“ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” ผู้กำกับชื่อดังที่โดดเด่นทั้งในด้านการกำกับมิวสิกวิดีโอ โฆษณา และภาพยนตร์ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเอ็มวี “Bad Romance” (2009) ของ “เลดี้กาก้า” ที่ได้รับ “รางวัลแกรมมี” หรือภาพยนตร์แฟรนไชส์ “The Hunger Games” (2012-2023) ถือเป็นข้อพิสูจน์ตัวตนในฐานะผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่มีวิสัยทัศน์การเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์และก้าวข้ามขอบเขตต่างๆ ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านผลงานภาพยนตร์หลากหลายแนว อาทิ “Constantine” (2005), “I Am Legend” (2007), “Water for Elephants” (2011) และ “Red Sparrow” (2018) โดยสิ่งที่เชื่อมโยงผลงานของผู้กำกับลอว์เรนซ์ก็คือความสามารถอันโดดเด่นของเขาในการค้นหาความเป็นมนุษย์ในภาพยนตร์อันน่าตื่นตาตื่นใจ
ล่าสุด “ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” หยิบเอานิยายสยองขวัญของนักเขียนชื่อดัง “สตีเวน คิง” มาสร้างเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญแห่งปีกับ “The Long Walk เกมเดินมรณะ” ที่เล่าเรื่องราวการแข่งขันสุดทรหดที่ชายหนุ่ม 50 คนต้องเดินมาราทอนระยะทาง 450 ไมล์ โดยรักษาความเร็วขั้นต่ำ 3 ไมล์ต่อชั่วโมง ถ้าช้ากว่ากำหนดจะถูกใบสั่ง และถ้าโดนใบสั่งครบสามครั้งนั่นหมายถึง “ความตาย” และที่สำคัญเกมนี้มี “ผู้ชนะเพียงคนเดียว” ที่จะสามารถเลือกรางวัลได้ดั่งใจปรารถนา
คุณมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างไร
ตอนที่ผมทำหนัง “I Am Legend” โปรดิวเซอร์ของผม “อากิวา โกลด์สแมน” ได้ให้หนังสือ “The Long Walk” มาอ่าน มันโดนใจผมมาก กลายเป็นผลงานของ “สตีเวน คิง” ที่ผมชอบที่สุด และเป็นหนังสือเล่มโปรดของผมตลอดมา จนผมพยายามขอสิทธิ์ทำหนัง แต่ปรากฏว่ามีคนคว้าไปก่อนแล้ว แต่หลังจากนั้นเกือบ 18 ปี มันเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้ง ผมเห็นหนังสือเรื่องนี้ของลูกตั้งอยู่บนชั้นเลยคิดว่า “ตอนนี้ ‘The Long Walk’ เวอร์ชันหนังไปถึงไหนแล้วนะ” วันเดียวกันนั้นเองผมก็ได้รับสายจาก “รอย ลี” ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของผมในโปรเจกต์นี้ เขาบอกว่าได้สิทธิ์มาแล้ว ผมเลยรีบตอบรับ
อะไรที่ทำให้ “The Long Walk” ต่างกับเกมเอาชีวิตรอดที่คุณเคยทำอย่างแฟรนไชส์ “The Hunger Games”
สิ่งที่ผมชอบมาตั้งแต่พัฒนาบท และเป็นหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ยังเป็นวัยรุ่น เราเล่ามันออกมาให้แตกต่างจาก “The Hunger Games” โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าความผูกพันระหว่างแฟรนไชส์นั้นถูกเล่าอย่างฉาบฉวย แต่สำหรับ “The Long Walk” มิตรภาพและความผูกพันระหว่างเด็กๆ คือหัวใจและจิตวิญญาณของเรื่องราว โดยเฉพาะ “แม็กฟรีส์” และ “การ์แรตี” นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมอินหมดหัวใจ “สตีเวน คิง” เขียนเรื่องนี้ตอนที่เขายังอายุพอๆ กับตัวละครหลักของเรื่อง แต่ความสัมพันธ์เหล่านั้นและบทสนทนาในเรื่องยังสะท้อนถึงทุกวันนี้ ไม่มีองค์ประกอบไหนของเรื่องที่ตกยุคเลย ซึ่งมันอาจฟังดูแปลกๆ เพราะหนังเต็มไปด้วยความกดดันและความรุนแรงแบบจัดเต็ม แต่ความสัมพันธ์ของตัวละครคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ออกมางดงาม
การถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตลอดเวลานั้นยากแค่ไหน
เราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ตามลำดับเวลา ผมไม่เคยมีโอกาสถ่ายแบบนี้มาก่อน ผลงานก่อนหน้านี้ของผมไม่มีเรื่องไหนเอื้อต่อการถ่ายแบบนี้เลย แต่เพราะธรรมชาติของหนังเรื่องนี้ ชายหนุ่มต่างหัวนอนปลายเท้ามารวมตัวกัน ได้ทำความรู้จักกัน และเมื่อพวกเขาเริ่มเดิน สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปทุกวัน ฉากก็ต้องเปลี่ยน มันเลยมอบโอกาสให้เราถ่ายเรียงตามลำดับได้ ผมต้องโฟกัสที่ตัวละครและสิ่งที่ตัวละครกำลังเผชิญทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ การทำให้เห็นว่าพวกเขาโทรมและกำลังใจถดถอยเมื่อผ่านไปวันแล้ววันเล่า และการที่ผู้เข้าแข่งขันค่อยๆ ลมหายตายจากจนเหลือเพียงไม่กี่คน
เราถ่ายกันใน “แมนิโทบา แคนาดา” ภูมิประเทศกว้างใหญ่ก็ช่วยเสริมความกดดันน่าสะพรึงของภารกิจ ถนนที่นี่ยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ปกติถ้ามีโค้ง มันมักจะมีความลึกลับที่ดึงดูดให้เดินต่อไป แต่ที่นี่มันราบเรียบ มองออกไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ทิวทัศน์แทบไม่เปลี่ยนเลย ท้องฟ้าก็กว้างใหญ่ไพศาล มันทำให้สับสนพอสมควร ผมว่ามันช่วยเสริมความรู้สึกใต้จิตสำนึก “เราจะต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน นานเท่าไหร่กว่าจะถึงจุดหมาย”
ได้ข่าวว่าทีมนักแสดงต้องทรหดไม่แพ้ตัวละครของพวกเขาในเรื่อง
ผมคิดว่ามันอาศัยพลังใจพอๆ กับพลังกาย กลุ่มผู้เข้าแข่งขันเดินประมาณ 336 ไมล์ในช่วง 4 หรือ 5 วันหรือพวกเราเดินเท้า 350 ไมล์ตลอดการถ่ายทำ ผมคิดว่ามันดีสำหรับนักแสดง และพวกเขาก็ไม่เคยปริปากบ่น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมันก็สะท้อนตัวละคร พวกเขาล้วนเป็นวัยรุ่นและต่างคิดและพูดว่า “มันต้องออกมาเจ๋งแน่ แค่ก้มหน้าเดินไปเรื่อยๆ เรารักตัวละครเหล่านี้อยู่แล้ว” พวกเขาทุกคนกระตือรือร้นมาก เหมือนกับผู้เข้าแข่งขันในช่วงแรกของเรื่อง จนกระทั่งเสียงปืนดัง พวกเขาเริ่มเดินและหนึ่งสัปดาห์ต่อมา พวกเขาทุกคนคิดเหมือนกันว่า “เราเอาตัวเองมาเจอกับอะไรวะเนี่ย”
เราเดินกันเกือบไมล์ต่อเทกในบางซีน พอคัตแล้วก็พากันกลับไปที่จุดเริ่มต้นและเดินกันใหม่ ทำวนไปแบบนี้ทั้งวัน เดินกันจนเท้าเปิด หลังไหม้ นักแสดงต้องหัดพันเท้า ในหนังถ้าคุณเห็นบางคนเดินกะเผลก นั่นเป็นเพราะพวกเขาหมดแรงจริงๆ นักแสดงหลายคนน้ำหนักลดไปหลายกิโล พวกเขาต้องปรับตัวตามสภาพอากาศ ถ้าซีนที่ต้องถ่ายเป็นฝนตก แต่เราพอมาถึงหน้ากองมันเป็นวันแดดจัด เราจะเปลี่ยนให้ซีนนั้นเป็นซีนเดินฝ่าแสงแดดแผดเผา ซึ่งมันจะเกิดขึ้นตามลำดับเหมือนกับวิธีการถ่ายของเรา มันอาจเป็นเช้าที่มีหมอกหนา อาจมีฝนตก อาจร้อน 40 กว่าองศา อาจมีแมลง มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นและทำให้แต่ละฉากและลำดับ ส่งผลทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน และนั่นคือสิ่งที่ผมมุ่งเน้นจริงๆ แทนที่จะใช้เทคนิคซับซ้อนมาถ่ายพวกเขาเดิน
แล้วคุณมีเกณฑ์การคัดเลือกนักแสดงที่พร้อมร่วมหัวจมท้ายไปกับคุณยังไงบ้าง
เราเลือกนักแสดงที่ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่มียอดผู้ติดตามอินสตาแกรมเยอะที่สุด ผมคิดถึง “คูเปอร์ ฮอฟฟ์แมน” สำหรับบท “การ์แรตี” มาตลอด ผมไม่เคยเจอฮอฟฟ์แมน แต่ผมเคยร่วมงานกับพ่อของเขาคือ “ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน” ที่แสดงใน “The Hunger Games” สามภาคแรก ผมเคยดูคูเปอร์ใน “Licorice Pizza” (2021) ผมว่าเขาเก่งมาก เขามีความเป็นฮีโร่จำเป็น เป็นตัวละครที่เข้าถึงได้ง่าย และมีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง ส่วน “เดวิด จอนส์สัน” (Alien: Romulus) เขาเป็นหนึ่งในการออดิชันชุดแรกสุดเลย ผมว่า “เขาต้องเป็น ‘แมกฟรีส์’ แน่นอน” และผมก็คิดอีกว่า “โคตรดีเลย หนังเรื่องนี้ต้องปัง”
ทำไมถึงเลือก “มาร์ก แฮมิลล์” เจไดระดับตำนานมารับบทเป็นวายร้ายของ “สตีเวน คิง”
ผมเป็นแฟน “Star Wars” (1977) ตั้งแต่เจ็ดขวบ ผมคิดว่ามันเปลี่ยนชีวิตคนรุ่นผม ดังนั้น “มาร์ก แฮมิลล์” จึงเป็นไอคอนและตำนาน แต่ที่ผมเลือกเขาเป็นเพราะผมสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามในตัวเขา ที่ต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่คิดว่าเขาจะมีมุมนี้ ผมรู้ว่าเขาพากย์เสียงมามากมาย ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเขาพากย์เสียงมามากแค่ไหน เขาสามารถควบคุมสำเนียง โทนเสียง และพลังของคำพูดได้ดั่งใจ ผมคิดกับตัวเองว่าการเลือกเขามารับบทนี้มันน่าสนใจมาก เพราะผมไม่อยากเอาคนที่ดูเป็นทหารจริงๆ มารับบทนี้ เพราะเสียงและวิธีพูดดูเป็นทางการเกินไป ผมต้องการใครสักคนที่มอบมิติให้บทนี้
ผมกับเขาคุยกันผ่านซูม เขาเล่าให้ผมฟังว่าตอนเป็นเด็กเขากับครอบครัวต้องย้ายไปประจำที่ฐานทัพทั่วประเทศแห่งแล้วแห่งเล่า เขารู้จักคนประเภทนี้ เขาจึงสามารถปะติดปะต่อนายทหารหลายคนจากความทรงจำสมัยยังเด็กจนกลายเป็นผู้พันในแบบของเขา มันยอดเยี่ยมมากที่ได้ทำงานกับเขา “ลุค สกายวอล์กเกอร์วัยชรา” ใน “หนังเจ.เจ. เอบรัมส์” จุดประกายให้ผมเลือกเขามารับบทนี้
อะไรที่ทำให้นิยายที่เขียนขึ้นเมื่อปี 1967 อย่าง “The Long Walk” ยังคงโดนใจคนในยุคปัจจุบันจนคุณต้องหยิบมาทำเป็นหนังในปี 2025
ความฝันอเมริกันมันจบไปแล้ว ทุกวันนี้คนแทบจะไม่มีทางหาเงินพอที่จะซื้อบ้าน มีลูก ส่งลูกไปโรงเรียน และมีอาหารลงท้องครบทุกมื้อ แต่ไม่ใช่แค่ปัญหาของอเมริกา มันเป็นแบบนี้กันทั่วโลก ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มที่สิ้นหวังจนยอมเข้าร่วม “เกมเดินมรณะ” เพื่อหาเงินมายาไส้ นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้มันยังคงร่วมสมัยและไม่มีวันตกยุค
“The Long Walk เกมเดินมรณะ” รวมทีมนักแสดงหนุ่มมาแรงอย่าง “คูเปอร์ ฮอฟฟ์แมน”, “เดวิด จอนส์สัน”, “เบน หวัง”, “ชาร์ลี พลัมเมอร์”, “แกร์เร็ตต์ แวริง”, “จอร์แดน กอนซาเลซ”, “โรมัน กริฟฟิน เดวิส”, “ทุต ยอต”, “โจชัว ออดจิก” พร้อมด้วยนักแสดงสุดเก๋ามากฝีมือ “มาร์ก แฮมิลล์”
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนพบกับเกมเดินท้าตายที่โหดสุด ระทึกสุด และห้ามพลาดที่สุดใน “The Long Walk เกมเดินมรณะ” 11 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์