คุยกับ “แพรวา ณิชาภัทร” กลัวผีสุดชีวิต แต่ก็ทุ่มสุดชีวิตเล่นหนังผีใน “ท่าแร่” เผชิญหน้านรกสิงสู่ วันนี้ ในโรงภาพยนตร์

สาวมากความสามารถทั้งในบทบาทของนักแสดงฝีมือดีและนักร้องเสียงคุณภาพ โดยปีที่ผ่านมาเพิ่งมีงานแสดงน่าจดจำจากหนังผีตลกเรื่อง “เทอม 3 ตอน ศาลล่องหน” (2567) แม้จะย้ำเสมอว่าไม่ถูกโฉลกกับหนังผี แต่ในที่สุด “แพรวา-ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์” ก็ต้องตอบรับความสยองสุดระทึกของ “ท่าแร่” (2568) กับบทท้าทายที่สุดเท่าที่เคยเล่นมา โหดหินแทบทุกฉากทั้งโดนผีเข้า กินไส้ โชกเลือด แอ็กชันเดือด แต่งผี ปล่อยพลังหวีด หลอนขั้นสุด ทั้งหมดเพื่อกระโดดออกจากคอมฟอร์ตโซนของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่กลัวผีสุดชีวิต

 

 

บทบาท-คาแร็กเตอร์

เรื่องนี้หนูรับบทเป็น “มาลี” ลูกสาวคนเดียวของ “ตามิ่ง” (เอก ธเนศ) เป็นคน “ท่าแร่” แต่ไม่ค่อยสนิทกับพ่อเท่าไหร่ แล้วพอเราก็โตขึ้นก็อยากออกไปเติบโต เลยย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะถูกเรียกตัวกลับมาที่บ้านเกิดเพื่อดูใจพ่อ

ตัวมาลีมีคาแร็กเตอร์ตรงข้ามกับหนูทุกอย่างเลย การตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างก็ไม่เหมือนกัน มาลีจะไม่ค่อยพูด เป็นคนเก็บเรื่องราวไว้ในใจ ไม่ชอบเข้าสังคม ชอบอยู่คนเดียว เลยเป็นความท้าทายของหนูอย่างหนึ่งในการเข้าคาแร็กเตอร์มาลี โดยที่มาลีทำสิ่งที่แพรวาจะไม่มีวันทำเลย

 

จากที่เคยบอกว่าจะไม่เล่นหนังผี เพราะกลัวจะเจอผีจริง แต่ทำไมถึงมาเล่นเรื่อง “ท่าแร่”

หลังจากที่เล่นเรื่อง “เทอม 3″ (2567) หนูก็คิดว่าถ้าเราจะรับหนังผีอีกคงต้องคิดให้เยอะหน่อย เพราะพื้นฐานเราเป็นคนที่กลัวผีอยู่แล้ว ไม่อยากเป็นหนึ่งในคนที่เล่นหนังผีแล้วเจอผีหลอกแบบที่นักแสดงคนอื่นๆ เจอ

พอเรื่อง “ท่าแร่” ติดต่อมา ได้อ่านบทแล้วคือน่าเล่นมาก มันรู้สึกว่าต้องเล่น อยากเล่นเรื่องนี้มาก มันต้องมีสักครั้งแหละของนักแสดงแต่ละคนที่ได้อ่านบทสักเรื่องหนึ่งแล้วรู้สึกอยากเล่นเรื่องนี้มากๆ แต่หนูก็กังวลอยู่ 3 อย่างคือ หนึ่ง-หนูเป็นคนกลัวผี  สอง-พอท่าแร่เล่าเกี่ยวกับความเชื่อของฝั่งอีสานมันจะมีความรู้สึกว่าน่ากลัว และ Based on True Story แน่เลย และสาม-ที่กังวลที่สุดคือหนูไม่แน่ใจว่าสกิลแอ็กติงหนูจะมากพอสำหรับการอยู่ในโปรเจกต์นี้หรือเปล่า

แต่สุดท้ายหนูถามรุ่นพี่หนูที่ชื่อ “พี่เฟย์” (เกตุชญา อังกูรเจริญพร – แอ็กติงโคชส่วนตัว) ว่าหนูจะไหวไหม เพราะว่าพี่เฟย์จะเห็นสกิลแอ็กติงหนูตั้งแต่เข้าวงการช่วงแรกๆ เลย เขาสามารถประเมินได้ว่าหนูจะไหวหรือไม่ไหว หนูรู้เลยว่าถ้าเล่นเรื่องนี้ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ยากมากแน่ๆ ซึ่งพี่เฟย์บอกว่าเรื่องนี้หนูไหวแน่ หนูก็โอเคถ้าไหวหนูไป แล้วพอได้มาเล่นเรื่องนี้หนูก็รู้สึกภูมิใจ เรียกว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของหนู เราใส่สกิลการแสดงไปเต็มมากตั้งแต่เคยทำมาในชีวิตการแสดงของหนูเลย

 

แต่ความกลัวผีก็ยังอยู่ใช่ไหม

ถูกต้องค่ะ การไปถ่ายทำในทุกๆ วัน หนูก็ไหว้ทุกวัน ไปทำบุญทุกวีค ตั้งแต่อ่านบทเรื่องนี้เซนส์มันบอกว่ามีพลังงานบางอย่างคอยตามเราอยู่ ความรู้สึกมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่หนูได้บทมา หนูจะอ่านบทตอนกลางคืนเพราะเป็นช่วงเวลาที่มีสมาธิ อ่านไปได้ครึ่งหนึ่งก็ไม่ไหวแล้ว รู้สึกเหมือนมีอะไรกวนเราอยู่ตลอดเวลาตรงหน้าต่าง หนูต้องเข้าไปนั่งในห้องพระแทน บอกพระว่าหนูอยากอ่านให้จบเพราะอยากตั้งใจทำงาน ขอให้หนูอ่านจบเถอะ พออีกครั้งก็ตั้งใจว่าจะอ่านตอนกลางวันแทน แต่ก็อ่านไม่เข้าหัว มาอ่านอีกทีก็วันที่ Read-through เลย

 

 

เจออะไรจาก “ท่าแร่” ตามไปบ้าน

มันมีอยู่วันหนึ่งที่มีความรู้สึกชัดมาก เหตุการณ์คือหนูเข้าไปอาบน้ำ จังหวะที่ใส่แชมพูสระผมอยู่ ก็รู้สึกว่ามีคนมายืนที่หน้าต่าง หนูพยายามคิดว่าสิ่งที่เรารู้สึกคือจิตปรุงแต่ง ไม่มีใครหรอก แต่ความรู้สึกมันบอกเลยว่ามีเงาสีดำตาสีแดง เป็นเงาผู้หญิงเหมือนเกาะหน้าต่างดูเราอาบน้ำอยู่ หนูก็มองไปตรงที่เรารู้สึก แต่ไม่เจออะไร แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าเขาอยู่ตรงนี้แหละ กลัวมาก ไม่รู้จะทำยังไง เพิ่งเริ่มสระผม แต่หนูก็อดทนอาบอยู่อย่างนั้น ตอนนอนก็นอนไม่หลับ เช้าวันต่อมาหนูจะไปทำบุญใหญ่ ก็เลยเช็กกับพี่ที่เขาพอจะมีเซนส์ ก็เล่าว่าเจออะไรมา เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเลย พี่เขาก็บอกว่าใช่ เขามารอเอาบุญ หนูคิดในใจแล้วมาทำไมตาแดงๆ น่ากลัวมาก แล้วหนูก็ถามว่ามาจากไหน ใช่มาจากเรื่อง “ท่าแร่” ไหม เขาบอกว่าเกี่ยว หนูก็โอเคเดี๋ยวทำบุญให้ ให้เขาคนเดียวไปเลย พูดแล้วขนลุก

พอทำบุญเสร็จก็นั่งสมาธิในอุโบสถที่วัด หนูก็เห็นอีกรอบหนึ่ง แต่รอบนี้เขามาสวยเลยภาพที่มาในสมาธิ เหมือนมาขอบคุณ หนูก็บอกว่าถ้าได้แล้วก็เลิกแล้วต่อกันนะ เหตุการณ์ครั้งนี้คือน่ากลัวที่สุดในชีวิตหนูละ มันรู้สึกชัดมากจนน่ากลัว

 

เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งเราต้องมาเล่นมาทำในสิ่งที่ไม่ชอบเลยในหลายๆ สิ่ง

ไม่เคยคิดเลยค่ะ หนูไม่กล้าทำหลายสิ่งที่เรื่องนี้ “มาลี” ต้องทำ อย่างเช่นหนูไม่ชอบความสูง ยิ่งโดยเฉพาะในแนวดิ่ง ต้องกระโดดลงมาจากที่สูงหนูจะกลัวมาก หรืออย่างการที่หนูต้องมากินเครื่องใน กินเครื่องเซ่นไหว้ หนูไม่ทานเครื่องใน แล้วหนูก็กลัวผีมาก เรื่องนี้คือที่สุดของความท้าทายทุกอย่างที่ “แพรวา” ไม่ชอบ มันอาจจะเป็นอุปสรรคเล็กๆ  น้อยๆ ในฐานะนักแสดงที่ตัวนักแสดงไม่อยากทำ แต่สำหรับหนูเกิดความกังวลมากค่ะ มันยาก และกลัวว่าจะทำไม่ได้

แต่พี่เฟย์ก็ช่วยหนูปลดล็อกตลอด พี่เขาจะบอกว่าแพรวาไม่ได้ทำนะสิ่งนี้ มาลีเป็นคนทำ มาลีเขาไม่ได้กลัว หนูก็เลยปรับความคิดใหม่ ต้องพยายามเล่นเป็นมาลีให้เต็มที่ เล่นตามสัญชาตญาณของมาลี หนูเลยสามารถทำทุกอย่างที่กลัวได้หมด อย่างซีนที่เล่นไปเทกเดียวผ่าน “พี่คุ้ย” ซื้อเลย ขอบคุณตัวเองมากที่สามารถเป็นมาลีได้ 100% ขอบคุณทีมงานทุกคนด้วยที่ทำให้ทุกอย่างดูง่าย เซฟทุกอย่าง ทำของกินที่มันน่าแหวะให้มันไม่แย่นัก

อย่างฉากกลางถนนแล้วเราต้องไปกินของเซ่นไหว้ ใจหนูกลัวไปแล้วเพราะมันคือทางแยกของจริง ทางสามแพร่งเลย เราไม่รู้หรอกว่ามันมีอะไรอยู่ตรงนี้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า แล้วทีมอาร์ตเขาสร้างศาลขึ้นมาแล้วทำให้มันดูรกร้างจริงๆ จนตอนที่หนูไปที่กองถ่าย หนูเดินมาถามเลยว่าอันนี้เซตแน่ใช่ไหม ขวดน้ำกับอาหารที่วางกองตรงนี้พี่ทำให้มันดูเก่าใช่ไหม คือทุกอย่างเพอร์เฟกต์มากที่จะเจอกับผีของจริงตรงนี้ หนูก็รีบไหว้เจ้าที่ เจ้าที่แถวนี้ต้องช่วยเราเท่านั้น

เรียกว่าพี่คุ้ยพาหนูมาทำทุกอย่าง แม้กระทั่งซีนที่ไม่ได้มีความไม่อยากจะทำ พี่คุ้ยยังมีฉากที่เทเลือดใส่หนูทั้งตัว แล้วสัญชาตญาณคนเราเวลาเลือดเทลงมาก็ต้องปิดตาหนี แต่พี่คุ้ยต้องการให้ลืมตารับเลือดด้วย นับถือใจพี่คุ้ยเลย โอเคได้ จัดให้ วันนั้นถ่ายเสร็จประมาณตี 3 ด้วยความเกรงใจทีมงานถ้าต้องมารอหนูล้างตัวเสร็จ หนูเลยกลับบ้านแบบนั้นเลยไม่ล้างเอฟเฟกต์อะไรแล้ว กลับบ้านไปทั้งๆ ที่ตัวเปื้อนเลือดเลย เหมือนเพิ่งผ่านงานฆาตกรรมมา กลับถึงบ้านอาบน้ำเลือดไหลเต็มห้องน้ำกว่าจะล้างออกหมดเกือบสว่าง เรื่องนี้พี่คุ้ยแกให้หนูเปื้อนได้ทุกอย่างจริงๆ หนูทำงานในวงการแสดงมา 10 ปี ก็มีเรื่องนี้แหละเรื่องแรกที่ทำให้หนูกระโดดข้ามกำแพงด้านการแสดงไปหมด แล้วเราก็มีความพร้อมมากขึ้นที่กล้าจะเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าให้แพรวาทำเองคือไม่มีทาง

 

กับอินเนอร์ในเรื่องนี้ อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุด

จริงๆ มันมีหลายอย่างที่ยากในเรื่องนี้ แต่เรื่องของการถูกผีสิงเป็นอีกอันที่ยากมากๆ เพราะใช้บอดี้ค่อนข้างเยอะ ก่อนหน้าจะมาเล่นหนูก็ต้องไปเวิร์กชอปกับครูออม ถ้าไม่ได้ไปในวันนั้นคงแย่มาก มันเป็นฉากที่อยู่ในโบสถ์เกิดเรื่องราวมากมาย ต้องใช้พลังที่มีอยู่ทั้งหมดเลย การถูกสิงมันเหมือนจะง่ายนะคะ ถ้ามันสิงเข้าตัวเราไปแล้ว 100% แต่กับ “มาลี” มันไม่ใช่อย่างนั้น เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นมนุษย์ เปลี่ยนเป็นผีสิง เดี๋ยวมีสติ เดี๋ยวไม่มีสติ ครึ่งๆ กลางๆ จะบาลานซ์ให้มันอยู่จังหวะไหน คนดูถึงจะรู้สึกว่ามันค่อยๆ ทรานสเฟอร์ หนูว่าอันนี้ค่อนข้างยาก แล้วก็ใช้พลังเยอะพอสมควรเลย แต่พอเล่นจริงๆ มันเล่นไปแบบไม่รู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง พอเล่นเสร็จแล้วผ่านไป 1 วันถึงรู้สึกว่าเจ็บตามตัวเลย

 

 

เรื่อง “หมอเหยา” และ “การปราบปีศาจในแบบคริสต์” ถือว่าเป็นครั้งแรกที่รู้จักเลยไหม

หนูเป็นคนอีสาน แต่หนูก็ไม่เคยรู้จัก “หมอเหยา” มาก่อน ถามว่าเคยได้ยินบ้างไหมก็ไม่เคยเลย พอมาทำเรื่องนี้ถึงได้รู้จักหมอเหยา แต่ไม่คิดว่าปัจจุบันนี้ยังมีอยู่ชาวบ้านยังมีวิถีที่พึ่งพาหมอเหยาอยู่ เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ใหม่มากสำหรับหนู ก็เรียกว่าโชคดีค่ะที่ได้มาทำงานเรื่องนี้ ได้มาเรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีของที่ “ท่าแร่” ด้วย

ในส่วนของ “บาทหลวง” มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่หนูเข้าโบสถ์ เชื่อในศาสนาคริสต์ หนูก็พอรู้นะคะว่าในศาสนาคริสต์เองก็มีการปราบปีศาจ เราเคยเห็นแต่ในหนังฝรั่งที่เขาสวดไล่ปีศาจกัน แต่ไม่รู้ว่าคนที่จะทำหน้าที่นี้ไม่ใข่ว่าทำได้ทุกคน ต้องเป็นบาทหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งเท่านั้น พอมาศึกษาเรื่องนี้แล้วถึงรู้ว่ามีในไทยไม่กี่คนก็ยิ่งตื่นเต้นมากเลยค่ะ

 

การร่วมงานกับ “เจมส์จิ”

นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยค่ะที่ได้ทำงานกับ “พี่เจมส์” ครั้งแรกที่รู้จักพี่เจมส์ก็โน่นเลยค่ะ “คุณชายพุฒิภัทร” ในละคร “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” (2556) ตอนนั้นปลื้มมากพี่เจมส์หล่อมาก พอวันนี้ได้มาเล่นกับพี่เขาก็รู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับเวลาที่เราดูเขาในทีวีเลยนะ บท “บาทหลวง” มันขัดกับตัวพี่เจมส์มากๆ เพราะเขาเป็นคนตลก อยากเล่นคอมเมดี้ แต่ “เปาโล” ไม่คอมเมดี้สักนิด บทนิ่งมาก แต่พี่เจมส์เล่นมุกตลอดพวกมุกล็อก พี่เจมส์พยายามละลายพฤติกรรมพวกเราทุกคนเพื่อให้ทำงานร่วมกันง่ายขึ้น แล้วพี่เขามาเล่นเป็นเปาโล บาทหลวงหนุ่ม หล่อมาก เดินมาในชุดบาทหลวงคือหยุดหายใจได้เลย เท่เกินคนมาก หนูสามารถเปลี่ยนศาสนาได้ตอนนั้นเลย

ในส่วนของการทำงานพี่เจมส์ทุ่มเทเลย คิวแรกที่หนูเข้าซีนกันก็เป็นซีนแรกๆ ของวันเปิดกล้องด้วย แล้วเป็นบทดราม่าของพี่เขา เขามาปล่อยของตั้งแต่วันแรกเลย เล่นสุดจนเรากังวลว่าพี่เขาจะเจ็บ แกเล่นจนหนาวสั่น บทก็พีกมาก เราก็คิดในใจว่าพี่เขาเล่นสุดมากขนาดนี้ ลำบากละ เราเล่นจมไม่ได้ละ

 

การร่วมงานกับ “มีน พีรวิชญ์”

สำหรับ “มีน” คือเห็นกันมานาน จริงๆ แล้วเข้าวงการไล่เลี่ยกันเลย ตอนแรกพอหนูรู้ว่ามีนมารับบท “หมอเหยา” หนูก็แอบกังวลแทนมีนเลยเพราะบทของหมอเหยาคือบทที่ยากมากในเรื่องนี้ เพราะมันมีเรื่องภาษาอีสาน ภาษาภูไทด้วย ต้องร้องเพลงยาวมาก ตอนที่อ่านบท รู้เลยว่าบทนี้ต้องทำการบ้านเยอะมาก

พอวันแรกที่มากองถ่าย ทุกคนพูดว่ามีนเล่นดีมาก แต่วันที่มีนเล่นบทที่ยากสุดๆ หนูไม่อยู่ หนูเลยขอไปดูย้อนหลังในสิ่งที่มีนเล่นไป อยากเห็นเพื่อนร้องเพลงแบบภาษาที่แปลก ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ พอดูแล้วขนลุก มีนเล่นดีมาก ร้องดีจนแทบอยากจะลุกรำ แล้วมันสนุกตรงที่มันเป็นการปราบผีอีกรูปแบบหนึ่งที่เราไม่เคยเห็น มันดูขลังไปเลยพอมีนถ่ายทอดออกมา พอเจอกันก็ถามมีนว่าทำการบ้านมายังไง ต้องทำอะไรบ้าง อยากรู้วิธีการทำงานของมีนทันที มีนก็เล่าให้ฟังแล้วก็รู้สึกทึ่งกับเพื่อนมากที่สามารถเล่นได้ขนาดนี้ มีนเป็นนักแสดงที่เก่งและมีฝีมือมากคนหนึ่งเลย ทุ่มเทสุดๆ ถ้ามีโอกาสหนูก็อยากร่วมงานกับมีนอีกค่ะ

 

 

ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นเก๋า “พี่เอก ธเนศ” เป็นยังไงบ้าง 

“พี่เอก ธเนศ” เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่อีกคนหนึ่งที่หนูอยากร่วมงานด้วยสักครั้ง พอรู้ว่าเราต้องเล่นเป็นพ่อลูกกัน หนูเครียดเลย ต้องแอบซุ่มทำการบานเยอะเลยทีนี้ เพราะกลัวมาตรฐานเราไม่ตรงกับพี่เขา การแสดงของพี่เอกที่ผ่านมามันการันตีหมดแล้วว่าเขาเล่นดี เข้าถึงบทบาทได้สุดขนาดไหน แล้วก็จริงค่ะ พอมาทำงานด้วยกันรู้เลยว่าพี่เอกเป็นคนละเอียดมากค่ะ หนูเคยเห็นบทของพี่เอกที่เป็นเล่มนะคะ มันเลอะไปหมด เวลาที่แกไปเข้าฉากต้องเลอะดินเปื้อนเลือด พี่เอกก็ไม่ห่างบทแล้วเขาก็จะเขียนอะไรลงไปเยอะมาก ตอนที่ Read-through พี่เอกเค้าเรียกหนูให้มานั่งข้างเขา มานั่งคุยกัน พี่เอกจะเรียกหนูว่าลูกสาว และพยายามทลายกำแพงออกไป หนูหันไปมองบทพี่เอก โหว…จดละเอียดมาก รุ่นหนูกับพี่เจมส์กับมีน พวกเราจะเริ่มจดกันในไอแพดละ แต่ของพี่เอกก็คือออริจินัล อยากให้ทุกคนเห็นบทในตำนานของพี่เขา

นอกจากนี้ พี่เอกเขาขอไปเวิร์กชอปเอง ขอลองเล่นซีนยากๆ เอง มันมีซีนหนึ่งที่เขาต้องทะลุขึ้นมาจากพื้น ทีมงานเตรียมสตันต์แมนเอาไว้เพื่อรอเล่นแทนเขา แต่เปล่าเลยเขาขอทำเองเล่นเองหมด แข็งแรงมาก เขาทำงานเป็นนักแสดงที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเขาคือคนแก่ที่เข้าใจอะไรยาก หรือเป็นรุ่นใหญ่แล้วเข้าถึงยาก แต่กลับรู้สึกเหมือนพี่เอกเป็นคนรุ่นเดียวกับเรา ไม่ว่าในการแสดงหรือหลังฉาก ในขณะที่พี่เอกสามารถสอนเราได้ แต่พี่เอกก็สามารถเปิดรับฟังพวกเราด้วย แกทุ่มเทมากค่ะ เล่นจัดเต็มทุกซีน ทุกคัต เล่นแบบไม่กลัวเจ็บเลย จนบางทีหนูคิดว่าถ้าหนูอายุเท่าพี่เอก หนูจะแข็งแรงเท่าพี่เขาไหม ประทับใจมาก

 

แล้วทำงานกับ “พี่เอี้ยง สวนีย์” อีกหนึ่งสุดยอดนักแสดงของไทยล่ะ เป็นยังไงบ้าง

“พี่เอี้ยง” เป็นคนที่การันตีเรื่องแอ็กติงอยู่แล้ว เราดูพี่เอี้ยงมาหลายเรื่องเหมือนกัน คนนี้เล่นเต็มจัดเต็ม พี่เอี้ยงเป็นคนที่สวิตช์เร็วมาก อย่างเช่นพวกเรากำลังนั่งคุยหัวเราะกันสนุกๆ พอสั่งแอ็กชันพี่เขาเข้าคาแร็กเตอร์ทันที ตอนแรกหนูงงนะ ทำไมเขาเข้าเร็วจัง หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าเราต้องเข้าเร็วให้ได้เท่าเขาละ

พี่เอี้ยงเก่งมาก การรับส่งกับพี่เอี้ยงคือเป็นอะไรที่ง่ายมาก ด้วยความที่ว่าพี่เอี้ยงเขาเป็นแอ็กติงโคชด้วย เขาช่วยทีมงานได้หลายอย่าง เช่นมุมนี้เขารู้ว่าต้องทำยังไงให้ไม่บังกล้อง ไม่บังแสงเรา พี่เอี้ยงละเอียดมาก ซึ่งหนูไม่ค่อยได้เจอนักแสดงที่ใส่ใจละเอียดขนาดนี้เลยค่ะ ชอบ หนูอยากทำงานพี่เอี้ยงอีก รู้สึกว่าสนุก

 

เรื่องนี้แต่ละคนเล่นกันเต็มร้อยมาก มันส่งพลังการแสดงกลับมาให้เรายังไง

กองนี้สนุกมาก รักกองนี้มากจนไม่อยากให้ปิดกล้องเลย สนุกทั้งตัวนักแสดงและตัวทีมงานด้วย นักแสดงทุกคนทำการบ้านมาดีจนเหมือนทุกคนมาแอ็กติงใส่กัน แต่ใส่กันคือไม่ใช่แข่งกันนะ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คืออยากให้มันออกมาดีมากๆ ทุกคนทุ่มเทสุดๆ มันเลยเหมือนทำให้ทุกซีนมันแมจิกมาก

จนวันหนึ่งหนูยังไปคุยกับ “พี่คุ้ย” ถามพี่คุ้ยว่าถ่ายมาทั้งหมดโอเคไหม แอ็กติงเป็นยังไง พี่คุ้ยบอกว่าดีมากเลยพี่คุ้ยก็คิดเหมือนหนู นักแสดงทุกคนเหมือนแอ็กติงใส่กัน มีแค่ไหนคือใส่ให้หมดเลย ทุกคนอยู่ในเทมเพลตเดียวกัน หนูรู้สึกแฮปปี้

 

 

ครั้งแรกกับการทำงานร่วมกับ “พี่คุ้ย ทวีวัฒน์” (ผู้กำกับ)

ความรู้สึกแรกเลยคือดีใจ จะได้เล่นหนังผู้กำกับดัง หนูแอบไปสืบจากเพื่อนว่าทำงานกับพี่คุ้ยเป็นยังไง สไตล์การทำงาน เพื่อนบอกพี่คุ้ยค่อนข้างเปิดกว้าง ถ้าเราอยากใส่อะไรไปในบท ลองไปเสนอพี่คุ้ยได้เลย พอมาทำงานจริงพี่คุ้ยทำงานง่ายมาก ด้วยความที่ภาพในหัวเขาชัดมาก เขาต้องการแบบไหน ที่เหลือเป็นหน้าที่เราที่จะทำให้อยู่ในไดเรกชันเดียวกัน ทีมงานเองก็เช่นกันค่ะ เขาเห็นภาพเดียวกับพี่คุ้ยเลยเพราะภาพเขาชัดเจนมาก ในการทำงานเลยง่ายและเร็ว แต่ถามว่าเราจะเพิ่มอะไรตรงไหนได้ไหม เพิ่มได้หมดค่ะ

 

ส่วนตัวเคยมา “ท่าแร่” ไหม

ไม่เคยมาก่อนเลย เคยมา “สกลนคร” ครั้งเดียวคือมาไหว้พระที่ “นครพนม” แล้วไฟลต์บินกลับมันไม่มี ต้องมาขึ้นสนามบินที่สกลนครแทน นี่เป็นครั้งแรกที่มาที่ “ท่าแร่” ก่อนมาถึงเพื่อนๆ บอกว่ามาผิดเวลามากเพราะอากาศร้อน แต่วันที่เดินทางมาฝนตกหนักอากาศเปลี่ยน อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20 องศาทั้งๆ ที่เป็นหน้าร้อนแล้วถึงขั้นต้องขอเข้าห้างไปซื้อเสื้อกันหนาว พี่เอี้ยงก็พาไปกินข้าวเปียก ถ่ายรูปทุกมุมเท่าที่จะถ่ายได้เลยค่ะ

พออากาศมันดี ทุกอย่างก็ดีไปหมดเลย เดินเล่นได้ เห็นเลยว่าสวยมีเสน่ห์ หลายๆ อย่างยังคงอนุรักษ์เอาไว้อย่างบ้านเรือนที่เป็นสไตล์ยุโรป โบสถ์เก่าแก่ และมีโบสถ์คริสตจักรที่ใหญ่และสวยงามมากๆ หนูรู้อยู่ก่อนแล้วว่าที่ท่าแร่เรามีชุมชนศาสนาคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่ไม่คิดว่าโบสถ์จะใหญ่ขนาดนี้ จริงๆ หลายอย่างที่ “ขอนแก่น” มีอะไร ที่สกลนครก็มีแบบนั้นไม่ต่างกัน แต่ที่ท่าแร่นี่แหละที่มีความโดดเด่น เป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีหลายสิ่งกระจุกอยู่ตรงนี้แล้วดีไปหมด

 

ความน่าสนใจโดยรวมของภาพยนตร์เรื่อง “ท่าแร่”

ตั้งแต่เริ่มประกาศออกไปว่าจะมีภาพยนตร์เรื่อง “ท่าแร่” มีคนมาถามหนูเยอะมากว่าเป็นหนังผีหรือเปล่า เป็นคำตอบที่ยากมาก เพราะว่าท่าแร่ไม่เชิงว่าเป็นหนังผีเพียงอย่างเดียว มันเป็นหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศาสนาด้วย มันมีสองความเชื่อที่อยากให้ลองไปสัมผัสดู ในบางจังหวะหนูก็คิดว่าหนังมีความเป็นแฟนตาซีเหนือจินตนาการ ในบางพาร์ตก็คือเรื่องของความรัก รักในครอบครัว รักในศาสนาและความเชื่อของตัวเอง แต่ก็มีความสยองขวัญอยู่เต็มไปหมด เอาง่ายๆ มาดูสกิลการแสดงของนักแสดงแต่ละคนก็คุ้มแล้วค่ะ อยากให้ทุกคนได้เข้ามาชมภาพยนตร์เรื่องนี้ที่พวกเราทุกคน ทั้งทีมงาน ผู้กำกับ และนักแสดงภูมิใจและตั้งใจที่จะทำออกมาให้ชมกัน ฉายแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์ค่ะ

 

ท่าแร่ (Tha Rae: The Exorcist)

ท่าแร่ (Tha Rae: The Exorcist)

“นับถือพระเจ้า” และ “บูชาภูตผี” สองความเชื่อ สองศาสนา หนึ่งพิธีกรรม เมื่อ “ความชั่วร้าย” จากอดีต ถูกปลุกขึ้นมาสิงสู่...

รายละเอียดภาพยนตร์

Featured News