สร้างชื่อเสียงในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดงเจ้าบทบาทของวงการ โดดเด่นเป็นที่รู้จักต่อผู้ชมในยุคปัจจุบันจากภาพยนตร์เรื่อง “ฉลาดเกมส์โกง” (2560) ซึ่งเขาสามารถคว้ารางวัล “นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม” จากเวที “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27″ และ “ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 26″ มาครอง อีกทั้งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” จากภาพยนตร์เรื่อง “ป๊อปอายมายเฟรนด์” (2560) บนเวที “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27″ รวมถึงยังมีงานแสดงน่าจดจำอย่าง “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง” (2562), “เรื่อง ผี เล่า ตอน อยู่ในรถ” (2564), “วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” (2565)
และห้ามพลาดในปีนี้กับ “ท่าแร่” (2568) ที่ “เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์” พลิกบทบาท ทุ่มสุดตัว อินสุดขั้ว ปล่อยพลังความสยองที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เล่น จนเก็บไปฝันต่อยอดภาคต่อไปแบบไม่สิ้นสุดจินตนาการอีกด้วย
บทบาท-คาแร็กเตอร์
ในเรื่อง “ท่าแร่” ผมรับบทเป็น “ตามิ่ง” คุณตาอายุประมาณ 70 ปี แต่มีสภาพที่แก่เกินอายุ ต้องเปลี่ยนตัวเองให้มีผมยาวรุงรัง หนวดเล็บยาวดำ เพื่อให้ดูว่าตามิ่งไม่ดูแลตัวเองเลย ทำสีผิวให้คล้ำเหมือนชาวบ้านที่ตากแดดตากลมมานาน เรียกว่าเปลี่ยนลุคกันทั้งตัว
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของการปราบผี ผมเป็นอดีตบาทหลวงเคยนับถือคริสต์ ในสมัยก่อนชาวบ้านพื้นที่ท่าแร่จะนับถือผีกัน ทีนี้พอมิชชันนารีมา ความเจริญส่วนหนึ่งก็เข้าสู่ชุมชน ชาวบ้านก็หันมานับถือคริสต์กันหลายบ้าน ผมที่เล่นเป็น “ตามิ่ง” ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นนับถือคริสต์ มีความศรัทธาเชื่อมั่นจนกลายเป็นบาทหลวงคนหนึ่ง แต่ว่าดันทะลึ่งร้อนวิชาดันไปแอบปราบปีศาจเองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากวาติกัน แถมยังปราบไม่สำเร็จ ทีนี้ก็เดือดร้อนไปทั้งชุมชน
ทางคริสตจักรก็ต้องติดต่อไปหา “บาทหลวง” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปราบปีศาจได้ให้มาช่วยเหลือที่ท่าแร่ ในขณะเดียวกันทางชุมชนที่เขายังนับถือผี เขาก็มีวิธีปราบของเขาโดยเรียก “แม่เมืองโสภา” หรือเรียกอีกอย่างว่า “หมอเหยา” มาช่วย มันก็เลยเป็นเรื่องราวของการปราบผีที่ไม่ธรรมดาจากสองความเชื่อที่ทุกอย่างเกินควบคุม
คาแร็กเตอร์ของผมก็ใช้สัญชาตญาณ พยายามจะให้มันมาจากความรู้สึก มีพลังอะไรบางอย่างอยู่ข้างในที่ไม่ใช่ตัวเรา และเราควบคุมยาก บางครั้งควบคุมได้ บางครั้งควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ตามิ่งเป็นมันไม่สนด้วยว่าจะเป็นบาทหลวงหรือนับถือศาสนาอะไร มันซัดกระหน่ำ แต่ผมเล่นแบบไม่เหนื่อย รู้สึกว่ามีพลังไปกับมัน
อะไรที่ทำให้ตัดสินใจเล่นเรื่องนี้
สำหรับผมอันดับแรกคือความสดใหม่ของเรื่อง เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ยังไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน ในส่วนของบทคือจุดที่น่าสนใจมาก สนุก และไม่ธรรมดา บทมันดีมากปฏิเสธไม่ได้เลย มันไม่ใช่แค่ความสยองขวัญ แต่ยังผสมวัฒนธรรมและความเชื่อที่ยังไม่มีหนังไทยเรื่องไหนทำ และที่ชอบโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นคาแร็กเตอร์ของ “ตามิ่ง” ยังไงก็ต้องเล่นเรื่องนี้คือมันเล่นกับความรู้สึกทั้งภายนอก-ภายใน มันทำให้ตัดสินใจเล่นไม่ยากเลย ยิ่งมารู้ว่าทีมงานไหน บริษัทไหนทำ ก็ยิ่งอยากร่วมงานด้วย
ผู้กำกับ “คุ้ย” เล่าว่าใจคิดถึง “พี่เอก” อยากให้มารับบท “ตามิ่ง” แล้วอยู่ๆ พี่เอกก็เดินเข้ามาทัก
คิดถึงใครคนนั้นก็มานี่คือเรื่องจริง เราเชื่ออย่างนั้น ตอนแรกเลย “โอ๋ จาตุศม” โปรดิวเซอร์จากทาง “สหมงคลฟิล์มฯ” โทรมาชวนให้ไปดูหนัง “ฉลาดเกมส์โกง” (Bad Genius) เวอร์ชันรีเมกที่ทางสหฯ ซื้อมา ซึ่งเราไม่ได้คุยกันมานานร่วม 10 ปีแล้วมั้ง นั่นคือจุดเริ่มที่ได้ติดต่อคุยกัน
ส่วนทาง “คุ้ย” มันมีวันหนึ่งที่เราไปดู “ธี่หยด” รอบธรรมดาแล้วเราก็ไปดูรอบ IMAX อีกก็บังเอิญเจอคุ้ย เขาก็บอกว่าพี่เอกครับผมมีโปรเจกต์หนึ่งอยากคุยกับพี่ พี่คือแคสต์ที่ผมเล็งไว้ เราเลยบอกว่าเฮ้ย…คุ้ย กูเป็นแคสต์ แล้วมึงจะแคสต์กูหรือเปล่า คุ้ยบอกแคสต์สิพี่ ต้องแคสต์พี่เลย โอเค…ตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้คุยกันในโปรเจกต์เรื่อง “ท่าแร่ The Exorcist”
เราเป็นคนที่ติดตามคุ้ย ชอบตั้งแต่เรื่อง “อนุบาลเด็กโข่ง” (2552) เพราะเป็นไอเดียที่ดี แล้วมาดูอีกทีคือ “ธี่หยด 2″ ตอนที่เห็นทีเซอร์ก็ชอบเลย มุมกล้อง และเรื่องราวทำให้เราอยากดู ตอนดูเราประทับใจ มันส์ นึกถึงตอนยุค 80 ที่มันเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่เอาความมันส์สะใจ ไม่มีใครต้องมานั่งเควสชันว่าโม้ว่าโกหก เหมือนพวกหนัง “James Bond” ดูแล้วนึกถึงหนังยุคนี้ เราก็รู้สึกว่าบรรยากาศแบบนั้นในหนังไทยยังไม่ค่อยมีคนทำ มี “อาหลอง” (ฉลอง ภักดีวิจิตร) ทำ แต่ว่ายุคนี้มันไม่ค่อยมี ใน “ธี่หยด” ฉากที่คุ้ยมันเล่นเอง ขับเฮลิคอปเตอร์มา ฮากันลั่นโรง มันเป็นบรรยากาศของการทำหนังแบบยุค 80 แล้วเราก็ได้ชมคุ้ย บอกว่าเฮ้ย…กูไม่ได้มาตอแหลกับมึงนะ รอบที่สองยังมันส์อยู่เลย นั่นคือที่เราเจอคุ้ยวันแรก คุ้ยอยากเจอเรา เราก็ได้เจอกัน ทำงานร่วมกัน
เรื่องนี้ “พี่เอก” อินกับหนังมากจนจินตนาการถึงภาคต่อไปแล้ว
พูดเหมือนเวอร์เลยนะ อินที่สุดเลย นี่พยายามทบทวนว่ามันอินตอนไหน เราจะอินกับเรื่องราวความดราม่า ความรัก ความผูกพัน ห่วงใย และการเสียสละ ตัวของ “ตามิ่ง” เนี่ยมันมีหลายอารมณ์ในคนเดียวกัน ทำเพื่อลูก เอาชีวิตแลกได้เพื่อลูก มันซาบซึ้งเพราะเป็นเบสิกของมนุษย์ คนที่มีลูกและยังไม่มีลูกจินตนาการไม่ยากเพราะตัวเองก็เกิดเป็นลูก แล้วสิ่งที่ตามิ่งทำ มันแปลก มันมีความสดใหม่ในความคิดของคนๆ หนึ่ง มีแอ็กชันโลดโผนโจนทะยาน แค่แอ็กชันอย่างเดียวก็สนุกดี แต่นี่มันมีที่มาที่ไป มันทำให้แอ็กชันมีเหตุและผลมาซัปพอร์ต
สำหรับการเป็นนักแสดง บทแบบนี้มันไม่ได้หาง่ายๆ คือถ้าแอ็กชันไล่ยิงกันอย่างเดียวมันก็อาจจะสนุกดี แต่มันมีเหตุผลกับการกระทำของเรา ตัวละครมันมีหลายมิติ ประทับใจไปหมด แล้วเราก็พูดกันกับทีมงานว่าอยากให้มีภาค 2 ภาค 3 คุยกันเล่นๆ ว่าถ้าหนังมันได้สัก 100 ล้าน ประกาศทำต่อเลย เรื่องราวมันไปต่อได้ แล้วเราก็อินกับมันมากจนไปนึกเป็นหนังภาคต่อ 2-3 ภาค เล่าให้ทีมสหฯ ฟัง ให้บอสๆ สหฯ ฟัง ทุกคนก็ขำ พี่เอกนี่เป็นเอามาก แต่เอาจริงเรื่องนี้นี่สามารถเขียนออกมาได้เลยภาค 2 ภาค 3
มาเล่นเรื่องนี้ ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พี่เอก” ไม่เหมือนคนอายุ 70 แต่พลังเหมือนวัยรุ่นคนหนึ่งเลย
ถึงวันนี้ ผมมั่นใจว่าพลังมีมากกว่าตอนอายุ 35-40 เสียอีก ตอนนั้นทั้งดื่มเหล้า นอนดึก ทำงานหนัก เครียด ขึ้นบันไดยังเหนื่อยเลย วันนี้วิ่งขึ้นวิ่งลงสบาย ก่อนมาเล่นฉากโหนสลิงใน “ท่าแร่” ผมก็เพิ่งไปขึ้นสลิงปีนเขากับหนังต่างประเทศมาอีกเรื่องหนึ่ง สูงกว่าที่ไปปีนในเรื่อง “ท่าแร่” อีก ผมกำลังอยู่ในโหมดที่ทุกอย่างกำลังฟิตจัด ตอนนี้พลังเยอะมาก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าหลายๆ อย่างมันตกผลึก มีความพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ผมดูแลสุขภาพร่างกายด้วย เลิกบุหรี่ แต่ก็ดื่มพอสมควรให้มันเป็นยา พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็จิตใจเบิกบาน มีแต่ความรู้สึกดีๆ มันก็ไม่ทำให้เอเนอร์จีมันสูญเสียไปกับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่มีประโยชน์ มันเลยได้เอาแรงมาทุ่มเทกับเรื่องนี้ “คุ้ย” ให้ขึ้นหลังคา ปีนเสา ทะลุกำแพง ทะลุพื้นอะไร ผมทำได้หมด พอร่างกายมันดี แล้วอินกับบท มันทำได้หมดเท่าที่เราอยากทำกับเรื่องนี้เลย คุ้ยเขาเตรียมสตันต์เอาไว้ให้นะเพื่อความปลอดภัย เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงเอง แต่ผมขอเล่นเองหมด คุ้ยเขาก็ถามว่าแน่นะ ผมก็แน่ คุ้ยก็ซื้อ
หลายๆ คนก็เป็นห่วงนะ สภาพคนทั่วไปอาจจะมองว่ามันสะบักสะบอมแล้วก็น่าจะเหนื่อยมาก แต่ผมเอนจอย สนุก ไม่เหนื่อย พอเราไปเล่นแอ็กชันมากๆ ก็จะมาถามว่าพี่เอกเป็นยังไง โอเคไหม ให้สตันต์เล่นไหม แต่สำหรับผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไร มันโอเคสิ เป็นห่วงเราคือขอบคุณมาก แต่ว่าผมโอเค เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง เมื่อกี้ยังไปขับรถตีโค้งมีไล่ล่าใส่เกียร์กระปุกด้วย มันส์มาก
และอย่างที่บอก ผมไม่เคยเล่นหนังสยองขวัญขนาดนี้ จะมีสักกี่ครั้งที่มีโอกาสได้กระชากไส้ ซัดอย่างนี้ สนุกมาก อย่างบางฉากที่ต้องมีการกินเลือดกินไส้ ทีมงานก็เป็นห่วง พี่เอกจะอ้วกไหม ภาพยนตร์คือภาพยนตร์นะครับ สิ่งที่เห็นถ่ายทำมันต้องปลอดภัย เขาต้มไส้จริงๆ มาอย่างดี เราก็ได้ทำในสิ่งที่มันมันส์หลายๆ อย่างนะสำหรับผมในเรื่องนี้
ถ้าให้เทียบหนังเรื่องนี้กับเครื่องเล่นอะไรสักอย่าง มันน่าจะเป็นอะไร
เราได้ยินจากคุ้ยนะคือเป็นรถไฟเหาะ ซึ่งก็น่าจะใช่ มันเป็นสไตล์ เป็นลายเซ็นของคุ้ยเขา ซึ่งเหมาะสมดีแล้ว แล้วทีนี้รถไฟเหาะมันมีหลายช่วงไง บางทีมันมีลงไปนานกว่าจะขึ้นแล้ววูบลงมาหวาดเสียว แต่กับเรื่องนี้เหมือนเวฟขึ้นลงทุกช่วงเลย
การร่วมงานกับ “มีน พีรวิชญ์” ที่มารับบท “หมอเหยา” มีความแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ต้องชื่นชมเขาฝึกพูดภูไท (ผู้ไท) ผมได้มีโอกาสหัดพูดภูไทในเรื่องอยู่ประมาณหนึ่ง ภูมิใจนะ แต่มันยาก เป็นภาษาที่ไม่คุ้นหูเลย แล้ว “มีน” เขาต้องพูดเยอะมาก มีฝึกรำ ฝึกทำตัวเป็น “หมอเหยา” หรือที่เรียกว่า “แม่เมือง” ตามตำนานคนที่จะเป็นหน้าที่นี้จะต้องเป็นผู้หญิงอยู่ในร่างของผู้ชาย หรือว่าผู้ชายที่มีสปิริตของความเป็นผู้หญิงอยู่ข้างในก็เลยเรียกว่าแม่เมือง มีนเขาต้องพูดภูไท พูดอีสานธรรมดาด้วย พิธีกรรมก็ต้องมีรำแบบภูไท มีร้องแบบภูไท และยังจะต้องมีร่างของความเป็นผู้หญิงอยู่ข้างใน ในขณะที่อีกมุมหนึ่งเขาเป็นผู้ชาย อันนี้น่าสนใจมาก มีนเขาถ่ายทอดออกมาได้หลายชั้น และทำการบ้านเยอะมากและใช้เวลาสั้นมากเลยสำหรับเรื่องนี้ น่าชื่นชม เก่งมาก
แล้วกับ “เจมส์ จิรายุ” ที่มาในคาแร็กเตอร์ “บาทหลวง” เลย
วันแรกที่เห็น “เจมส์” เดินเข้ามาในเซตคือหล่อจังนะเจมส์ อยู่ในชุดบาทหลวงมันเท่มาก ถูกแล้วบทนี้เป็นของเจมส์นั่นแหละ เป็นของคนอื่นไปไม่ได้ คลาสสิก บาทหลวงเป็นบทที่น่าสนใจ อย่างที่บอกมันใหม่สำหรับหนังไทย แล้วเจมส์ก็ทำได้ดี ผมนึกไม่ถึงว่าเจมส์จะเล่นแบบนี้ด้วย ดราม่าก็ลึกเลย ลองไปดูแล้วกันไม่ใช่แค่เป็นบาทหลวงอย่างเดียว เจมส์ก็มีเรื่องราวปูมหลังที่ไม่ธรรมดา ต้องไปติดตามว่ามันคืออะไร เขาทุ่มเทมาก มีหลายซีนที่ทีมงานก็ยังพูดกันว่าเจมส์เล่นสุดพลังตั้งแต่วันแรกที่ถ่ายทำเลย
อีกคนคือ “แพรวา ณิชาภัทร” ที่มาเล่นเป็น “ลูกสาว” ก็ทุ่มเทไม่แพ้ใคร
เรื่องนี้นักแสดงทุกคนทุ่มเทมากอย่าง “แพรวา” ที่มาเล่นเป็น “มาลี” ลูกสาว “ตามิ่ง” คนนี้ก็ไม่ธรรมดา อะไรที่พ่อเจอ มาลีก็เจอหมด ผมนึกเรื่องนี้อยู่ตลอดแต่ไม่มีเวลาที่จะบอกแพรวาว่าตามิ่งเจอกับอะไร เราเล่นในส่วนของเรา เล่นแล้วก็ไป จนวันหนึ่งผมมานั่งดูแพรวาเล่น เพราะยังไม่กลับบ้าน มานั่งคุยกับ “คุ้ย” อยู่หน้ามอนิเตอร์ เราก็บอกคุ้ย แพรวามันเล่นดีว่ะ คุ้ยหันมากระซิบบอกว่าแพรวามันก็เล่นตามพี่นั่นแหละ มันแอบไปซุ่มทำการบ้านมา แพรวาไม่ธรรมดา ร้ายใช้ได้ เข้าท่านะการส่งต่อโดยที่ไม่ต้องส่งต่อ นี่คือเป็นนักแสดงโดยธรรมชาติ ไม่ใช่อยู่ๆ อยากเล่นอะไรก็เล่น กูจะเล่นของกูแบบนี้ คนอื่นเล่นยังไงไม่รู้ แต่เรื่องนี้เราทำงานกันเป็นทีม แล้วต้องมีอะไรเชื่อมโยงกัน แพรวาเขาไปซุ่ม เขาเอาเพื่อนเขามาด้วยที่ช่วยในเรื่องของแอ็กติงให้แพรวา เขาทำการบ้านกันมา สำคัญนะจุดนี้ เพราะลูกสาวตามิ่งมันก็มีแบ็กสตอรี แพรวาเขาก็ไปสร้างเรื่องของเขา ดีเลย
การร่วมงานกับ “พี่เอี้ยง สวนีย์” ที่มารับบทเป็น “ยายแสง”
คนนี้ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ผมดีใจมากนะที่เป็น “เอี้ยง” มาเล่น ผมคุยกับทีมงานหลายคนถามตลอดว่าใครจะมารับบทเป็น “ยายแสง” เพราะมันต้องมาเจอกับผม ตอนนั้นยังแคสต์ตัวนี้ไม่ได้เลย จนวันหนึ่งทีมงานมาบอก พี่รู้ยังใครมาเล่นเป็นยายแสง พี่เอี้ยงมาเล่น โห…สุดยอดเลย พอเรามาเจอเอี้ยงเราไปกอดเลย ดีใจที่ได้ร่วมงานกับเอี้ยง ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์
นี่เคยพูดกันเล่นๆ ว่า หนังเรื่อง “ท่าแร่” อย่ามองว่าเป็นแค่หนังผีทั่วไป หนังสยองขวัญ หรือหนังบล็อกบัสเตอร์ที่เอามันส์อย่างเดียวนะ เพราะมันไม่ใช่แค่นั้น แน่นอนว่ามันมีทุกอย่างที่เป็นหนังสยองขวัญที่คนทั้งโลกชอบดู แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในหนังคือ “พลังของนักแสดงทุกคน” พอบทมันลึก มันสดใหม่ ตัวแสดงแต่ละคนก็ชอบกันมาก เล่นทุ่มเทกันมาก มันมีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง อย่างเอี้ยงก็เก็บรายละเอียดหมด “เจมส์”, “แพรวา”, “มีน” ทุกคนสาดการเล่นแบบเต็มพลังใส่กันลงมา เขาตั้งใจถ่ายทอดอย่างมีจิตวิญญาณจริงๆ