“Moonfall วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก” ผลงานเรื่องล่าสุดของ “โรแลนด์ เอมเมอริช” ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อหนังไซไฟบล็อกบัสเตอร์ซึ่งการันตีได้จากผลงานเรื่องโดดเด่นอย่าง “ID4: Independence Day สงครามวันดับโลก” (1996), “The Day After Tomorrow วิกฤติวันสิ้นโลก” (2004) และ “2012 วันสิ้นโลก” (2009) ซึ่งนอกจากความอลังการแล้วผลงานของเขายังเต็มไปด้วยความสนุก เข้าถึงง่าย มีตัวละครที่น่าเอาใจช่วย และธีมเรื่องที่มอบความหวังให้พลังชีวิตที่ยอดเยี่ยม
และในครั้งนี้เขากลับมาล้างโลกอีกครั้งพร้อมกับโปรเจกต์ถล่มโลกที่ได้ทุนสร้างสูงถึง 140 ล้านเหรียญสหรัฐ และได้นักแสดงชื่อดังมาร่วมภารกิจนี้นำโดย “ฮัลลี เบอร์รี” (X-Men, John Wick: Chapter 3 – Parabellum), “แพทริก วิลสัน” (The Conjuring, Aquaman), “จอห์น แบรดลีย์” (Game of Thrones), “ไมเคิล เพนยา” (Ant-Man), “ชาร์ลี พลัมเมอร์” (All the Money in the World) และ “โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์” (The Hunger Games)
“Moonfall” คือภาพยนตร์ไซไฟที่เป็นลูกผสมระหว่าง “Independence Day” และ “2012” ที่บอกเล่าเรื่องราวของทีมมนุษย์อวกาศที่ถูกส่งไปกู้วิกฤติหลังจากที่ดวงจันทร์โดนดาวเคราะห์น้อยชนจนวิถีโคจรมุ่งตรงมายังโลกและทำลายล้างทุกชีวิต เมื่อเวลาของมนุษยชาติเริ่มนับถอยหลัง “โจ ฟาวเลอร์” (ฮัลลี เบอร์รี) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ NASA และอดีตมนุษย์อวกาศอาจเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดของมวลมนุษย์ แต่ทว่ามีแค่เพียง “ไบรอัน ฮาร์เปอร์” (แพทริก วิลสัน) มนุษย์อวกาศที่เคยร่วมงานกับเธอ และ “เคซี เฮาส์แมน” (จอห์น แบรดลีย์) นักทฤษฏีสมคบคิดเท่านั้นที่เชื่อมั่นในตัวเธอ เหล่าคนกล้าต้องเดินทางออกไปยังอวกาศในภารกิจชี้เป็นชี้ตายเพื่อปกป้องคนพวกเขารักและทุกชีวิตบนโลก
ที่มาของ “Moonfall” คืออะไร คุณได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
ก่อนอื่นเลยคงต้องเกริ่นว่าผมเป็นคนที่คลั่งไคล้ในทฤษฏีสมคบคิดอย่างมาก แม้ว่าจะไม่เชื่อมันก็ตาม ผมใช้มันเป็นไอเดีย มันเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานก่อนหน้าของผมหลายๆ เรื่อง อย่างที่คุณรู้ผมเคยทำหนังเรื่อง “Independence Day” (1996) ที่ต่อยอดจากตำนานลึกลับของ “51” คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อในทฤษฏีสมคบคิดต่างๆ แต่คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันน่าสนใจเอามากๆ
เมื่อ 7 ปีก่อน ผมได้อ่านเกี่ยวกับทฤษฏี “Hollow Moon” จากการการอ่านหนังสือเรื่อง “Who Built the Moon?” โดย “คริสโตเฟอร์ ไนต์” และ “อลัน บัตเลอร์” มันว่าด้วยแท้จริงแล้วดวงจันทร์เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ ภายในกลวง โคจรในระบบสุริยะ แสงจากตัวมันส่องสว่างในยามค่ำคืน ผมจินตนาการออกทันทีว่าทฤษฎีนี้มันอาจต่อยอดไปเป็นสิ่งที่อาจจะทำลายเผ่าพันธ์มนุษย์เลยก็เป็นได้ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าดวงจันทร์หลุดวงโคจรและตรงมาที่โลก ในขณะเดียวกันมันเปิดด้านที่เราไม่เคยรู้เกียวกับดวงจันทร์ด้วย ผมคิดว่านั่นเป็นไอเดียที่น่าสนใจ เหมาะกับการเอามาทำหนัง และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆ มันหล่นลงมาใส่โลก ใน “Moonfall” มันนำเสนอทฤษฎีดวงจันทร์ที่ต่างกับที่ทุกคนเคยเรียนมา
แม้ว่าทฤษฎีในเรื่องอาจจะดูเพ้อฝันแต่ได้ยินมาว่ารากฐานของมันมาจากเรื่องจริง
ใช่ครับ ทุกอย่างเริ่มขึ้นในโครงการอพอลโล 11 เมื่อสัญญาณวิทยุขาดหายไปสองนาที ขณะนั้นพวกเขาเห็นแสงวาบขึ้นจากพื้นผิวดวงจันทร์ นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาตระหนักได้ว่าพระจันทร์กลวง แม้ว่า NASA เชี่ยวชาญด้านปกปิดความลับมากแบบที่ระดับรองผู้บัญชาการก็ไม่มีทางรับรู้ได้ ถึงอย่างนั้น NASA ก็ให้ความช่วยเหลือพวกเราระหว่างการถ่ายทำอย่างเต็มที่จนผมเองยังแปลกใจ
คุณพอยกตัวอย่างสิ่งที่ NASA ช่วยสนับสนุนพวกคุณได้ไหม
ก็เช่นพวกเขาอนุญาตให้ใช้โลโก NASA บนเครื่องแบบ นั่นยกระดับความสมจริงให้หนังขึ้นไปอีก พวกเขายังมอบกล้องถ่ายดวงจันทร์ความละเอียดสูง กล้องนาซาบนนั้นคุณภาพระดับท็อป และไฮไลต์สำหรับผมคือพวกเขาให้เรายืมกระสวยอวกาศของจริงมาใช้ถ่ายทำ นักแสดงของเราได้กดปุ่มปุ่มเดียวกับที่มนุษย์อวกาศตัวจริงเคยกด ในกระสวยที่บินได้จริง เรายังได้ “บียาร์นี ทริกาฟสัน” อดีตนักบินอวกาศตัวจริงคอยแนะนำว่าต้องทำยังไงบ้าง ไม่ใช่แค่กดปุ่มมั่วๆ ทุกคนพยายามมอบความสมจริงที่สุดให้ผู้ชม
สามตัวละครหลักรับบทโดยสามนักแสดงที่ไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้ ช่วยเล่าถึงพวกเขาหน่อย
แน่นอน ทุกคนรู้ว่า “ฮัลลี เบอร์รี” คือนักแสดงคุณภาพระดับออสการ์ เธอรับบทเป็นตัวละครหญิงแกร่งได้ดี และ “โจ ฟาวเลอร์” ก็เป็นผู้หญิงแบบนั้น เธอเป็นผู้อำนวยการ NASA ที่ฉลาดเป็นกรด เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่รอดในโลกที่ผู้ชายเป็นใหญ่ได้สบาย ถ้าเธอไม่เจ๋งจริงเธอไม่สามารถขึ้นมาอยู่ระดับแนวหน้าขององค์กรอย่าง NASA ได้หรอก เธอเป็นหญิงแกร่ง แถมยังเป็นคุณแม่อีกด้วย เดิมทีตัวละครนี้เป็นผู้ชาย ผมดีใจที่ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นผู้หญิง ฮัลลีไม่ได้ทำให้น้ำหนักของตัวละครนี้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ผมกับ “แพทริก วิลสัน” เคยร่วมงานกันใน “Midway” (2019) ในเรื่องนี้เขารับบทเป็น “ไบรอัน ฮาร์เปอร์” อดีตมนุษย์อวกาศที่โดน NASA เตะโด่ง เขาเป็นคนเดียวที่เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในด้านมืดของดวงจันทร์และรอดมาได้ นั่นทำให้เขาคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้มนุษย์รอดจากการสูญพันธุ์ครั้งนี้ได้ เขาขออาสาทำภารกิจกู้โลกร่วมกับฟาวเลอร์ แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเพราะทั้งคู่มีอดีตด้วยกันมาก่อน มันเหมือนชีวิตของเขาโดนทำลาย เขาเป็นเพียงมนุษย์อวกาศคนเดียวที่สามารถนำยานลงจอดได้โดยไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกช่วยเหลือแล้วรอดมาได้ เขาเป็นคนที่ใช่สำหรับภารกิจนี้
ผมเป็นแฟนการแสดงของ “จอห์น แบรดลีย์” ตั้งแต่เขารับบท “แซม” ใน “Game of Thrones” (2011-2019) เรื่องนี้เขารับบทเป็น “เคซี เฮาส์แมน” นักทฤษฏีสมคบคิดที่ไม่มีใครเชื่อ แต่ทว่ากลับกลายมาเป็นกุญแจสำคัญของภารกิจพิทักษ์โลกครั้งนี้ เฮาส์แมนไม่มีสังคม เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว
สิ่งที่ท้าทายที่สุดของการทำหนังเรื่องนี้คืออะไร
การหาวิธีทำให้ดวงจันทร์หล่นใส่โลกแบบมีที่มาที่ไปและเหตุผลรองรับมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มันคือรากฐานของหนังเรื่องนี้ มันเราต้องปรึกษากับนักวิทยาศาสตร์ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเคยคุยกับคนที่ทำงานที่ “Jet Propulsion Laboratory” ในพาซาดีนา สิ่งที่เขาบอกเรามันค่อนข้างน่าสนใจ คือถ้าดวงจันทร์หลุดคงโคจรมันจะค่อยๆ เปลี่ยนวิถีโคจรจากวงกลมเป็นวงรี และค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งปะทะ นั่นทำให้เราขนลุกเลยทีเดียว อันที่จริงด้วยความที่ดวงจันทร์มีมวลน้อยกว่าโลก 1:100 ทำให้มันอาจจะไม่มีอะไรเกิดอะไรขึ้นเลยด้วยซ้ำ ทางทีมเอฟเฟกต์ต้องการเพิ่มความอลังการด้านภาพ เพิ่มมวลมหาศาลให้ดวงจันทร์เพื่อเพิ่มแรงดึงดูดที่กระทำต่อโลก ซึ่งมวลดังกล่าวยังมีผลในด้านพล็อตเรื่องและเป็นสาเหตุที่ทำให้ดวงจันทร์เปลี่ยนวงโคจรตรงมาที่โลก
ความอลังการที่คุณว่าคืออะไร ผู้ชมจะได้เห็นอะไรใน “Moonfall” บ้าง
“Moonfall” เต็มไปด้วยฉากความโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้คนเป็นพันๆ คน แย่งกันตุนอาการ, เชื้อเพลิง, น้ำ และออกซิเจน และภัยธรรมชาติอย่างฉากแผ่นดินไหวที่รุนแรงขนาดส่งให้รถบรรทุกขนาด 18 ล้อปลิวเหมือนขนนก, แผ่นดินแยก, คลื่นยักษ์สูงเท่าตึกระฟ้า และพายุหิมะเยือกแข็ง เหมือนเอาทุกเรื่องในจักรวาลโลกาวินาศที่ผมเคยทำมายกระดับความมันส์ขึ้นอีกขั้น
เตรียบนับถอยหลังสู่ภาพยนตร์หายนะล้างโลกฟอร์มยักษ์ “Moonfall วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก” ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “Independence Day” และ “2012” ถล่มโรง 3 กุมภาพันธ์นี้
ตัวอย่างหนังและคลิปจันทร์ถล่มโลก: https://bit.ly/33KYQCX