เตรียมส่งท้ายปี 2020 ด้วยโปรเจกต์ภาพยนตร์ไซโคทริลเลอร์ที่จะมาสร้างความระทึกขวัญนั่งจิกเบาะลุ้นไปกับเรื่องราวที่คาดเดาไม่ได้ใน “Run มัมอำมหิต” ที่เล่นกับความสงสัยและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ เปิดตัวคะแนนคำวิจารณ์เต็ม 100% จาก “Rotten Tomatoes” และด้วยไอเดียอันชาญฉลาดบวกฝีมือการกำกับของ “อานีช ชาแกนตี” ผู้กำกับเจ้าของผลงานสุดเซอร์ไพรส์อย่าง “Searching” (2018) ที่ได้รับคำชมไปอย่างล้นหลาม ส่งผลให้ “Run” กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานที่จะมายกระดับความระทึกขวัญให้กับวงการภาพยนตร์
“Run มัมอำมหิต” โปรเจกต์ระทึกขวัญที่เล่าถึง “โคลอี” เด็กสาวพิการที่ต้องใช้ชีวิตบนวีลแชร์ แต่วันหนึ่งเธอกลับค้นพบความจริงอันน่าขนลุกบางอย่างของ “ไดแอน” แม่ที่เลี้ยงดูเธอมาตลอด 17 ปี ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากอันตราย เธอต้อง “หนี” ไปให้พ้น
“Run” มีที่มาอย่างไร
วันหนึ่งผมเห็นพาดหัวข่าวเกี่ยวกับผู้พิการถูกทำร้ายโดยคนใกล้ชิด ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ถ้ากลับให้เหยื่อที่อยู่ในพาดหัวนั้นกลายเป็นฮีโร่ล่ะ” เรื่องราวจะเป็นยังไง ผมเริ่มจับมันบิดจนตระหนักได้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันเหมือน “หนังโอลด์สคูลสไตล์ฮิทช์ค็อก” เป็นหนังเขย่าขวัญที่่น่าสนใจจนรู้สึกได้ว่าจะเป็นโปรเจกต์ต่อไปของผม ผมมองหนังเรื่องนี้เป็นสยองขวัญ ตัวละคร “โคลอี” ก็เหมือนผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย เธอคือผู้พิการที่ต้องรับมือกับความน่าขนลุกโดยไม่หลุดไปจากชีวิตจริงที่ผู้พิการต้องเผชิญ ผมใช้เวลาศึกษาเยอะมาก ผมขอคำแนะนำจาก “เคียรา อัลเลน” (ผู้รับบท “โคลอี”) ใช้มุมมองของเธอเป็นมุมมองของโคลอี ให้เธอเขียนความคิดของเธอลงสมุดให้ผมไปปรับใช้ให้เข้ากับบท เช่นเดียวกับการแต่งห้องของโคลอี เราใช้ความพิการของตัวละครนำเป็นปัจจัยหลักในการแต่งห้องของเธอ
การทำงานกับ “ซาราห์ พอลสัน” เป็นอย่างไรบ้าง
“ซาราห์ พอลสัน” รับบท “ไดแอน” เธออาจเป็นนักแสดงที่ดีที่สุดที่ผมอาจจะมีโอกาสร่วมงานด้วยในชีวิต ตอนที่เราเริ่มทำงานผมถามเธอว่าอยากอ่านประวัติตัวละครนี้ที่ผมเขียนขึ้นมาหรือเปล่า หรือเธออยากปั้นขึ้นมาใหม่ของเธอเอง เธออยากอ่านและให้ผมส่งที่ผมเขียนทั้งหมดไปให้เธอ กลายเป็นว่าผมเขียนประวัติตัวละครด้วยฟอนต์ขนาดสิบ หนา 15 หน้า มีทั้งเรื่องตัวเธอ แม่เธอ คุณย่าเธอ ทุกรายละเอียดเล็กๆ ในชีวิตเธอที่ไม่ปรากฏในหนัง แต่มันสะท้อนออกมาในหลายๆ จุดไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ข้าวของในห้องนอนของเธอ ในบ้าน อะไรพวกนั้น ผมเขียนมันแล้วส่งให้ซาราห์ ผมจำได้ว่าผมใช้เวลา 3-4 วันง่วนอยู่กับประวัติตัวละคร เธอยิงคำถามให้ผมประมาณว่าอดีตของมันเกิดอะไรขึ้นตรงนี้ มันเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น เราช่วยกันปรับให้มันเข้าที่ ซาราห์เป็นนักแสดงที่เก่งมาก ประสบการณ์เธอล้นเหลือ คุณรู้เลยว่าสิ่งเดียวที่เธอต้องทำคือซึมซับสิ่งที่คุณเขียนลงไป
ทำไมคุณถึงเลือก “เคียรา อัลเลน” ผู้ใช้วีลแชร์ตัวจริงมารับบทนี้
ผมอยากเลือกคนที่ต้องใช้วีลแชร์ในชีวิตจริง ไม่ใช่คนปกติต้องมาเล่นเป็นตัวละครพิการ แต่เป็นการหานักแสดงพิการมาเล่นบทคนพิการจริงๆ มันก็ฟังดูสมเหตุสมผลดีนะ แต่กลายเป็นว่าคนอื่นเขาไม่ทำกัน ซึ่งแปลว่าการค้นหานักแสดงที่ใช่มันยากมาก เราประกาศหานักแสดงหลายที่เลย “ริช เดเลีย” หัวหน้าฝ่ายคัดเลือกนักแสดงของเราโชว์ฝีมือขั้นเทพ เขาประกาศหาที่โรงเรียนภาคค่ำ โรงเรียนคนพิการ ทั้งเฟซบุ๊ก บอกต่อกันปากต่อปาก จู่ๆ วันหนึ่งเราได้เทปออดิชันจากสาวน้อยที่ชื่อว่า “เคียรา อัลเลน” เธอถ่ายมันในหอพักของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผมจำได้ว่าผมคิดว่านี่เยี่ยมเลย เธอดูเป็นธรรมชาติมาก ดูไม่ออกเลยว่าเป็นนักแสดง ไม่มีความเป็นฮอลลีวูด แค่เด็กสาวธรรมดา ผมโทรหาเธอ ให้เธอลองปรับการแสดงนิดหน่อย เธอส่งเทปกลับมา เราชอบมันมาก อีกไม่กี่สัปดาห์ถัดมาเธอบินหามาผมพร้อม “ซาราห์ พอลสัน” ซึ่งเป็นนักแสดงที่เธอปลื้ม มันเหมือนจู่ๆ เราเอาคนที่ไม่เคยเล่นอะไรมาก่อนเลยจับเธอมาเป็นนักแสดงนำ นั่นเป็นข้อดีอย่างหนึ่งในการทำหนังเรื่องนี้ คือการได้เห็นอะไรแบบนั้นมันสาแก่ใจมาก เราตั้งใจที่เลือกนักแสดงที่ไม่มีทางได้นำแสดงในหนังปกติทั่วไป นั่นเป็นสิ่งที่ผมทำมาตั้งแต่ “Searching” (นำแสดงโดย “จอหน โช”) แล้ว ถึงแม้ “Lionsgate” จะสนับสนุนไอเดียนี้แต่ก็ยังมีนักแสดงวัยรุ่นของดิสนีย์หลายคนเข้าคัดเลือกเพื่อรับบท “โคลอี”
อะไรคือข้อแตกต่างระหว่าง “Run” และ “Searching” โปรเจกต์ที่ผ่านมาของคุณ
ผมรู้สึกเหมือนว่า “Run” เป็นภาพสะท้อนของ “Searching” เหมือนกับที่หนังเรื่องต่อไปของเราจะเป็นภาพสะท้อนของ “Run” โดยใน “Searching” เราเล่าด้วยเทคโลโนยีจัดๆ ซับซ้อน บางคนอาจจะบอกว่ามันเป็นแค่กิมมิก ผมขอใช้คำว่าซับซ้อนแล้วกัน มันมีลูกล่อลูกชนเต็มไปหมด ปั่นหัวคนดู หลากหลายองค์ประกอบเกิดขึ้นพร้อมกัน ผมต้องการพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักทำหนังว่าผมสามารถทำหนังที่เล่าด้วยวิธีมาตรฐานได้ สิ่งที่ผมอยากทำคือแทนที่จะกระโดดจาการทำหนังทุนต่ำไปทำหนังทุนสูงระดับ 40 ล้านเหรียญ ผมขอเลือกก้าวเล็กๆ ก่อน ดูว่าผมสามารถทำหนังเล็กๆ ที่น่าติดตามด้วยคงความระทึกและความตื่นเต้นแบบ “Searching” ไว้ได้ไหม ต่างกันแค่คราวนี้ใช้ตัวละครแค่คนหรือสองคน บ้านหลังเดียว และพื้นที่จำกัด
ได้ยินมาว่าคุณป่วยหนักในช่วงเปิดกล้อง คุณผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างไร
ผมถือว่าการทำงานในหนังเรื่องนี้คือไฮไลต์ของอาชีพผมเลยนะ ผมได้ประสบการณ์ไม่มีทางลืมเลย มันทำให้ผมเห็นความสำคัญของคนใกล้ตัว ตอนที่เราเริ่มถ่ายในวินนิเพ็ก ผมปวดท้องจนต้องเข้าโรงพยาบาล หมอบอกว่าผมเป็นโรคทางเดินอาหาร หมอสั่งให้ควบคุมอาหารโดยใช้สูตร FODMAP อย่างน้อยสามเดือน ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยถ้าต้องอยู่ในกองถ่าย ทีมสวัสดิการกองไม่สามารถจัดอาหารที่ผมต้องการไปพร้อมกับเพื่อปากท้องของทีมงานอีกกว่าร้อยชีวิตได้ โชคดีที่ได้แม่ของผมเป็นลมใต้ปีก ตอนที่ผมเล่าให้แม่ฟังเรื่องการไดเอตของผม เธอขึ้นเครื่องบินตรงมาที่วินนิเพ็กทันที เธออยู่กับเราตั้งแต่เปิดกล้องจนปิดกล้อง เธอทำอาหารให้ผมทานทุกมื้อ เธอเหมือนเป็นทีมงานเราคนหนึ่งเลย เธอดูแลลูกที่ป่วยแต่ผลลัพธ์มันออกมาตรงกันข้ามกับหนังที่ผมทำเลยล่ะ
ช่วยเกริ่นถึงความระทึกที่ผู้ชมจะได้รับระหว่างชมเรื่องนี้
“Run” คือหนังเขย่าขวัญลุ้นจิกเบาะสไตล์ดั้งเดิม คงความเขย่าขวัญตั้งแต่เฟรมแรกถึงเฟรมสุดท้ายของเรื่อง หนังเรื่องนี้ไม่มีจังหวะพัก เป็นอย่างนี้ตลอด 90 นาที ผมจำได้ว่าตอนฉายรอบทดลอง คุณเห็นรอยบนที่วางแขนเลย เหมือนมือเหงื่อออกเพราะเกร็งไปหมด คนดูบอกผมว่า “ฉันกลั้นหายใจตลอด 90 นาทีเลย” นั่นคือความตั้งใจของเรา การเล่าเรื่องด้วยองค์ประกอบไม่กี่อย่าง บ้านหนึ่งหลัง สองตัวละคร แต่ยังคงทำให้หัวใจคุณเต้นเร็ว ถ้านั่นเป็นเป้าที่เราตั้งไว้ ผมคิดว่าเราทำได้ตามเป้าเลยล่ะ ถ้าคุณอยากรู้ว่ากลั้นหายใจได้นานขนาดไหน หนังเรื่องนี้น่าจะเหมาะให้คุณได้ลอง
ร่วมลุ้นระทึกหนีตายจากเงื้อมมือแม่อำมหิตไปกับเรื่องราวที่เหนือการคาดเดา “Run มัมอำมหิต” 26 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์