คุยกับ “คุ้ย-ทวีวัฒน์ วันทา” สุดยอดผู้กำกับแห่งยุคกับ “ท่าแร่” ภาพยนตร์สยองขวัญท่าใหม่น่าจับตาแห่งปี 7 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

ผู้กำกับฝีมือดีที่คลุกคลีอยู่ในวงการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังภาพยนตร์และละครมากว่า 20 ปี โดยมีผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง “ขุนกระบี่ ผีระบาด” (2547) หนังไทยซอมบี้ในตำนานที่ถือเป็นการร่วมงานกับ “สหมงคลฟิล์มฯ” เป็นครั้งแรกด้วย ตามมาด้วยหนังตลกวัยรุ่นแหวกแนวกับส่วนผสมอันหลากหลาย ทั้งไซไฟ แอนิเมชัน ทะลึ่งทะเล้น และมนุษย์พันธุ์ประหลาดอย่าง “อสุจ๊าก” (2550) และหนังฟีลกู๊ดสู่วิถีแห่งความยิ่งใหญ่เพื่อช่วงชิงการเป็นแก๊งอนุบาลอันดับหนึ่งเรื่อง “อนุบาลเด็กโข่ง” (2552)

 

หลังจากนั้น ทวีวัฒน์เริ่มมาจับงานหนังแนวสยองขวัญจริงจังอย่าง “ทองสุก 13″ (2556) ที่ทำรายได้ไปราว 37 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากในยุคนั้น ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่แวดวงละครโทรทัศน์และมีผลงานจอแก้วเรื่องดังหลากหลายแนว อาทิ สายลับรักป่วน, พ่อครัวหัวป่าก์, นางนาคพระโขนง ฯลฯ และถึงจุดพีกสุดขีดในชีวิตการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เมื่อหนังสยองเรื่องดังอย่าง “ธี่หยด” (2566) และ “ธี่หยด 2″ (2567) ออกฉายกวาดรายได้ถล่มทลายรวมกว่า 1,200 ล้านบาท

 

นอกจากผลงานการกำกับ เขายังมีงานที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงรับเชิญ, กรรมการตัดสินเทศกาลภาพยนตร์ตลกโลก 2009, กรรมการฝ่ายวิชาการสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย (2553-2555) ฯลฯ และปี 2567 ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “บริษัท 13 สตูดิโอ จำกัด” เพื่อผลิตภาพยนตร์แนวระทึกขวัญและสยองขวัญออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะประเดิมเรื่องแรกด้วยหนังผีวัยรุ่น ATTACK วิญญาณเลขที่ 13″ (2568)

 

ล่าสุด “เจ้าพ่อหนังสยองขวัญ” ที่น่าจับตามองที่สุดแห่งยุคนี้ได้กลับมาร่วมงานกับ “สหมงคลฟิล์มฯ” อีกครั้งกับภาพยนตร์สยองท่าใหม่เรื่อง “ท่าแร่” (2568) ที่จะเล่าเรื่องราวแห่งความเชื่อและความศรัทธา ณ ดินแดนชาวคริสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในถิ่นอีสานของไทย

 

 

จุดเริ่มต้นโปรเจกต์นี้

เรื่องนี้ก็เป็นผลพวงมาจากการทำหนังเรื่อง “ธี่หยด 1-2″ ครับ ตอนนี้เลยเป็นผู้กำกับหนังแนวสยองขวัญไปแล้ว ก็ได้รับการทาบทามจากหลายค่ายหลายฝ่ายที่จะให้ไปร่วมทำโปรเจกต์อื่นๆ จนกระทั่ง “คุณโอ๋” (จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ – โปรดิวเซอร์) จาก “สหมงคลฟิล์มฯ” ติดต่อมา แล้วก็ส่งเรื่องราวมาให้อ่านแบบไม่ต้องเกริ่นอะไรละ พออ่านจบผมว้าวเลย เพราะเป็นหนังที่เราอยากทำมาก เป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจ ตอนนั้นเปิดบริษัทของตัวเองแล้ว และมีโปรเจกต์หนังสยองขวัญรออยู่อีกหลายเรื่องเลย แต่เรื่อง “ท่าแร่” นี้มันพุ่งแซงทุกเรื่องขึ้นมาเลย

พอได้อ่านบท อ่านพล็อตเรื่องแล้วเรารู้สึกตื่นเต้น เรื่องราวมันใหม่มากสำหรับเรา และคิดว่าในบรรดาหนังสยองขวัญในไทยน่าจะยังไม่มีแนวนี้ แล้วผมก็ถูกขู่มาด้วยว่าหลังจาก “ธี่หยด” ถ้าทำอะไรแล้วออกมาไม่ดีไม่ได้ละนะ ก็พอดีเลยกับเรื่อง “ท่าแร่” ที่ผมชอบพล็อตมาก แล้วได้คนท้องถิ่นจากจังหวัดสกลนครมาเขียนบทเอง ในการรีเซิร์ชข้อมูลไม่ได้เมกแน่ จนได้มาอ่านบทเราก็เห็นความเป็นไปได้หลายแบบมาก และหนังมันไปได้ไกลมาก รู้สึกว่ามันต้องทำแล้วครับเรื่องนี้ ไม่ทำไม่ได้เลย

 

อะไรในบทที่มันโดนใจ

บทมันเล่าเรื่องของ “บาทหลวงคริสตจักร” ที่มาปราบผี ซึ่งมันเป็นคัลเจอร์ที่เรารู้จักกันจากหนังฝรั่ง ซึ่งผมก็ชอบแนว Exorcist” อยู่แล้ว แต่เรื่องนี้มันมาอยู่ในบริบทของไทย ซึ่งพอเราเข้าไปลองศึกษาดูแล้วเราก็ว้าวจริงๆ เพราะคนที่จะมารับหน้าที่ในการปราบปีศาจได้จะต้องถูกแต่งตั้งจากสำนักวาติกัน ซึ่งในประเทศไทยก็มีตำแหน่งนี้ แล้วก็มีเพียงไม่กี่คน ซึ่งเราไม่เคยรู้ เฮ้ย..มันมีอย่างนี้จริงๆ เหรอ คนทั่วไปอาจจะมองว่าเป็นเรื่องงมงาย มันจะมีได้ไง ยิ่งโดยเฉพาะในไทย แต่มันมีตำแหน่งนี้จริงๆ ซึ่งเราก็ต้องคิดต่อว่าแล้วมันจะไปต่อยังไงกับความเป็นหนังไทย ซึ่งในเรื่อง “ท่าแร่” มันไม่ได้มีแค่ความเชื่อเดียว มันมีเรื่องของสองความเชื่อเข้ามาคอลแลบกันเพื่อปราบปีศาจร้าย เรารู้สึกว่ามันแจ๋ว สิ่งที่คิดคือคงปราบผีไทยแหละแล้วมีหมอผีแขก หมอผีฮินดู แต่ไม่ใช่ มันแอดวานซ์มากกว่านั้นครับ มันมี “หมอเหยา” ที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน หมอเหยาคือหมอที่เรียกขวัญ หมอที่ปราบโรคปราบสิ่งชั่วร้ายที่มารังควานชาวบ้าน หมอเหยาเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่เขานับถือผีปู่ย่า อันนี้คือแปลกและใหม่เลย เพราะว่าแค่เรื่องหมอเหยาก็สนุกแล้ว จนมาเจอบาทหลวงที่ถูกแต่งตั้งจากสำนักวาติกันให้มาปราบวิญญาณชั่วร้ายด้วย มันน่าทำ มันน่าสนุกเลย

 

ทุกคนคาดหวังหนังสยองสไตล์ “พี่คุ้ย” ส่วนตัวเพิ่มเติมอะไรลงไปในบทเรื่องนี้บ้าง

เท่าที่รู้บทผ่านการพัฒนามาเกือบ 2 ปี มันถูกรีเซิร์ชมาหลายร่างจนผมได้มาอ่านร่างหนึ่ง จริงๆ แล้วผมก็ต้องศึกษาพวกเทรนด์หนังสยองขวัญตลอดทั้งไทยและเทศว่าบีตตอนนี้มันเป็นยังไง คนมันต้องการจังหวะไหน หรืออะไรที่เป็นความแปลกใหม่ เทรนด์ตอนนี้มันอยากได้หนังสยองขวัญแนวไหน เพราะว่าถ้าเราทำหนังแบบเดิม คนดูก็อาจจะรู้สึกว่าเคยดูแล้ว

เราก็เลยต้องศึกษาว่าตอนนี้เทรนด์มันเป็นยังไง บีตในเรื่องเป็นยังไง ก็เลยต้องมีการปรับเรื่องให้มันกระชับขึ้น เพิ่มความดุเดือดเลือดพล่านมากขึ้น เพราะว่าจริงๆ หนังสยองขวัญมันเป็นกิจกรรมกลุ่มนะครับ ถ้าเรามาดูหนังสยองขวัญมันต้องกระตุ้นต่อมเราตลอด เราอยู่ในยุคของ Social ที่ทุกคนมีความรีบ ดู TikTok ดูแล้วอารมณ์ร้อน ทุกคนอยากจะดูอะไรที่มันสั้นๆ อยากดูอะไรที่มันฮุกเลย แล้วเดินเรื่องราวน็อนสต็อปทั้งเรื่อง นอกจากนี้ก็ศึกษารีเซิร์ชเรื่องราวในหนังเพิ่มเติมครับว่าหมอเหยาและบาทหลวงเขามีหน้าที่อะไรยังไง ต้องทำอะไรบ้าง

ทุกคนน่าจะคาดหวังกันเยอะ คิดว่ามันจะต้องเป็นเหมือน “ธี่หยด” แต่จริงๆ มันเป็นอีกฌอง (Genre) เป็นอีกสไตล์หนึ่งเลยครับ มันเป็นหนังสยองขวัญจริงจังแต่มีคัลเจอร์ไทย และในเรื่องนี้มันเป็นบรรยากาศที่ช่วงก่อนคริสต์มาสที่ “ท่าแร่” บรรยากาศเย็นๆ มีเทศกาลแห่ดาว เหมือนหนังสยองขวัญวันหยุดที่คุณจะสยองไม่หยุดกับเรื่องนี้

 

 

เรื่องนี้มีช่วงเวลาเตรียมงานกับดีเทลเรื่องราวมากน้อยแค่ไหน

สบายๆ เลยครับ ในระยะเวลาทำงานเรามีเวลารีเซิร์ชเยอะมาก เรากับทีมงานบินมาสกลนครมาศึกษาเรื่องของ “หมอเหยา” ถ้าในพาร์ตของกรุงเทพฯ ก็ศึกษาเรื่องของคริสตจักรกับ “คุณพ่ออนุชา ไชยเดช” ก็ได้คุยกับคุณพ่ออนุชาที่เขาดูแลในเรื่องของสื่อโซเชียลของคริสตจักร แกมีความรู้เรื่องนี้แล้วก็มีคำแนะนำต่างๆ แล้วคุณพ่อเป็นคนที่ทันสมัยมากนะครับ เปิดทุกอย่างเลยว่าถ้ามันเป็นหนังแบบนี้ได้นะครับ แต่เราก็พยายามที่จะยึดให้มันเป็นความจริงมากที่สุด แม้กระทั่งบทสวดที่เป็นเรื่องของการไล่ปีศาจ คุณพ่อก็ไปถามคนที่ทำหน้าที่ Exorcist จริงๆ มาให้นะครับว่าตอนสวดต้องใช้บทไหน

เราเข้าใจมาตลอดว่าคนเป็นพระก็ต้องไล่ผีได้ทุกคน คนเป็นบาทหลวงก็ต้องปราบปีศาจได้ทุกคน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ บาทหลวงบางคนก็คือเป็นผู้นำทางพิธีศาสนาแต่ไม่ได้มีออปชันในเรื่องของการปราบปีศาจ เพราะฉะนั้นคุณต้องมีใบเซอร์ฯ การันตีว่าได้รับการแต่งตั้งจากวาติกัน แล้วก็ให้มาประจำภูมิภาคต่างๆ นะครับ ตอนที่ผมได้รู้ว่าประเทศไทยเราก็มีที่คนที่ถูกแต่งตั้งมาทำหน้าที่ตรงนี้ไม่กี่ท่านในประเทศไทย มันว้าวมาก มันคือความจริงนี่ แล้วไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะมาทำพิธีได้เลย เขาจะมีคนสืบค้นข้อมูลก่อนว่าอาการเป็นแบบไหน จิตคนเป็นเองหรือเกิดจากปีศาจร้าย เขาถึงจะส่งบาทหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งมาช่วยได้

 

“ท่าแร่” เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

คร่าวๆ มันเล่าถึงตั้งแต่ในอดีตเลยว่ามีบาทหลวงโดนวิญญาณร้ายเข้า จนเมื่อเขาแก่ชราไปปีศาจมันก็จะไปสิงสู่ลูกเขาต่อ เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะหยุดยั้งปีศาจตัวนี้ มันเลยร้อนถึง “บาทหลวง” จากกรุงเทพฯ ต้องบินมาที่ “ท่าแร่” สกลนครเพื่อที่จะมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งที่เขาเจอมันกลับเป็นปีศาจที่เหนือกว่าที่เขาคาดคิด ในขณะเดียวกันก็มี “หมอเหยา” ความเชื่อและที่พึ่งพิงของคนที่นั่นเข้ามาด้วย มันก็เลยเป็นการคอลแลบกันเพื่อปราบปีศาจร้ายตัวนี้ครับ

 

 

การร่วมงานกับนักแสดงทีมนี้ เริ่มจากบท “บาทหลวง” ทำไมถึงต้องเป็น “เจมส์จิ” (จิรายุ ตั้งศรีสุข)

“เจมส์จิ” นี่เป็นตัวเลือกแรกเลยที่เรานึกถึง เรามาคิดว่านักแสดงคนไหนที่ใส่ชุดบาทหลวงแล้วเท่ดูดี ก็มีเจมส์จิมาเบอร์หนึ่งเลย เราเลยติดต่อไปแล้วก็ได้คุยกัน รู้สึกว่าเจมส์มีความสนุกกว่าบทนี้ แล้วก็ทำการบ้านมาดีมาก ซึ่งตัวจริงเจมส์แกเป็นคนตลกมากเลยนะครับ แต่ต้องทำตัวให้สุขุมนุ่มลึกไปทั้งเรื่อง ผมว่าอินเนอร์ข้างในเขาลึกซึ้ง ในพาร์ตของการเล่า Backstory ของตัวละคร เจมส์ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากครับ หรือแม้กระทั่งบทของบาทหลวงที่ใจดีแต่ต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายก็ทำได้ดีเช่นกัน

 

บาทหลวงต้องมาพร้อมอุปกรณ์ปราบผี

เราไปเอาต้นแบบมาจากของจริงเลย แล้วก็มาให้คุณพ่ออนุชาดูว่าชุดอุปกรณ์ปราบผีที่เราเตรียมมามันถูกต้องไหม เขาก็บอกว่าได้ แต่เราอาจจะมีการเพิ่มดีเทลให้มันมีอักขระเพิ่ม ให้มันดูมีอะไรอีกนิด คือของจริงบาทหลวงอาจจะไม่ได้ใช้ของที่มีอักขระอะไร เขาก็ใช้เป็นแบบเรียบง่าย แต่ในทางหนังก็จะขอมีอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย ก็ให้คุณพ่อช่วยทีมงานในด้านความถูกต้อง ในการปราบปีศาจก็จะมีอุปกรณ์อย่างที่เราได้เห็นในหนังผีทั่วไป ไม้กางเขน คัมภีร์ น้ำเสก ถ้าสถานการณ์เลวร้ายหน่อยก็อาจจะมีเกลือ แต่หลักๆ ก็คือการสวด สวดทั้งวันทั้งคืนไปเลย

ผมเชื่อว่าทางตะวันตกเขาก็มีการรีเซิร์ชในเรื่องของความจริงอยู่แล้วว่าบาทหลวงจะทำได้แค่เรื่องของการสวด ผมก็ถามว่าแล้วอาวุธสำคัญมันคืออะไร เขาบอกคือความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา แล้วก็ไม้กางเขน ที่เราเห็นว่าบาทหลวงมักจะชูไม้กางเขน มันคืออย่างนั้นจริงๆ

แต่ในทางของการเล่าเรื่องในหนังให้มันรู้สึกสนุกขึ้น เราก็ต้องหา How to ต่างๆ ในการที่บาทหลวงปราบผีให้มันมีลูกเล่นอะไรบ้าง ผีมันทำอะไรกับบาทหลวง แล้วบาทหลวงจะแก้เกมนี้ยังไง ซึ่งสิ่งที่ผีมันเล่นกับบาทหลวงมันจะต้องไม่เนิบช้า Slow Burn มันต้องเป็นรูปธรรมแล้วก็ดุเดือดมากครับ

 

 

“มีน พีรวิชญ์” ที่รับบทเป็น “หมอเหยา

ผมเคยร่วมงานกับ “มีน พีรวิชญ์” มาตั้งแต่สมัยละครเลยครับ แล้วก็มาหนังเรื่อง “ธี่หยด 2″ เราไปรีเซิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับ “หมอเหยา” มาจนกระทั่งได้คุยกับคนเขียนบท มีเรฟในใจไว้ว่าน่าจะต้องเป็นหมอเหยาที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีความเป็นผู้ชาย แต่เวลาทำพิธีโดยปกติของหมอเหยาก็ต้องแต่งแบบผู้หญิงตามผีบรรพบุรุษอยู่แล้ว ก็พอดีได้เจอกับแม่หมอคนหนึ่งชื่อ “แม่หมอโอปอ” (หมอเหยาแห่งสกลนคร) ผมคิดว่านี่แหละหมอเหยาต้องลักษณะแบบนี้ คาแร็กเตอร์มีนคือได้เลย หน้าเหมือนแม่หมอโอปอทุกอย่าง การบ้านหนักก็ไปตกอยู่ที่มีนละ

สิ่งที่ผมเชื่อคือมีนมีความสามารถพิเศษ เขามีความตั้งใจในเรื่องของการแสดง ทุ่มเทกับงานตรงนี้มาก มีความบ้าพลัง แล้วผมอยากให้คนที่ทุ่มหมดตัวแบบนี้ได้มีเวลาในการศึกษาเรื่องของการเป็นหมอเหยา เพราะต้องพูดภาษาภูไท (ผู้ไท) ซึ่งไม่ใช่ภาษาอีสาน มันแอดวานซ์ขึ้นไปอีก มันยาก คนอีสานบางคนยังฟังภาษานี้ไม่ออกเลย มีนต้องฝึกตลอดเวลา เรามีครูฝึกให้มีนด้วยที่กอง มีนเหมือนคนที่เข้าสอบตลอดเวลา พูดเสร็จอัดเสียง ส่งให้อาจารย์ที่สกลนครฟัง แล้วอาจารย์ก็ให้เกรดกลับมา เราก็เคยถามว่าครูครับพี่มีนพูดเป็นยังไงบ้าง ครูบอกช่วงแรกๆ ก็กำหมัดอยู่นะครับ แต่ช่วงกลางๆ ก็โอเคแล้ว ดีขึ้นเรื่อยๆ เลยครับ เพราะมีนเขาทำการบ้านหนักจริงๆ แล้วก็ต้องทำพิธีเหยา ร้องเหยา รำดาบ มีการตั้งไข่เสี่ยงทาย หลายขั้นตอน บทก็ยาว พิธีไล่ผีก็มีหลายช่วง อาจจะมีอีกนะครับคนที่เหมาะกับบทนี้ อยู่ที่ว่าเขาจะกล้าทุ่มเทขนาดนี้หรือเปล่า สำหรับผมคือมีนเหมาะที่สุดแล้ว และตัวเขาเองก็ชอบบท ตื่นเต้นกับการที่จะต้องทำการบ้านกับสิ่งเหล่านี้ คือข้อดีของเรื่องนี้คือบทมันแข็งแรง แล้วทุกคนมาอ่านบทเรื่องนี้เขารู้สึกว่าอยากแสดง เขาอยากจะทำงานกับเรื่องนี้ แล้วก็เต็มที่ทุกคนครับ

 

บท “ตามิ่ง” ทำไมถึงต้องเป็น “พี่เอก ธเนศ”

ผมมีอัลบั้มเพลงของ “พี่เอก ธเนศ” ตั้งแต่อัลบั้มแรกนะครับ ตั้งแต่เป็นเทปคาสเซตต์ ผมก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสร่วมงานกับไอดอลเด็กแนวยุคแรกในประเทศไทยนะครับ ตอนนั้นคุณโอ๋ก็บอกนะครับว่าพี่เอกน่าจะเหมาะ น่าสนใจ แล้ววันหนึ่งก็ได้เจอกันในงานโดยบังเอิญ ผมไม่เคยคุยกับพี่เอกเลย วันนั้นพี่เอกแกก็มาทักคุ้ยๆ เฮ้ย…ชอบๆ เนี่ยพี่ดูหนังไปรอบนึงแล้ว เดี๋ยวพี่จะไปดูซ้ำอีกรอบ ผมก็บอกพี่จะไปดู 2 รอบเลยเหรอ คุยกันนิดหน่อยถูกคอกันแล้วก็ถ่ายรูปกัน มันเป็นความบังเอิญที่เกินคาดมาก ในใจคิดอยากจะแคสต์คนนี้ แล้วคนนี้ก็เดินมาหาอะไรอย่างนี้

หลังจากนั้นก็ส่งบทให้พี่เอกอ่านแล้วก็นัดคุยกัน เขาก็อยากคุยทุกวันเลยกับบทนี้ อยากรู้แนวทางว่าผมจะเสนอคาแร็กเตอร์นี้ยังไง แล้วการแสดงแบบไหนที่ผมชอบไม่ชอบ เพื่อเขาจะเอาจิกซอว์นี้มารวมกันให้ได้ คือโอ้โห…สุดยอดครับพี่คนนี้

แล้วพอหน้าเซต พี่เอกทำทุกอย่างครับ ล้มลุกคลุกคลาน มีดับเบิลก็ไม่เอา ขึ้นสลิงก็จะขึ้นเอง ผมบอกมันยากนะพี่ มันขึ้นแล้วมันรัดพี่หมดทั้งตัวเลยนะ พี่ก็อายุเยอะแล้วเดี๋ยวมันจะใช้การไม่ได้นะ เขาก็บอกว่าไม่ได้ เขาจะทำเอง แล้วเขาขึ้นไปคล่องกว่าสตันต์ที่มาลองทำให้ดูตอนซ้อมอีก ฉากขับรถหวาดเสียวก็ขับเอง ตากล้องที่อยู่ข้างหลังกลิ้งไปกองกันอยู่ท้ายกระบะ พี่เอกเล่นเต็มที่ เขารู้สึกว่าต้องเป็นตัวละครนั้นให้ได้ในทุกๆ ซีน ทุ่มเทมากๆ เลยครับ

บทบาทของ “ตามิ่ง” จริงๆ คุยกับพี่เอกไว้เยอะ ทั้งคาแร็กเตอร์ ทั้งความผิดบาปที่ทำให้เขาสูญสิ้นศรัทธา แล้วเขาต้องแบกความผิดนี้ แล้วยังต้องส่งสิ่งเหล่านี้ต่อไปยังลูกสาว เขาต้องทำทุกวิถีทางที่ปกป้องลูกสาว ในขณะที่ลูกสาวก็มองไม่ดีกับตัวพ่อ แต่สิ่งที่ตามิ่งปกป้องลูกมันก็ต้องแลกกับอะไรที่โหดร้าย ตัวละครนี้ก็จะมีความรู้สึกลึกหลายชั้น พี่เอกแกยิ่งฟัง ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งอินกับเรื่องราวมากครับ ก่อนปิดกล้อง พี่เขาคิดภาคต่อออกมาแล้ว 3 ภาคครับ

และหลักๆ ในการแสดงเป็นตัวละครนี้ต้องไม่ใช่แค่การแต่งเป็นซอมบี้ผีเข้าเท่านั้น เพราะมันอยู่ที่อาการด้วย เดี๋ยวคลุ้มคลั่ง เดี๋ยวมีแรง เดี๋ยวไม่มีแรง ผีเข้าผีออก เดี๋ยวมีอาละวาด มันมีการดีไซน์เยอะมาก  ซึ่งพี่เอกก็จัดการกับการเล่นแต่ละอารมณ์แล้วไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ได้แบบมืออาชีพมาก

 

 

พี่คุ้ยคุยกับ “แพรวา ณิชาภัทร” ยังไง น้องถึงยอมมาเล่นทั้งๆ ที่กลัวผีขั้นสุด

ก่อนอื่นเลยผมไม่รู้ว่า “แพรวา” ร้องเพลง “รักติดไซเรน” นะ ผมนึกว่า “บิวกิ้น-พีพี” ร้องซะอีก ใช่ครับ แพรวากลัวผีมาก ผมเห็นการแสดงน้องมาจากเรื่อง “เทอม 3″ (2567) ผมเห็นความมีเอเนอร์จี มีความอะเลิร์ต มีความแสบ และเป็นสาวมั่น รู้สึกชอบคนคาแร็กเตอร์แบบนี้ แต่ในเรื่องนี้ตัวละคร “มาลี” ไม่ได้ต้องการเอเนอร์จีแบบตอน “เทอม 3″ แถมยังต้องดูนิ่งๆ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ถูกกับพ่อ แต่ต้องกลับมาหาพ่อที่ “ท่าแร่” ซึ่งแพรวาก็ตอบโจทย์ คือเราต้องการนักแสดงที่ต้องพูดอีสาน เราเริ่มแคสติงหลายคนแต่มันเริ่มห่างความเป็นอีสานออกไป เราก็ยังอยากจะได้คนอีสานที่พูดอีสาน การโต้ตอบไดอะล็อกที่ดูเป็นธรรมชาติ แล้วแพรวาพูดอีสานได้มีเสน่ห์มาก

มาเล่นเรื่องนี้ น้องก็เต็มเหนี่ยวกับสิ่งที่น้องไม่เคยทำทุกอย่างเลย น้องกลัวที่สูง น้องก็จะได้กระโดดที่สูง น้องไม่ชอบกินเครื่องใน น้องก็ต้องกินเครื่องใน น้องกลัวผีน้องก็ต้องเล่นเป็นผี อะไรที่น้องไม่ชอบ น้องได้ทำหมดครับ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเฮ้ย…มันน่าสนุกนะ แล้วน้องก็เต็มที่มาก กลัวนะแต่ทำหมด มีความใส่ใจ ยังจำได้ว่าตอนที่นัดคุยกับแพรวา เขาก็ตอบรับนิ่งๆ นะครับ แต่เขาไปคุยกับครูสอนการแสดงว่าหนูจะได้รับบทที่ท้าทายที่สุดในชีวิต แล้วเราก็แซวว่าตอนคุยกันทำเป็นหน้านิ่งนะ แล้วน้องไปสุดนะครับเห็นแบบนี้ ไปศึกษาชุมชนท่าแร่ ไปศึกษาศาสนาคริสต์ ประวัติทุกอย่างเลย แล้วน้องจะมีครูสอนการแสดงไปด้วยทุกคิว เขาก็จะคุยกันตลอด รู้สึกยังไง มาลีตอนนี้เป็นอะไร แล้วน้องทำออกมาได้ดีครับ คือต้องบอกว่ามวลรวมของนักแสดงเรื่องนี้คือดีมากๆ

 

“พี่เอี้ยง สวนีย์” เรื่องนี้ทั้งแสดงเองและมาช่วยเป็นแอ็กติงโคชด้วย

ตอนแรกเราทำการแคสต์บทนี้เยอะมากนะครับ เพราะว่าตัว “ยายแสง” เรื่องนี้บทสะบักสะบอมเหมือนกันนะครับ  พี่เอี้ยงเค้าขอมาแคสติงด้วย แล้วก็ทำได้ดีมาก เล่นได้สุดเต็มพลังมาก เล่นไปสักพักหนึ่งผมรู้สึกว่ามันมีบางซีนที่ต้องใช้นักแสดงสมทบมาเล่นแล้วต้องพลังเยอะมาก ก็เลยลองถามพี่เอี้ยงดูว่าสนใจทำแอ็กติงโคชให้กับซีนที่ยากอีกซีนหนึ่งด้วยมั้ย แล้วพี่เขาก็เข้ามาช่วยในวันที่ไม่มีการแสดง พี่เอี้ยงแกน่ารัก ไปสุดทุกทางทั้งการแสดงและทำหน้าที่แอ็กติงโคช

สำหรับคาแร็กเตอร์ของยายแสงก็จะเป็นหญิงม่ายคนหนึ่งที่ต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียง ปากบ่นตามภาษาชาวบ้านทั่วไป แต่ลึกๆ แล้วเขามีปมบางอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแผลในใจ แล้วเขารู้สึกว่าปมมันยังไม่สิ้นสุด เขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเคลียร์ปมนี้

 

“พี่แฉะ องอาจ” ในเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง

“พี่แฉะ” รับบทเป็น “บาทหลวงสมชาย” ปกติคนเห็นพี่แฉะก็จะคาดหวังคอมเมดี้ แต่เรื่องนี้พี่เขาจะไม่ตลกร้ายนะ ไม่คอมเมดี้เลย เพราะว่าอยู่ในบริบทของบาทหลวง มันต้องมีความสุขุมนุ่มลึก แล้วก็มีภาวะผู้นำด้วย ก็จะเป็นบาทหลวงคนหนึ่งที่ชุมชนท่าแร่ศรัทธานับถือ แต่ยังไม่ได้รับใบเซอร์ฯ ที่ถูกแต่งตั้งในการเป็น Exorcist ปราบผีหรือปีศาจใดๆ แต่จะเป็นผู้นำทางศาสนาระดับผู้ใหญ่ที่จะมาคอยช่วยเหลือ “บาทหลวงเปาโล” (เจมส์จิ) แทน

 

 

ในการถ่ายทำมีตรงไหนที่กดดันกับมันที่สุด

เครียดทุกวันเลยครับ มันยากทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผมว่าพิธีไล่ผีของ “หมอเหยา” อันนี้ยากมาก เพราะว่ามันเป็นพิธีของการไล่ผีอีกแบบหนึ่งที่เราไม่รู้จักเลย เราต้องรีเซิร์ชละเอียด พิธีกรรมที่เขาต้องทำแบบนี้ เขาต้องขึ้นรำตอนนี้ เครื่องคายต้องตั้งติดฝาบ้าน ห้ามเอาออกมา แล้วต้องมีทั้งหมอเหยา มีทั้งคนที่พูดภาษาภูไทเป็นต้องมาอยู่ในกองเพื่อทำให้มันถูกต้องที่สุดครับ แล้วผีต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ในการจัดการหมอเหยาแต่ละคน มันมีเทคนิค มันมีความถูกต้องของวิธีในฉากนั้นปนเปไปหมด มีผีหรือไม่มีผี ยากหมดครับเพราะมันจริงจังในความสยอง ในพิธีกรรม

แต่มันก็สนุกตรงที่เราได้ทำอะไรแปลกๆ และต้องเอาทุกอย่างเข้ามาบวกกับกระบวนการถ่ายทำ ตอนแรกภาพในหัวเราเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เวลาพิธีจริงมันต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง มันยากด้วยดีเทลหลายๆ อย่าง แล้วบวกกับในเรื่องมันจะเป็นซีนที่ปราบผีกันดุเดือด มีพวกงานสลิงด้วย มันนัวไปหมดจริงๆ

ต้องขอบคุณทีมงาน เพราะว่าหลายๆ ฝ่ายช่วยกันครับ มีทั้งฝ่ายจัดการ ฝ่ายผู้ช่วยที่จะต้องไปนั่งประสานงานแล้วก็ต้องบรีฟ แล้วก็ทีมนักแสดงด้วยนะครับที่ร่วมมือกันเต็มที่ คือบางทีบทสวดแต่ละอันกว่าจะได้มามันไม่ได้มาง่ายๆ ครับ บางทีมันมาก่อนถ่าย 2 ชั่วโมง คุณพ่อที่เขาให้คำปรึกษากว่าเขาจะคุยกับบาทหลวง Exorcist และค้นบทสวดเฉพาะมาให้ หน้าไหน ตรงไหน บางทีมันก็ใช้เวลาเพราะมันมั่วไม่ได้ บางทีนักแสดงแทบจะไม่มีเวลาทำการบ้าน แล้วเขาต้องมานั่งท่องนั่งอ่านกันหน้าเซต แล้วคำสวดมันเป็นคำอ่านยาก การเรียงของคำ ทุกอย่างที่ทำมันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องด้วย

 

เห็นว่าเรื่องนี้ต้องจำลองโบสถ์กันขึ้นมาเลย

ในการที่ทำกิจกรรมใดๆ เกี่ยวกับโบสถ์ในประเทศไทย เขาจะต้องทำบันทึกกิจกรรม แล้วก็ส่งไปทางน่าจะโรมหรือวาติกัน ทุกกิจกรรมเครือข่ายต้องรับรู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นกิจกรรมในการถ่ายทำภาพยนตร์มันจะเป็นเรื่องยากนิดนึง เขาอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร บทในเรื่องนี้เป็นยังไง แล้วมันดันมีแอ็กชันในโบสถ์ มีเรื่องของการต่อสู้ มันเป็นเรื่องเซนซิทิฟตรงนี้

เราก็ไปหาดูว่าคนอื่นเขาทำกันยังไง สุดท้ายเขาก็ต้องเซตโบสถ์กันขึ้นมา ในเรื่องเราได้เรฟเฟอเรนซ์โบสถ์มาจาก “โบสถ์คำเกิ้ม” ที่จังหวัดนครพนม เป็นสถานที่อนุรักษ์มีความเก่าแก่จริง จะให้เราไปถ่ายในนั้นมันไม่ควรแน่นอนครับ ทีมอาร์ตก็พยายามสร้างออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราอ้างอิงถึงที่นี่ เราก็คุยกันกับหลายๆ ฝ่าย ทักกันว่าการทำโบสถ์มันแพงนะ มันต้องเป็นล้านเลยนะ เอาไง ตังค์หมดเลยนะ หรือว่าเราสู้กันกลางทุ่งนา ไม่เป็นไรหรอก เป็นทุ่งนาก็ได้คนดูไม่ติดหรอก

แต่มันไม่ได้ ในทางโปรดักชันมันเป็นภาพใหม่ เนื้อเรื่องมันมาทางนี้ เหตุการณ์ที่โบสถ์มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ซึ่งมันนำพาสู่โศกนาฏกรรมและสุดท้ายมันก็จะกลับมาที่เดิม แล้วมันก็ระเบิดระเบ้อ ถ้าเป็นโบสถ์มันถูกทุกข้ออยู่แล้ว แล้วมันเอื้อต่อทุกอย่างด้วย ความสวยงาม ความกอทิก สถาปัตยกรรมที่ดูขลัง สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจสร้างโบสถ์กันเลย ลุย คือต่อให้เราส่งเรื่องราวไป ส่งข้อมูลไปขออนุญาตถ่ายแล้วเขาไม่ให้ถ่าย เขาก็ทำถูกต้องแล้วครับ

 

 

การควบคุมกับอาการที่ถูกผีเข้า กัดกินร่างไปเรื่อยๆ ในทางการทำงานยากง่ายยังไง

ยากครับ แต่เวลาเราเจอบทเรื่องนี้ เราเห็นทาง เราดูหนัง “Exorcist” ดูหนังพวกผีเข้าทั้งซีรีส์ ทั้งหนัง เราก็เห็นว่าสุดท้ายฝรั่งเขาก็ตันหมดแม็กเหมือนกัน แต่ของเรามันยังมีอะไรให้ทำได้อีก ยังมีคัลเจอร์ไทยในเรื่องของความเชื่อ วิญญาณ ผีไทย เราค่อนข้างแอนวานซ์มากกว่าผีต่างประเทศนิดนึงนะครับ

แล้วเรื่องนี้มันมีเรื่องของผีสิงร่างที่มันจะกัดกินภายในไปเรื่อยๆ ผมก็ต้องคุยกับนักแสดง ต้องบอกเลเวลการแสดง เพราะการถูกผีเล่นงานมันสามารถตีได้ 2 มุมคือ คนมองด้วยตาเปล่าก็คือน่าเป็นคนมีอาการทางจิตเวชหรือว่าโดนผีเข้า หรือก็เป็นแค่อาการไข้ชนิดหนึ่ง แล้วมันจะเริ่มอัปเวลไปเรื่อยๆ มันเริ่มมีการคุกคาม มันเริ่มมีพลังพิเศษเกิดขึ้น แต่ผมก็อยากให้นักแสดงเค้าเล่นสดมากที่สุด คือใช้การเมกอัปให้น้อยที่สุด ให้คนดูเชื่อ แล้วสิ่งที่เราจะใส่ก็คือเราจะใส่ความเข้มข้นของการคุกคามของวิญญาณตัวนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

 

ในความเป็นหนังไทย การมีปอบ มีผี หนีไม่พ้นการกินไส้ เครื่องใน พี่ยังใส่สิ่งเหล่านี้ลงไปไหม

ผมก็โตมากับหนังผีไทย ผมไม่พลาดอยู่แล้วครับ ถ้ามันมีโอกาสจัดเลยครับ เราอยากจะเห็นคนกินไส้กินเครื่องเซ่น มีผีบีบคอที่ยังทำไม่ได้ เพราะว่า “พี่อุ๋ย นนทรีย์” ทำเรื่อง “นางนาก” (2542) แล้วผีไม่ยอมบีบคอ ทำให้มายด์เซตมุมมองของผีไทยเปลี่ยนไป ไม่บีบคอคนละ ผมอยากจะทำผีบีบคอแต่ยังหาจังหวะทำไม่ได้ อยากทำหมดเลยนะครับ ชอบครับ

 

เรื่องนี้ยกทีม “ธี่หยด” มาหมดเลย การกลับมาทำงานร่วมกันในเรื่องใหม่แต่ทีมเดิมเป็นยังไงบ้าง

ใแง่ของการทำงานมันน่าจะไม่ต้องจูนอะไรกันแล้ว รู้ใจกันแล้ว แล้วทุกคนก็มีแพสชันที่อยากทำอะไรแปลกๆ แล้วรู้สึกว่ามันได้ทำ ตอนนี้มันโชคดีที่ทีมงานยังมีไฟและอยากทำงาน แล้วทุกคนสนุกกับบท เขาชอบความแปลกใหม่ กับทีมเดิมมันเป็นการจูนการทำงานที่ไวที่สุดเพื่อที่จะให้โปรเจกต์นี้มันรันได้ไว เวลามันเหมือนไม่ได้บีบนะครับ แต่มันจะเป็นแพตเทิร์นที่ต้องรีเซิร์ชหนักกว่าเรื่องอื่นๆ เรื่องนี้ต้องมาที่สกลนครเพื่อรีเซิร์ชทุกอย่าง สถานที่จริงเป็นยังไง เราจะต้องเอาสถานที่นี้ มาถ่ายที่นี่ได้ไม่ได้ เลยต้องใช้ทีมงานที่คุ้นเคยและรู้มือว่าให้ใครใช้ใครไปทำแล้วรับรองไม่ผิดหวัง

 

 

เรื่อง “ท่าแร่” นอกจากจะนำเสนอความสยองแล้ว ยังสอดแทรกวิถีชีวิตของชุมชนนี้ด้วย

ผมก็เพิ่งมารู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ “ท่าแร่” ตอนทำเรื่องนี้นะครับ ได้เห็น “งานแห่ดาว” ได้รู้ว่ามีชุมชนคริสตจักรที่เยอะที่สุดในภูมิภาคอีสานหรือในประเทศไทย เรารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ แล้วผมมาช่วงเดือนธันวาคมเป็นช่วงก่อนคริสต์มาส มันมีบรรยากาศอบอุ่น มีขบวนคาร์นิวัล มีงานแห่ดาว มีผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกคนน่ารักหมดเลยนะครับ บรรยากาศมันดูชิลๆ เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ของมัน

 

“ธี่หยด” เหมือนรถไฟเหาะ แล้ว “ท่าแร่” มีคำนิยามยังไง

เหมือนการขับรถไปในทางเปลี่ยวแล้วน้ำมันหมดนะครับ มันจะเป็นความหลอนแบบนั้น ทางข้างหน้าก็น่ากลัวแต่จะถอยหลังก็ไม่ได้ มันเป็นความเวิ้งว้าง เพราะว่าในเรื่อง “ท่าแร่” เราพูดถึงเรื่องบรรยากาศไม่ชอบมาพากล แล้วเผลอๆ คุณอาจจะเดินหลงทางไปขึ้นรถไฟเหาะก็ได้ เพราะเราก็ยังมีเสิร์ฟตรงนี้อยู่ครับ

 

ฝากผลงานทิ้งท้าย

โจทย์ผมคือทำหนังสนุก ก็อยากให้ทุกคนมาสนุกด้วยกัน หนังผีเป็นกิจกรรมกลุ่ม ให้ยกแก๊งไปดูกันทั้งพี่น้องเพื่อนฝูงนะครับ เราเชื่อว่าสิ่งที่เรานำเสนอน่าจะมีความแปลกใหม่ แล้วก็มีความสด มีการพูดถึงในเรื่องของความเชื่อต่างๆ  แล้วเราจะนำเสนอในสิ่งที่ทุกคนจะได้ว้าวว่าเฮ้ย…มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วย มีพิธีกรรมแบบนี้ด้วย เชื่อว่าใครได้ดูเรื่องนี้ก็ต้องอยากจะดูภาค 2 แน่ครับ

 

ท่าแร่ (Tha Rae: The Exorcist)

ท่าแร่ (Tha Rae: The Exorcist)

“นับถือพระเจ้า” และ “บูชาภูตผี” สองความเชื่อ สองศาสนา หนึ่งพิธีกรรม เมื่อ “ความชั่วร้าย” จากอดีต ถูกปลุกขึ้นมาสิงสู่...

รายละเอียดภาพยนตร์

Featured News