ่งให้ได้นะ ผมบอกปัดผู้จัดการไปหลายงาน แต่ผมว่าการทำงานอย่างต่อเนื่องทำให้ผมเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้น
ผมมีชุดความคิดที่ว่าผมไม่ได้มีอาชีพ ผมมีแค่งาน ที่ผมคิดแบบนั้นคือผมเป็นคนที่ดีกว่าเวลาทำงาน เพราะผมไม่อยากเป็นคนที่นั่งจิบไหมไทย (Mai Tai) อยู่ริมสระไปวันๆ มันกระตุ้นให้ผมดูแลตัวเอง ตื่นขึ้นมาวิ่ง, ยกเวต, ดูข่าว ชีวิตผมดีเสมอเวลามีถ่ายงาน
ถ้าคุณไม่ได้รับบทเป็นตัวคุณเอง คุณอยากให้ใครมารับบทนี้
ผมว่า “จีน ไวล์เดอร์” (1933-2016) จะแสดงฝีมือสุดยอดในหนังเรื่องนี้ ผมยอมจ่ายเงินไปดูเลยล่ะ อันที่จริงตอนแรกไม่แน่ใจนักว่าอยากรับบทเป็นตัวละครที่เป็นชื่อผมเอง ผมไม่อยากเล่นอะไรที่เหมือนโชว์ตลกของ “Saturday Night Live” แต่พอผมได้อ่านจดหมายของผู้กำกับ “ทอม กอร์มิแคน” ผมตระหนักได้ทันทีว่าเขาเป็นคนรักหนัง เขาคลั่งไคล้งานของผมจริงๆ
เตรียมพบกับภารกิจสุดป่วนในภาพยนตร์แอ็กชันมันส์ฮา “The Unbearable Weight of Massive Talent ข้านี่แหละนิค ‘ฟักกลิ้ง’ เคจ” ผลงานการแสดงสุดปั่นเรื่องล่าสุดของ “นิโคลัส เคจ” 19 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างซับไทย: https://youtu.be/CwgMOmLB9CM
สกู๊ปเกรียนสนั่นฮาลั่นโรง: https://youtu.be/6Ph0bz2boXk