“Train to Busan: Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง” ภาพยนตร์แอคชั่นเคซอมบี้ฟอร์มยักษ์ที่ถ่ายทอดมุมมองที่กว้างขึ้นโดยมีฉากหลังเป็นคาบสมุทรเกาหลี 4 ปีหลังจากเหตุการณ์ใน “Train to Busan” ซึ่งทั้งภูมิภาคโดนฝูงซอมบี้เข้ายึดครอง หนังเล่าเรื่องราวของชายที่หวนคืนแผ่นดินบ้านเกิด, กลุ่มผู้รอดชีวิตที่ไม่เคยจากไปไหน และกลุ่มคนวิปริตเพราะสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายที่ล้วนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดจากฝูงซอมบี้ที่ระบาดทั่วทั้งคาบสมุทร
โดยในครั้งนี้ นอกจาก “คังดงวอน” ที่มารับบทเป็น “จองซอก” ชายผู้เป็นความหวังสุดท้ายที่จะพาผู้รอดชีวิตหนีตายจากเกาะที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้แล้ว ยังมีอีก 2 ตัวละครที่มีส่วนช่วยให้มนุษย์รอดชีวิตจากฝูงซอมบี้และช่วยเหลือจองซอกได้อย่างดีที่สุด กับบท “มินจอง” แสดงโดย “อีจองฮยอน” หญิงสาวที่มีประสบการณ์เอาชีวิตรอดมาอย่างโชกโชน เธอต้องต่อสู้เพื่อปกป้องลูกสาว 2 คน เป็นหญิงแกร่งที่รอดชีวิตอยู่ท่ามกลางฝูงซอมบี้ และนี่ถือเป็นบทที่หินที่สุดในชีวิตนักแสดงของเธอ อีจองฮยอนแจ้งเกิดจาก “A Petal” (1996) ซึ่งทำให้เธอคว้ารางวัล “Blue Dragon Awards” สาขา “นักแสดงหญิงหน้าใหม่” ไปครอง จากนั้นเธอรับบทในภาพยนตร์คุณภาพมากมาย เช่น “Roaring Currents” (2014), “Alice in Earnestland” (2015) และ “Battleship Island” (2017) ก่อนที่จะมารับบทนำคู่กับคังดงวอนในภาพยนตร์เรื่องนี้
และอีกหนึ่งตัวละครที่มาเสริมทัพฝ่าวิกฤตซอมบี้ในครั้งนี้คือ “จุนอี” รับบทโดย “อีเร” จุนอีเด็กสาวนักซิ่งโตขึ้นมาในคาบสมุทรเกาหลีหลังโลกาวินาศ เธอเรียนรู้วิธีเอาชีวิตรอดก่อนที่จะอ่านหนังสือออก ทักษะการขับรถขั้นเทพของเธอทำให้เธอซิ่งฝ่าถนนที่มีแต่ซอมบี้ได้สบาย ถึงแม้ว่าต้องดูแลน้องสาวไปด้วยก็ตาม อีเรแจ้งเกิดจากเรื่อง “Hope” (2013) เธอรับบทเป็นเด็กหญิงที่เป็นเหยื่อการคุกคามทางเพศ การแสดงของเธอเป็นที่ฮือฮาไปทั้งเกาหลี หลังจากนั้นเธอก็ได้แสดงทั้งทางจอเงินและจอแก้วไม่ว่าจะเป็น “How to Steal a Dog” (2014), “A Melody to Remember” (2016) และ “Seven Years of Night” (2018) ก่อนที่จะมาเป็นสาวนักซิ่งลุยซอมบี้ในเรื่องนี้ ซึ่งผู้กำกับ “ยอนซังโฮ” ได้เผยว่า “บทบาทของเธอในเรื่องนี้เป็นตัวขโมยซีนขนานแท้และโดดเด่นไม่แพ้ ‘มาดงซอก’ ใน ‘Train to Busan’ เลยทีเดียว”
เรามาพูดคุยทำความรู้จัก “อีจองฮยอน” และ “อีเร” ก่อนที่จะไปลุยฝูงซอมบี้กับพวกเธอกันแบบเต็มๆ ใน “Train to Busan: Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง” 23 ก.ค.นี้ ในโรงภาพยนตร์
อยากให้อธิบายถึงคาแร็กเตอร์ของตัวเองในภาพยนตร์เรื่องนี้
อีจองฮยอน: ฉันรับบท “มินจอง” ค่ะ เป็นผู้รอดชีวิตที่อาศัยในซากปรักหักพังของเมือง เป็นคนที่แข็งแกร่งและเปรียบเหมือนกับสุนัขจรจัดเลยค่ะ เพราะใช้ชีวิตเพื่อปกป้องลูก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหนีไปกับลูกๆ พร้อมกับ “จองซอก” (คังดงวอน) ในเรื่องนี้ เป็นคาแร็กเตอร์ที่เข้มแข็งมากค่ะ
อีเร: ตัวของ “จุนอี” ถูกบังคับให้เรียนรู้ที่จะขับรถเองค่ะ เพื่อความอยู่รอดในดินแดนที่ถูกทำลายล้างและจัดการพวกซอมบี้ด้วยรถยนต์ค่ะ ถึงแม้จุนอีจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เขาก็ยังดูแลครอบครัวได้ดีมาก เป็นคาแร็กเตอร์ที่อบอุ่นมากๆ ค่ะ
คาแร็กเตอร์คุณเหมือนกับ “นักรบหญิง” แล้วทางคุณได้มีการเตรียมตัวหรือฝึกซ้อมอย่างไรบ้างก่อนการถ่ายทำ
อีจองฮยอน: จริงๆ ที่ผ่านมาฉันเล่นคาแร็กเตอร์ที่แข็งแกร่งมาหลายบท ทางผู้กำกับก็เลยเลือกฉันค่ะ อีกอย่างฉันเป็นแฟนหนังคนหนึ่งที่ได้ดู “Train to Busan” (2016) เลยคิดตลอดว่าฉันต้องแสดงอย่างไร ผู้ชมถึงจะอินไปกับการแสดงของเรา ตอนที่ได้อ่านบทฉันคิดว่าแอคชั่นยาก จึงไปฝึกต่อสู้กับทีมแอคชั่นไว้เยอะเลยค่ะ เผื่อว่าผู้กำกับอยากได้อะไรพิเศษ แต่ตอนถ่ายจริงกลับผ่านไปได้ด้วยดีมากค่ะ ผู้กำกับมีภาพในหัวเป็นแอคชั่นที่ธรรมดาสมจริงแต่ดูแข็งแรงและใช้พลังมากๆ ขอบคุณผู้กำกับที่ทำให้บรรยากาศการถ่ายหนังออกมาเป็นกันเอง ทำให้ฉันเองก็สบายใจค่ะ ผู้กำกับให้ไดเร็กชั่นที่ดีก่อนการถ่ายทำ ทั้ง “จองซอก, อีเร และ เยวอน” ทุกคนเลยตั้งใจทำงานกันได้แบบสบายใจค่ะ ชอบมากๆ ค่ะ ชอบทุกอย่างเลย
ตอนเข้าฉากผู้กำกับมีสั่งอะไรพิเศษไหม ตอนที่คุยกับผู้กำกับได้คุยประเด็นเกิ่ยวกับอะไรเป็นหลัก
อีเร: ตอนแรกกังวลและกดดันมาก เพราะต้องสื่อคาแร็กเตอร์ “จุนอี” ออกไปให้ผู้ชมเห็นได้ชัด แต่ผู้กำกับพยายามผ่อนคลายและยังบอกอีกว่าไม่ต้องกดดัน ทำให้เป็นธรรมชาติ หนูจึงทำผลงานออกมาได้ดีมากเลยค่ะ
ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ นักแสดงเจอปัญหาอะไรบ้าง มีความลำบากด้านไหนบ้าง
อีเร: ปกติการแสดงอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา แต่ในหนังมีซีนที่เราไม่เคยเจอมาก่อน จินตนาการไม่ออกเลย ค่อนข้างเป็นห่วงว่าเราจะแสดงออกมาอย่างไร จะทำได้ไหม ทุกคนเหนื่อยเท่ากันหมด แต่ทีมงานทุกคนก็เต็มที่มากๆ เลยทำงานออกมาได้อย่างสบายใจกว่าที่เป็นกังวลค่ะ
อีจองฮยอน: ตอนที่อ่านบท และตอนที่ไปกองถ่ายครั้งแรกกังวลมากค่ะ เพราะมีซีนแอคชั่นเยอะมาก ก็เลยคิดว่าจะทำได้หรือเปล่า มันต้องเป็นการทำงานที่ยากแน่ๆ เลยค่อนข้างทำใจมาก่อน แต่ทางผู้กำกับได้เตรียมความพร้อมมาอย่างดีค่ะ การถ่ายทำเลยรวดเร็วและแม่นยำมาก เลยไม่มีวันไหนที่รู้สึกเหนื่อยเลยค่ะ เพราะเป็นการทำงานที่คิดมาอย่างดีแล้ว การถ่ายทำจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว ดีมากเลยค่ะ มีอยู่วันหนึ่งที่ “คังดงวอน” เลี้ยงเนื้อย่างทีมงาน เป็นเนื้อย่างอย่างดี ราคาแพงมากค่ะ ทีมงานทั้งกองถ่ายเลยมีกำลังใจกันมากในการทำงาน มันเป็นความทรงจำที่ดีมากค่ะ เลยคิดว่าหลังจากนี้ถ้าได้ทำงานอื่น ก็คงจะคิดถึงกองถ่ายและการทำงานกับผู้กำกับคนนี้มากแน่ๆ
การทำงานกับผู้กำกับและนักแสดงในเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง
อีจองฮยอน: สนุกจริงๆ ค่ะ ผู้กำกับเก่งมาก เขาจะแสดงตัวอย่างให้ทีมงานดูทุกครั้งก่อนการทำงานค่ะ พวกเราก็เลยมีสมาธิแถมยังสนุกมากๆ ในการทำงาน มีความสุขที่มาทำงานค่ะ อย่างที่บอกผู้กำกับเขามีมุมมองที่ชัดเจน มีภาพอยู่ในหัวตลอดเวลา เป็นผู้กำกับที่ดีที่สุดเลยค่ะ
อีเร: ตื่นเต้นมากค่ะที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดงที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ แต่พอถึงเวลาทำงานทุกคนทำให้บรรยากาศดีมากค่ะ แถมนักแสดงทุกคนก็ใจดีกับหนู ดูแลกันดีมาก ประทับใจมากเลยค่ะ บางครั้งการที่เรายังเด็กก็อาจจะสร้างความยากในการทำงานบ้าง แต่ผู้กำกับก็ช่วยให้หนูผ่านเรื่องหนักใจนี้ไปได้ด้วยดีค่ะ
หลังจากที่ภาพยนตร์ “Peninsula” ถูกรับเลือกโดย “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์” คุณรู้สึกเสียใจหรือไม่ที่ไม่ได้มีโอกาสไปร่วมในงานเปิดตัวที่นั่น
อีจองฮยอน: เสียใจมากๆ ค่ะ ถึงแม้จะเสียใจมากก็จริง แต่ฉันก็มีความสุขค่ะ ฉันได้ข่าวช่วงเช้าเลยได้ส่งข้อความหาผู้กำกับและได้รับข้อความแสดงความยินดีกลับมา ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ
อีเร: ก็คงพูดว่าไม่เสียใจไม่ได้นะคะ แต่ตัวหนูเองยังต้องสะสมประสบการณ์ในการทำงานให้มากกว่านี้ค่ะ ยังต้องทำงานให้มากขึ้น เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ก็เลยค่อนข้างยอมรับสิ่งนี้ค่ะ
ฝากผลงานภาพยนตร์ “Train to Busan: Peninsula ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง” กันหน่อย
อีจองฮยอน: เรื่องนี้ซอมบี้เร็วกว่า “Train to Busan” แน่นอนค่ะ ทั้งตื่นเต้นและยังมอบความสะใจให้กับผู้ชมมากถึงสองเท่าเลยค่ะ ถึงแม้ “Train to Busan” จะสนุกก็จริง แต่ “Peninsula” ต้องสนุกมากกว่า อย่าลืมใส่หน้ากากและไปชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์นะคะ
อีเร: ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับทุกคนนะคะ อยากจะให้หนังเรื่องนี้ให้กำลังใจกับทุกๆ คนค่ะ อยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นของขวัญสำหรับทุกๆ คนเลยค่ะ