ผู้กำกับ “ฮิโรชิ โอคุยามะ” เกิดที่โตเกียวปี 1996 เขาควบตำแหน่งเขียนบท ถ่ายภาพ ตัดต่อ และกำกับหนังของตนเอง ในปี 2009 ตอนอายุ 13 ปี เขากำกับมิวสิกวิดีโอเพลง Graduationparty!!!!! จนได้ออกฉายใน “เทศกาลหนังเกียวโต” ต่อมาในปี 2016 และ 2018 เขาทำหนังสั้นสองเรื่องคือ “The Swan Smiles” และ “Tokyo 21st October”
ในปี 2018 โอคุยามะได้รับ “รางวัลผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม” จาก “เทศกาลหนังซานเซบาสเตียน” และ “รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม” จาก “เทศกาลหนังสตอกโฮล์ม” จาก “Jesus” หนังยาวเรื่องแรกของเขาซึ่งได้รับคำชมล้นหลามจากนักวิจารณ์
ปี 2022 เขาถ่ายทำสารคดีประกอบการโฆษณาสินค้าให้กับแบรนด์แอร์เมส และในปี 2023 เขาร่วมงานกับ “ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ” ในตำแหน่งผู้เขียนบทและกำกับร่วมในซีรีส์ “The Makanai: Cooking for the Maiko House”
สำหรับ “My Sunshine” เป็นหนังยาวเรื่องที่ 2 ของเขาซึ่งได้รับการคัดเลือกให้ฉายในสาย “Un Certain Regard” ของ “เทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2024”
คุณได้ไอเดียในการทำหนังเรื่องนี้จากไหน
ผมอยากทำหนังเกี่ยวกับการเล่นสเก็ตน้ำแข็งมาสักพักแล้ว มันเป็นกีฬาที่ผมเคยเล่นสมัยยังเป็นเด็ก แต่ผมไม่สามารถเขียนบทออกมาได้ ผมต้องยอมรับว่าแค่ใช้ความทรงจำนั้นไม่เพียงพอ ต่อมาผมบังเอิญได้ฟังเพลงของวง “Humbert Humbert” ชื่อเพลง “My Sunshine” ผมเริ่มฟังมันทุกวันจนเรื่องราวมันค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาทีละนิดปะติดปะต่อกับความทรงจำของผม ในขณะเดียวกันผมได้พบกับ “โซสึเกะ อิเกะมัตสึ” ผมเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าขึ้นว่าต้องการดึงเสน่ห์ของเขาออกมาขึ้นจอใหญ่ ดึงออกมาให้มากที่สุด ผมก็น่าจะเอาเรื่องนี้มาทำเป็นหนังได้แน่
บรรยากาศตอนถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับผมแล้วการทำหนังมันไม่ใช่แค่การถ่าย มันเกี่ยวข้องกับการเขียน การถ่ายทำ การตัดต่อ เพราะฉะนั้นเวลาอยู่หน้ากองผมจะดูนักแสดงเล่นแล้วผมก็จะปรับบท ในขณะเดียวกันผมเป็นตากล้องในหนังเรื่องนี้ด้วย ผมถ่ายเองก็ต้องนึกด้วยว่าถ่ายแบบนี้แล้วจะไปตัดยังไง เวลาถ่ายฉากบนลานน้ำแข็งผมก็ต้องใส่สเก็ตถ่ายเลยละ บางครั้งก็ล้มบ้าง เชื่อมั้ยว่าบางที “โซสึเกะ อิเกะมัตสึ” ต้องเข้ามาช่วยผมเวลาผมนึกอะไรไม่ออกหรือไปต่อไม่ได้ เขากลายเป็นผู้กำกับอีกคนหนึ่งไปเลย
เล่าเรื่องนักแสดงทั้งสามคนของคุณให้ฟังหน่อย
อย่างแรกผมต้องเลือกเด็กที่เล่นสเก็ตน้ำแข็งได้เพื่อมารับบท “ทาคุยะ” และ “ซากุระ” ทั้งคู่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อนเลย และผมก็ไม่ได้ให้บทพวกเขาด้วย ในส่วนของบทพูด ผมจะเขียนคร่าวๆ เท่านั้น และบอกให้พวกเขาเล่นได้ตามใจชอบ ในส่วนของบทโค้ช “อารากาวะ” ผมเลือก “โซสึเกะ อิเกะมัตสึ” เพราะผมเจอเขาตอนผมไปถ่ายโฆษณาให้กับแอร์เมส หลังจากเห็นพลังในการทำงานของเขาแล้ว ผมเลยตัดสินใจว่าผมอยากเขียนบทให้เขาเล่น
คุณเรียนรู้อะไรบ้างระหว่างการทำหนังเรื่องนี้
ผมได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งที่ผมเจอมาในชีวิตล้วนมีคุณค่าพอจะเล่าเป็นหนังได้ บังเอิญที่ตอนเด็กๆ ผมได้มีโอกาสเล่นสเก็ตน้ำแข็ง และได้เอามันมาทำเป็นหนัง ผมชอบติดนิสัยกระแอมบ่อยๆ จนเพื่อนผมชอบล้อ และผมก็เกลียดนิสัยนี้ของตัวเองมาก ประสบการณ์นี้เองทำให้ผมเขียนให้ตัวละครเป็นคนพูดติดอ่าง
คุณอยากให้คนดูได้อะไรจากหนังเรื่องนี้
ผมอยากให้ผู้ชมทุกคนมีอารมณ์ร่วมไปกับ “ทาคุยะ” และ “ซากุระ” ได้ย้อนนึกถึงวัยเด็กของตนเอง กลับไปสำรวจความรู้สึกของตนเองในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง
อะไรทำให้คุณอยากมาเป็นผู้กำกับหนัง
มีหลายปัจจัยที่ผลักดันให้ผมเดินในเส้นทางนี้ แต่เมื่อผมได้ทำหนังเรื่องแรก ผมก็แน่ใจในทันทีว่าชีวิตของผมจะอุทิศให้กับการทำหนัง ตอนผมไปร่วมงาน “เทศกาลหนังสตอกโฮล์ม” ผมเข้าไปเยี่ยมสตูดิโอของ “รอย แอนเดอร์สสัน” ผมได้เจอเขา และเขาก็เล่าให้ผมฟังว่าเขามีวิธีการทำงานอย่างไร ตอนนั้นอีกเช่นกันที่ผมตั้งมั่นว่าจะพยายามมุ่งมั่นทำหนังให้ได้เท่ากับที่แอนเดอร์สสันมุ่งมั่น
ให้ความฝันพาเราเข้าใกล้หัวใจกว่าทุกครั้ง “My Sunshine สเต็ปฝัน ฉันคือเธอ” 21 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์