คุยกับ “มีน พีรวิชญ์” ท้าทายที่สุดในชีวิตการแสดงกับบทบาท “หมอเหยา” ในภาพยนตร์สยองขวัญแห่งปี “ท่าแร่” วันนี้ ในโรงภาพยนตร์

อีกหนึ่งนักแสดงมากความสามารถรุ่นใหม่ที่ได้รับบทบาทอันหลากหลายในภาพยนตร์ไทยเรื่องดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “พี่นาค 2-4″ (2563-2567), “วอน(เธอ)” (2563 / คว้ารางวัล “นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม” จาก “คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 17”), “มอนโด รัก | โพสต์ | ลบ | ลืม” (2566) และ “ธี่หยด 2″ (2567)

 

ล่าสุดกับ “ท่าแร่” ที่กำลังเข้าฉายในตอนนี้ “มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร” ได้มอบการแสดงที่นับว่าท้าทายและยากที่สุดเท่าที่เคยผ่านมากับบท “หมอเหยา” ที่เขาไม่เคยรู้จัก ภาษาถิ่นที่ไม่เคยพูด พิธีกรรมที่ไม่เคยเห็น แต่เขาก็ได้รับการเวิร์กชอปจากหมอเหยาตัวจริง และหมั่นศึกษาฝึกซ้อมจนอินอย่างรวดเร็วและถ่ายทอดความเป็นภูไทออกมาได้อย่างสมจริง

 

 

จุดเริ่มต้นในการร่วมโปรเจกต์นี้

“พี่คุ้ย” ผู้กำกับติดต่อมาทางพี่ผู้จัดการแล้วก็เล่าว่ามีโปรเจกต์ประมาณนี้ ให้ผมรับบทเป็นหมอผีในเรื่อง “ท่าแร่” ผมถามพี่คุ้ยคำแรกแลย หมอผีเลยเนี่ยนะพี่ มันก็เกิดคำถามในวินาทีแรกที่ผมได้ยินสิ่งนี้เต็มไปหมด ผมเลยขอนัดเจอกันสักครั้งแล้วกันเพื่อที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด เพราะเราก็กลัวว่าเราจะทำได้ไหม จะเหมาะกับเราหรือเปล่า

พี่คุ้ยก็ส่งโลเคชันมา เจอกันร้านลาบเป็ดตรงแถวพระราม 9 แกก็บอกว่าตอนแรกเขามีแคนดิเดตหลายคนในเรื่องนี้สำหรับบท “หมอเหยา” แต่พี่คุ้ยอยากได้อะไรใหม่ๆ อยากได้คนที่ดีไซน์คาแร็กเตอร์ให้ และภาพลักษณ์ใหม่ๆ หลุดกรอบจากบทของหมอผีทั่วไปก็เลยชวนผม ตอนนั้นใจผมก็รับเล่นแล้ว 80% ได้ แต่ว่าเดี๋ยวขอดูบทว่ามันเรื่องอะไรอีกที แต่ก่อนจะแยกจากกันเนี่ย พี่คุ้ยถามผมมาคำหนึ่งว่าพี่ไม่รู้กองนี้เป็นอะไร นักแสดงนัดพี่คุยทุกคนเลย คือก่อนหน้าผมจะเป็น “พี่เจมส์จิ”, “พี่เอก ธเนศ”, “แพรวา” แล้วก็มาผม ทุกคนเรียกพี่คุ้ยออกไปคุยกันหมด (หัวเราะ)

 

หลังจากที่ได้อ่านบทแล้วเป็นยังไงบ้าง ต้องทำการบ้านมากน้อยระดับไหน

พอได้อ่านบท อ่านอะไรไม่ออกเลย เพราะว่ามันเป็นภาษาอีสาน ผมไม่มีความรู้ด้านภาษาอีสานเลย ไม่มีความรู้ด้านภาษาภูไทด้วย แล้วบทมันแบ่งว่าไดอะล็อกตรงนี้เป็นภูไท ตรงนี้เป็นอีสาน ทางทีมเขาก็ไปแปลมาให้ ตอนนั้นก็คุยกันว่าหรือเราจะคุยอีสานให้เหมือนกันทุกคนเลยดีไหม แต่พอผมศึกษาไปเรื่อยๆ เลยตัดสินใจว่าน่าจะต้องพูดภูไท 100% ไปเลย ผมไม่รู้เลยว่าภูไทพูดยังไง เราเอาความมั่นใจสู้ไปก่อน หลังจากวันนั้นบทสวดภูไท สวดยังไงให้เข้าใจความหมาย ยากเลยทีนี้ แล้วทีมงานส่งโคชภาษาภูไทมาอยู่ที่กองให้ด้วย วันนั้นทำให้ผมรู้ว่าภาษาภูไทมี 7 เผ่า และ 7 เผ่าพูดไม่เหมือนกัน ผมจะเชื่อใครดีจะเผ่าไหนดี สุดท้ายเราก็เลือกหนึ่งในภาษาที่เข้าปากเรา

อันนั้นก็เป็นความยากอีกอย่างหนึ่งครับ อ่านบทดราฟแรกเรารู้สึกว่าสนุก เห็นถึงเส้นเรื่อง เห็นถึงทัศนคติต่อตัวหนังที่มันชัดเจนว่าหนังมันอยากแสดงถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมระหว่างคริสต์กับผี ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นสกลนคร ทำไมถึงต้องเป็น “ท่าแร่” จุดเริ่มต้นก็มาจากคนเขียนบทที่เป็นคนท่าแร่ด้วย ทุกอย่างเลยยิ่งชัดเจน

ผมทำการบ้านกับเรื่องนี้หนักมากๆ เมื่อเทียบกับงานที่รับมาในชีวิตนี้ เพราะบทมันไกลตัวมาก ไม่มีความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจเรื่องนี้เลย ที่เราตัดสินใจรับบทนี้เพราะว่าเรารู้สึกอยากลองทำอะไรที่มันชาเลนจ์ท้าทายตัวเอง ลงคลาสแอ็กติงทางการแสดง ในทางใช้ชีวิตเราก็ไปสกลนคร ผมมี 3 แนวความคิดว่า หนึ่ง-บทต้องเหมาะกับเรา สอง-คนดูต้องเชื่อ สาม-คนสกลต้องเชื่อ ผมมีมายด์เซตหนึ่งว่าถ้าคนสกลไม่ซื้อ คนอีก 76 จังหวัดจะไม่เชื่อแน่นอน

 

 

เคยรู้จัก “ท่าแร่” ก่อนจะรับเล่นเรื่องนี้ไหม

ไม่รู้จักเลย แวบแรกที่อยู่ในหัวคือ “มหา’ลัย เหมืองแร่” ไม่รู้เลยว่า “ท่าแร่” เป็นอำเภออยู่ในจังหวัดอะไร นึกว่าเรื่องเกี่ยวกับเหมืองแร่ พอเริ่มคุยกับ “พี่คุ้ย” ถึงได้พอรู้คร่าวๆ ว่าท่าแร่เป็นชุมชนคนเวียดนามเก่าแก่ มีชุมชนคริสต์ที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย นับถือหลายศาสนา มีชนเผ่ามากมายอยู่ร่วมกัน และใช้ภาษาแตกต่างกัน  

ความพิเศษของท่าแร่ ผมคิดว่ามันเป็นเมืองที่มีหลากหลายความเชื่อและทุกคนก็ทั้งยึดถือในความเชื่อของตัวเอง และเคารพในความเชื่อของคนอื่น สิ่งนี้มันเลยเป็นสิ่งที่โดดเด่นออกมามากเลยครับ คือสมมติผมพูดภูไท อีกคนพูดซ่ง อีกคนพูดอีสาน สามคนนี้พูดด้วยภาษาของตัวเอง แล้วก็ฟังภาษาคนอื่นรู้เรื่อง ไปตอนแรกผมก็งง เขาพูดภาษาอะไร ทำไมเขาพูดไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เข้าใจกัน

แล้วตอนช่วงปลายปี เรามาทำคาแร็กเตอร์ เป็นช่วงที่ทีมงานเขาจะมาสต็อกภาพของ “เทศกาลแห่ดาว” พอดี พูดตรงๆ ว่าไม่มีความรู้เรื่องเทศกาลนี้เลย ไม่เคยเห็น ไม่เคยดู เราเข้าใจว่าเป็นงานรื่นเริงประจำปี ฟีลเหมือนงานวัด โอ้โห…พอไปถึงต่างจากภาพที่คิดเยอะมาก มันอลังการ มีความเป็นคริสต์ มีความคริสต์มาส แล้วก็มีความเป็นไทยอยู่ตรงนั้นด้วย เราเดินควันออกปาก กินขนมไทยที่ขายตามงานวัด แล้วผมเพิ่งกลับมาจากยุโรป ลุยตลาดคริสต์มาสมา ผมบอกเลยว่าท่าแร่นี่ไม่แพ้ตลาดคริสต์ยุโรปเลยครับ

 

บทบาท-คาแร็กเตอร์

ผมรับบทเป็น “แม่เมืองโสภา” อาชีพเป็น “หมอเหยา” เหมือนได้ศักดินา มีคำนำหน้าชื่อเป็นแม่เมือง ก็คือจะเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผีไทย ผีพื้นถิ่น เรามีผีบรรพบุรุษที่จะคอยช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้าน และเราก็จะใช้ความสามารถนี้เป็นสื่อกลางมาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะมีคนเจ็บป่วย วัวหาย ควายหาย ผีเข้า หรือทำขวัญ หมอเหยาก็จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้

แต่ความแตกต่างของคาแร็กเตอร์ของเรากับหมอเหยาคนอื่นๆ ก็คือเราจะเป็นหมอเหยาแห่งยุคโซเชียล คือทำหน้าที่ไปด้วยแล้วก็ไลฟ์ TikTok หรือ Facebook ไปด้วย วินาทีแรกที่คนมาเจอเรา เขาอาจจะสงสัยว่าเฮ้ย…นี่ของจริงหรือเปล่า หรือว่ามาหลอกคนอื่น มาทำท่าเต้นรำ มาสวดหลอกๆ ซึ่งคาแร็กเตอร์ของผมเป็นคนที่อยากช่วยเหลือผู้คน แล้วก็มีความมั่นใจในตัวเองว่าสิ่งที่เราทำมันถูก แม้ว่าคนจะเข้าใจผิดแต่เราก็ไม่แคร์ เพราะเราเชื่อว่ามันถูก เราก็ทำของเราไป

วันแรกที่ผมรับบทนี้ ผมมีคำถามว่า “พี่คุ้ย” (ผู้กำกับ) ให้ผมมาเล่นเป็นหมอผีเหรอ คือหมอผีในภาพจำของเราอาจจะเป็นฤาษีหนวดยาว ห่มชุดขาว เราไปทางไหนได้บ้าง และสิ่งแรกที่ผมทำตอนที่ผมรู้ว่าต้องรับบทเป็นหมอเหยา ผมไปเซิร์ชเรื่องผีมาฟังก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างกระจัดกระจายครับ เราอาจจะคุ้นกับคำว่าหมอผี หมอธรรม อาจารย์ต่างๆ หรือพระ พอเริ่มศึกษาบวกกับทางทีมงานพูดคุยกับผมมาเรื่อยๆ เราก็เซิร์ชไปเจอหมอเหยาที่ชื่อว่า “แม่หมอโอปอ” มันไม่เหมือนภาพจำของคำว่าหมอผีที่เคยได้ยินมา ก็พยายามดูคลิปเขา ยึดแม่หมอเป็นแกนเริ่ม แล้วก็ปรับคาแร็กเตอร์ของแม่หมอกับของเราผสมให้มันพอดี

 

 

หน้าที่ของ “หมอเหยา” ต้องทำอะไรบ้าง

“หมอเหยา” เขามี 2 แบบ ใหญ่ๆ ก็คือเราก็มีพลังมีวิชาที่เราเรียนมา ก็จะสามารถรักษา ดูแล หรืออาจจะเสี่ยงทายง่ายๆ ด้วยตัวเราเอง แต่ถ้าอันไหนที่มันเหนือมาก อย่างเช่นอาจจะเป็นโรคที่รักษายาก เป็นผีเข้าที่ใหญ่กว่าพลังเรา เราก็จะขอยืมขออันเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาเพื่อช่วยเหลือ เพื่อนำทางที่เห็นในเรื่อง หรือว่าที่เราเห็นแชร์กันในเน็ตเยอะๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเสี่ยงทายด้วยไข่ จะมีหลายวิชามากทั้งเสี่ยงบนมือ เสี่ยงบนดาบ เสี่ยงด้วยข้าวสาร แต่ก็มักจะใช้ไข่เป็นตัวนำสื่อสารกับวิญญาณบรรพบุรุษ

วันแรกที่ไปเห็นก็สงสัยเลยว่าเชื่อถือได้แค่ไหน ของจริงหรือปลอมนะ ผมก็ใช้เวลาพูดคุยสอบถามไปเรื่อย แล้วแม่หมอให้ไอเดียหนึ่งกับผมมาว่าสิ่งสำคัญของหมอเหยาคือการช่วยเหลือทางด้านจิตใจ เราไม่รู้หรอกว่าคนนี้เขารักษาอะไรมาบ้าง เขาผ่านเรื่องราวอะไรมาจนเขามาป่วยแบบนี้ เขาไม่ได้บอกว่าต้องทิ้งวิทยาศาสตร์แล้วมารักษากับเขาแล้วหาย แต่ว่าอย่างน้อยการที่เขาช่วยให้สุขภาพจิตให้ความเชื่อมันดีขึ้น อาจจะควบคู่กับวิทยาศาสตร์ไปด้วย ควบคู่กับสิ่งที่เคยทำอยู่ไปด้วย แล้วถ้ามันดีขึ้นสัก 1% มันก็ถือว่าดีขึ้นไหม อันนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เป็นไอเดีย การเป็นหมอเหยาไม่ได้ทำเพื่อให้หาย 100% แต่ว่าเราทำเพื่อให้เขามีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไปในแต่ละวัน อันนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเราด้วย

 

การเตรียมตัวรับบทเป็น “หมอเหยา”

ตอนนั้นเรามีเวลาทำการบ้านค่อนข้างน้อยประมาณ 2 เดือนได้ กับบทที่พลิกคาแร็กเตอร์เราไปเลยนะ แต่โชคดีที่ตอนนั้นทางทีมงานกำลังจะไปบล็อกช็อต (Block Shot) และเก็บสต็อกช็อต (Stock Shot) “เทศกาลแห่ดาว” พอดี ก็เลยได้ไปกับเขาด้วย ทีมงานชวนให้ไปเจอกับแม่เมืองตัวจริง ก็ได้ไปอยู่ประมาณ 5 วัน เช้าต้องรีบตื่นไปหาเขา ใช้เวลาช่วงกลางวันแบบนี้ทุกวัน ช่วงกลางวันได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมเยอะเลยครับ “แม่หมอโอปอ” เขามีชื่อเสียงในฝั่งสกลนครแล้วก็จังหวัดใกล้เคียงด้วย เราไปเจอกันไม่ใช่ง่ายๆ ต้องแมตช์คิวนักแสดง ทีมงาน และแม่หมอด้วย เพราะว่าเขามีทั้งต้องไปเลี้ยงผี ไปทำขวัญ ต้องเดินทางตลอด

สิ่งที่ผมค่อนข้างซีเรียสก็คือการทำพิธี เพราะเราอยากให้คลาสสิก อยากให้ถูกตามธรรมเนียมตามประเพณี ก็คุยกับแม่หมอโอปอว่าในพิธีแต่ละซีนแต่ละฉากต้องมีอะไรบ้าง ขอให้เขาจัดให้ดู มันก็จะมี “เครื่องคาย” ก็คือเครื่องบูชา อะไรมีได้ อะไรห้ามมี ต้องตั้งตรงไหน ทิศไหน ทุกซีนทุกฉาก ผมทำการบ้านก่อนไปสกลนคร พี่ผู้ช่วยผู้กำกับก็ถ่ายเก็บไว้หมด

ฉะนั้นก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ เราก็ต้องดูว่ามุมนี้วางได้ ขออย่างนี้นะ แม้ว่าในรูปในกล้องมันจะสวย แต่ว่าอันนี้มันเกินมา มันเยอะเกิน ทุกฉากครับ เราก็พยายามเข้าไปคุยกับทีมงาน ทีมอาร์ต ตากล้องว่าตรงนี้อันนี้สำคัญ อันนี้ไม่สำคัญ อันนี้ขอเอาออก ขอเพิ่มจุดนี้ได้ไหม เพื่อเป็นการรีเช็กตัวเอง แล้วก็เพื่อเป็นการสวมบทบาทเราก่อนเริ่มถ่าย เป็นการเตรียมตัวด้วยครับ

บางครั้งการไหว้บรรพบุรุษ ของดิบอาจจะไม่ต้อง มีแค่ข้าว ไข่ ของสวยงาม เครื่องเงิน ใบยาสูบ เหล้า มีจำนวนเงินจำเพาะ แม้ว่าในกล้องไม่เห็นเลยนะ แต่เราจะใช้เงินแค่นี้ และต้องเป็นเหรียญนี้ หันแบบนี้เท่านั้น หรือการรำ เราก็จะไม่รำจีบ เพราะถ้ารำจีบคือเป็นแบบสมัยใหม่ เขาบอกว่าวินาทีที่ผีบรรบุรุษเข้าสู่ร่าง การรำแบบสมัยก่อนจะใช้แค่มือ เราก็จะมีการเสริมคาแร็กเตอร์เราเข้าไป ก็จะมีความต่างจากแม่หมอโอปอ การรำที่ถูกดีไซน์เพิ่มขึ้นมาในแบบที่โอเคยังอยู่ในกติกา

ผมจะคุยกับแม่หมอโอปอว่ารำได้แค่ไหน ถ้าเราอิมโพรไวส์ขึ้นมาให้อ่อนช้อย มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น โอเคไหม แต่ให้เป๊ะแบบตอนถ่ายเลยไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอินเนอร์ข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่เราก็ถามไว้ก่อนว่าอะไรบ้างที่ได้หรือไม่ได้ มีหลายซีนเล่นไปแล้ว พี่ผู้ช่วยก็ส่งให้แม่หมออดู ส่งไปให้คนเขียนบทดู ก็ถือว่าได้รับการแอปพรูฟจากเจ้าตัวมาประมาณหนึ่ง

อีกเรื่องก็คือการแต่งตัว การจะเป็นหมอเหยาต้องมีการแต่งกายแบบดั้งเดิม เราจะเป็นชายหรือหญิง แต่การแต่งตัวต้องแต่งแบบหญิงตามผีบรรพบุรุษของเรา ผ้าถุงต้องแบบนี้ ลายผ้า คาดหัว ในวันที่ไปเจอแม่หมอโอปอ แม่หมอก็แนะนำหลายอย่าง มีให้ลองสวมผ้า สวมสร้อยที่เก่าแก่ผ่านงานพิธีมาแล้วก็มี

 

 

ได้เจอสิ่งลี้ลับหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรบ้างมั้ย

ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรบางอย่าง ผมบอกไว้ก่อนเลย ผมไม่แน่ใจ ผมเป็นคนเชื่อเรื่องลี้ลับ 50-50 แล้วกัน ถามว่าเชื่อไหม ก็เชื่ออยู่ แต่ไม่งมงาย 100% เหตุการณ์มันก็คือว่าผมใช้ศาสตร์ในการแสดงศาสตร์หนึ่งเหมือนใช้คำว่าเราจะไปนั่งอยู่ในใจเขา เราจะดูดซับพลังงานของแม่หมอมาให้ได้เยอะที่สุด เราอยากรู้ว่าเขาใช้พลังงานยังไง เขาขยับร่างกายด้วยความรู้สึกยังไง เขามีอินเนอร์ยังไงในแต่ละช่วงเวลา วันแรกไปผมก็ทำตัวสบายๆ เข้าไปพยายามจะดูดซับพลังงานเต็มที่

จนกระทั่งก่อนกลับ แม่หมอให้เราลองแต่งตัวเป็นหมอเหยาดูว่าได้ไหม ผ้าอันนี้นะเป็นแบบลายโบราณมาก เขาก็เล่าไป ชุดอันนี้ต้องแบบนี้ คอแบบนี้เท่านั้น ชายต้องอยู่ประมาณนี้ถึงจะสวย สร้อยคออันนี้นะเป็นของบรรพบุรุษตกทอดมาหลายปี 10 ปี 100 ปี แล้วแกก็จะคล้องให้ผม ผมเอามือจับไว้งี้ จะให้ผมลองใส่เหรออครับ แม่หมอบอกไม่เป็นไรหรอก จังหวะใส่เข้ามารู้สึกแบบแน่นๆ ไม่แน่ใจว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า หรือว่าเหนื่อยมาทั้งวันหรือเปล่า อึดอัดประมาณหนึ่ง ตอนนั่งรถไปกินข้าวกับทีมงานก็รู้สึกกินไม่ลง อึดอัด อาจียน แล้วก็ยกมือไหว้ หันไปบอกพี่สไตลิสต์ว่าวันถ่ายจริงขอของปลอมนะ อย่าไปเอาของจริงเขามา อาการมันไม่หายดี มึนหัว อาเจียนหลายรอบ อึดอัดไม่รู้เพราะสร้อยเส้นนั้นหรือว่าเราตั้งใจมากไป

ก็ขอตัวไปนอนพัก นอนหลับไป 2-3 ชั่วโมง ตื่นมาด้วยกลิ่นน้ำอบทั้งห้อง ผมปิดห้องสนิทมาก เปิดแอร์นอนเย็นฉ่ำ กลิ่นเหมือนบ้านแม่หมอโอปอเลย เอาไงดีวะ เลยยกมือไหว้บอกว่าถ้ามาก็อยากให้มาช่วยเพราะว่าเราอยากให้หมอเหยาเป็นที่รู้จัก อยากให้คนรู้ว่าเราไม่ได้หลอก อยากให้คนรู้ว่าเรามีความเชื่อ เราดูแล เรารักษา เราช่วยชาวบ้านได้จริงๆ กลิ่นมันก็หายไป แล้วหลังจากนั้นเราก็จะไหว้ทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มเล่น

ต้องขอขอบคุณทั้ง “ครูคิม”, “แม่หมอโอปอ” และ “ทีมหมอแคน” ด้วยที่ตามไปช่วยผมถึงวันถ่าย ทุกคนอยากให้มันดี ผมมีโอกาสได้เรียนรู้จากแม่หมอโอปอเยอะมาก รวมถึงยืมบางส่วนทั้งไอเดีย วิธีการคิด ประสบการณ์ชีวิตของแม่หมอที่เขาแชร์ให้กับเราเยอะมาก เราอยากรู้ เราถาม เราจดเป็นสิบๆ หน้าเลยครับ

วันนั้นที่ไปเพื่อให้คาแร็กเตอร์นี้มีจิตวิญญาณ ผมเชื่อเลยว่าตัวละคร “แม่เมืองโสภา” จะมีจิตวิญญาณของแม่หมอโอปออยู่ในนั้นเยอะมาก แม้ว่าภายนอกหรือว่าวิธีการทำงานหรือแบบวิธีการคิดอาจจะไม่เหมือนกัน แต่จิตวิญญาณความเป็นหมอเหยาในตัวได้รับอิทธิพลมาจากแม่หมอโอปอ ส่วนครูคิมก็ช่วยเหลือในด้านภาษาด้วย ในด้านขนบธรรมเนียม ทุกคนจาก “ท่าแร่” ใจดี ช่วยกันมากๆ สนุกมากครับ

 

ร่วมงานกับ “เจมส์จิ” เป็นยังไงบ้าง

กับ “พี่เจมส์จิ” เราอยู่ช่องเดียวกัน แต่ยังไม่เคยร่วมงานกันเลย เจอกันตอนไปดำน้ำ ใช้ชีวิตด้วยกันบนเรือนิดหน่อยครับ แต่ก็รู้ว่าเขามีฝีมือแล้ว มีเซนส์ทางการแสดงมาก พอได้ทำงานร่วมกันวันแรกก็คือเจอกันตอนไปฟิตติง โอ้โห…องค์ลงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ใส่ชุดปุ๊บเหมือนเลย เราเรียนโรงเรียนคริสต์มา แกเหมือนบาทหลวง เหมือนคุณพ่อเหมือนบราเทอร์ เหมือนฟาเทอร์มาก

เวลาเราทำงานด้วยกันสิ่งสำคัญคือพี่เจมส์ก็เป็นพาร์ตเนอร์ ในแง่ของความต่างด้านศาสนาที่เราจะต้องชนกันแล้วก็ช่วยกันอยู่บ่อยๆ รู้สึกว่าการรับส่งกับพี่เจมส์เป็นเรื่องน่าสนุกครับ แล้วก็น่าลุ้นอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเราจะเจออะไร รับอะไรกลับมา เขาเล่นละเอียด บทดูเหมือนแบบนิ่งๆ ตอนอ่านบทก็คุยกับพี่เจมส์ว่าบทพี่เจมส์นิ่งเนาะ เพราะบทเรามันจะมีหลายสิ่งให้เล่น แต่พอถึงหน้ากองพี่เขาละเอียดยิบมากครับ เขาบอกว่าความไวเป็นเรื่องของปีศาจ แต่รายละเอียดในเรื่องของพระเจ้า ผมให้เขาเลยละเอียดสุดๆ และการที่พวกเราได้คุยกันในกองทำให้บรรยากาศมันผ่อนคลายลงเยอะ พวกเราใช้เวลาปรับตัวกันไม่นานเท่าไหร่ โชคดีที่พี่เจมส์น่ารักกับผม เข้าหาและช่วยเหลือเสมอ

 

 

เคยเรียนโรงเรียนคริสต์มา “มีน” พอรู้อยู่แล้วไหมว่าเขาก็มีบาทหลวงทำหน้าที่ปราบปีศาจด้วย

ไม่รู้เลยครับ เปิดโลกมาก แล้วก็วันแรกที่ผมคุยกับ “พี่คุ้ย” เขาก็เล่าว่าคนที่จะเป็นได้ต้องมีใบอนุญาตอย่างเป็นทางการเลยนะถึงจะทำหน้าที่นี้ได้ มันว้าวนะ เป็นเรื่องใหม่ของเราเลย แล้ว “พี่เจมส์” ก็คือใช่เลย

ตอนแรกที่เราเริ่มเข้าสู่บทกัน บรรยากาศมันให้ความรู้สึกเดียวกันกับในเรื่อง คือความสับสน มีเตียง มีเกลือล้อมเตียง ข้าวของเครื่องปราบปีศาจเยอะมาก มากกว่าของหมอเหยาอีก แต่มันคือวิธีที่ถูกต้อง เวลาปราบปีศาจเขาทำแบบนี้กัน แล้วมีพี่เจมส์ใส่ชุดบาทหลวงมายืนถือน้ำมนต์ แต่แบล็กกราวด์มันคือทุ่งนา บ้านไม้ มันเป็นภาพที่แปลกมาก ตอนอ่านบทมันยังไม่เห็นภาพ ในหัวก็มีแต่เรฟเฟอเรนซ์หนังฝรั่งสักเรื่องหนึ่ง แต่ภาพที่เราเจอหน้าเซตพร้อมพี่เจมส์ มันมีทั้งความสมจริงและสับสน ถ้ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ในไทย บรรยากาศมันก็น่าจะประมาณนี้แหละ นี่คือเสน่ห์ในพาร์ตของบาทหลวงในเรื่องนี้เลย

 

การร่วมงานกับรุ่นใหญ่มากฝีมือ “พี่เอก ธเนศ”

ผมได้ยินชื่อเสียง “พี่เอก” มาเยอะครับ เข้าชิงตลอด รางวัลเต็มบ้าน แล้วก็ความเป๊ะในการทำงาน รวมถึงการร่วมงานกับโปรดักชันของเมืองนอก ถ้าทุกอย่างยังไม่ 100% ก็จะมีคำถามตลอด อันนี้คือข้อดีนะครับ พี่เขาเหมือนเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ที่มีคำถามตลอด มีความอยากรู้ มีความสนใจ ทำไมเขามีเอเนอร์จี มีความรักในภาพยนตร์เรื่องนี้มากขนาดนี้ จนเราอยากอยู่ใกล้ อยากซึมซับ อยากฟังเขาคุยว่าเขาทำคาแร็กเตอร์ยังไง ตัวละครเขาคิดยังไง อย่างที่บอกพี่เอกเล่นหนังนอกมา เจอเพื่อนร่วมงานเก่งๆ ต้องมีเทคนิคที่โน่นเยอะแยะแน่ แต่กลับกันพี่เอกซิมเพิลมากเลย ง่ายแต่ลึกซึ้ง เขาก็ชอบเล่าให้ฟัง ลงลึกดีเทลทุกอย่าง แล้วก็เล่นเต็มตลอด ซีนไหนไม่เห็นเขาในซีน เขาก็จะนั่งอยู่หลังกล้อง หลังมอนิเตอร์ เขาก็ยังส่งพลังมาให้ พลังเขาเต็มตั้งแต่แต่งหน้าเสร็จ ยังไม่ทันเดินมาถึงหน้าเซต พี่เอกจะวอร์ม ยืดตัว ทบทวนบท แล้วเขาเล่นขนาดนั้น เราเล่นน้อยไม่ได้เลย เขาเตรียมตัวมาขนาดนี้ เราก็ต้องไปด้วยกันหมด

ตอนแรกที่เราซุ่มทำการบ้านมากับบท “หมอเหยา” ผมก็คิดนะว่าเราซีเรียสไปรึเปล่า แต่พอมาเจอ “พี่เอก”, “แพรวา”, “พี่เจมส์”, “พี่เอี้ยง” โอเค สบายใจ วันนี้ทุกคนสาดเอเนอร์จีใส่กันหมด ผมเบาไม่ได้เลย เบากูแย่แน่ ยิ่งเล่นก็ยิ่งรู้สึกว่าทุกคนเสริมมวลพลังงานกันที่หน้าเซตทุกวัน หันไปมองตัวละครแพรวาก็ไม่เบา บางเซตอึดอัดมาก ผีตัวนี้ก็มา พี่เอกก็แรง พี่เจมส์เดินเข้ามาทีเดียว พลังมาล้นห้อง ขนาด “พี่แฉะ” ยังต้องเตรียมตัว แล้วพี่เขาเคยพูดว่าเห็นกองนี้เล่นแล้วมีไฟ ทุกคนมาแชร์ไฟในการทำงานกันจริงๆ

 

กับ “แพรวา” เป็นยังไงบ้าง

คนนี้เขาบอกไม่เคยคิดจะเล่นหนังผี แต่ว่าพอเขาอ่านบทแล้วอยากเล่นมาก ผมไม่เคยทำงานกับ “พี่แพรวา” นะ เรื่องนี้เป็นครั้งแรก นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้เตรียมตัวกันหนักมาก วิธีการทำงานของเขาก็สุดยอดมากเลย พอเรามาเจอเขาตั้งแต่ซีนแรกที่เข้าจนถึงทุกวันนี้ เรายังชอบแบบวิธีการทำการบ้าน พูดน้อยมากแต่ว่าข้างในเขาหนักมาก ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ยังนั่งเล่นคุยตลกกันอยู่เลย แต่พอ 3-2-1 เขาแบกมวลความรู้สึกก้อนใหญ่ๆ เข้ามาตลอด ผมคิดว่า “มาลี” น่าจะเป็นตัวละครทื่พี่แพรวาต้องทำออกมาได้อย่างดีแน่นอน

 

 

การทำงานร่วมกับ “พี่คุ้ย ทวีวัฒน์” อีกครั้ง

จริงๆ ผมเล่นละครเรื่องแรกกับ “พี่คุ้ย” ตอนนั้นเล่นเป็นนักฆ่า ทำคาแร็กเตอร์ใหม่กับพี่คุ้ยตั้งแต่เรื่องแรกเลย ผมเล่นไม่ค่อยได้ หมายถึงว่ากล้ามเนื้อเราคนละแบบกับกล้ามเนื้อที่เขาอยากได้ เขาเรียกเราไปดูในห้องตัดต่อแล้วก็ให้ผมเห็นชัดๆ พี่คุ้ยดูละเอียดยันกล้ามเนื้อ แล้วผมก็มาเจอกันอีกทีตอนเล่นหนัง “ธี่หยด 2″ (2567)

พี่คุ้ยก็ยังทำสิ่งเดิมก็คือการโยนดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ผมว่าประมาณนี้ที่เหลือ “มีน” ไปต่อเอาเอง อันนี้คือเสน่ห์ของการร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้ที่ผมชอบมาก ก็คือเขามีหมุดบางหมุดวางไว้แล้วที่เหลือเราไปลากเส้นเอาเอง แล้วเขามีไดเรกชัน พี่คุ้ยจังหวะพระเจ้า เขาแม่นเรื่องของจังหวะมาก ตอนเตรียมตัวก็เรื่องหนึ่งนะ แต่พอมาทำงานเขารู้ว่าจังหวะนี้ประมาณนี้ดีกว่า จังหวะนี้ขอแบบเลเวลประมาณนี้ จังหวะของพี่คุ้ยคือเสน่ห์ การดึงจังหวะแปลกๆ ที่มันลงล็อกพอดี มันเหมือนพันช์ ต่อยคนดู ฮุกคนดู ผมว่าเรื่องนี้แกก็ใส่หลายจังหวะ

สมมติเทกแรกผมก็เล่นด้วยแบบที่เราเตรียมตัวมา พี่คุ้ยก็มาบอกว่ามีนพี่ขอลองกลัวอีกแบบสิ ขอลองกลัวประมาณนี้ นี่เป็นการเจอผีครั้งที่ 2 ฉะนั้นพี่ว่าคนดูเบื่อที่จะกลัวแบบนี้แหละ เราน่าจะปรับตัวกับผีได้ประมาณหนึ่ง และขอวิธีการเผชิญหน้ากับผีอีกแบบหนึ่ง ช่วงองก์ 2 ถ้าเรายังรับมือแบบเดิมคนดูอาจจะไม่ซื้อเราแล้ว คนดูอยากเห็นพัฒนการของตัวนี้ละ พี่คุ้ยจะแม่นเรื่อพัฒนาการตัวละคร เรื่องจังหวะ เรื่องการซื้อใจคนดูมาก เราก็จะไว้ใจกัน เราก็ได้พี่ ขอทำความเข้าใจแป๊บนึง พอไปเล่นเราได้สิ่งใหม่ขึ้นมาเลย โอ้โห…นี่มันแมจิก แม่นครับ สุดยอด

 

ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้

เรื่อง “ท่าแร่” มันไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญ แต่ข้างในมันมีทั้งเรื่องราวของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในเรื่องของความแปลกตา ความเชื่อที่เราอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีสิ่งนี้อยู่ด้วย ที่ท่าแร่ สกลนครเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นผลงานที่ทีมงานทุกคนตั้งใจมาก นักแสดงเรามีดีเทลกันเต็มที่อยู่แล้วทุกทีม ทีมพร็อป ทีมคอสตูม มันดีเทลไปจนถึงลายผ้าเลยนะครับ หรือแม้กระทั่งการออกแบบงานสร้างต่างๆ ดูผ่านๆ ก็มีความสุข ดูลึกก็ได้ดีเทลดีๆ ครับ ผมขอฝากด้วยครับกับภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ท่าแร่ The Exorcist” ฉายแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์ครับ

 

ท่าแร่ (Tha Rae: The Exorcist)

ท่าแร่ (Tha Rae: The Exorcist)

“นับถือพระเจ้า” และ “บูชาภูตผี” สองความเชื่อ สองศาสนา หนึ่งพิธีกรรม เมื่อ “ความชั่วร้าย” จากอดีต ถูกปลุกขึ้นมาสิงสู่...

รายละเอียดภาพยนตร์

Featured News