ทะลักจุดเดือด! คุยกับ “โตโน่ ภาคิน” ใน “ขุนพันธ์ 3” การแสดงเข้มข้นที่สุดในชีวิต ทุ่มจิตวิญญาณสวมบทเสือร้ายระดับตำนาน

ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าจะได้มาเล่นหนัง “ขุนพันธ์ 3″ เป็นอย่างไร

ดีใจมากครับ ตอนนั้นผมกำลังฟิตติงละครเรื่องหนึ่งอยู่ แล้วผมเองเหมือนอยู่ในช่วงที่กำลังโหยหางานที่เราอยากจะมอบชีวิตจิตใจให้กับมัน จริงๆ ผมรักงานทุกงาน แต่งานบางงานเราทุ่มให้คนเดียวไม่ได้ และผมเป็นคนที่ชอบดูหนังอยู่แล้ว ถึงจะไม่เคยเล่นภาพยนตร์แนวนี้เลย พอ “พี่โขม” (ก้องเกียรติ โขมศิริ-ผู้กำกับ) โทรมา ยังไม่ทันได้ดูบทแต่พอเป็น “ขุนพันธ์ 3” มันทำให้ผมรู้เลยว่างานนี้เป็นงานที่ผมพร้อมจะแลกทุกอย่าง หมายถึงเหงื่อที่ผมมี เลือดในตัวที่ผมมี หรือทักษะที่ผมมี หรือที่ต้องไปฝึกเพิ่ม ในขณะที่โลกปัจจุบันเรามีช่องทางต่างๆ มีหลายอย่างที่ไม่ใช่แค่หนังไทยแล้ว คนสามารถเลือกไปดูหนังต่างประเทศได้เต็มไปหมด แต่ผมมั่นใจว่างานอย่างนี้แหละที่เราจะเอาไปสู้กับทั่วโลกเขาได้

 

บท “เสือดำ” มีความสำคัญกับ “โตโน่” ยังไงบ้าง

แค่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่อง “ขุนพันธ์” ก็เป็นเกียรติกับผมมากแล้ว ทั้งผู้กำกับ เพื่อนนักแสดง ทีมงานแต่ละรายชื่อที่เขาร่วมทำกันมาตั้งแต่ภาค 1, 2 จนถึง 3 มันใหญ่โตมากๆ แต่ในเรื่องของบท “เสือดำ” เป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะมีแรงบันดาลใจจากเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเสือเมืองสุพรรณที่เขามีตัวตนจริงๆ บวกกับผมเป็นคนที่ผูกพัน และชอบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ผมดูตั้งแต่พ่อมเหศวร พ่อเสือใบ หรือแม้แต่ขุนพันธ์ในตอนที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้ แล้วคุณตาผมเป็นคนที่คุมขังเสือพวกนี้ เป็นผู้คุมเรือนจำ ดังนั้นพวกเรื่องของอักขระ อาคม หรือความเชื่อบางทีมันก็อธิบายลำบาก แต่หน้าที่ของเราที่จะต้องถ่ายทอด มันเป็นความท้าทาย มันเป็นเกียรติ มันมีความเป็นมา มีศรัทธาความเชื่อของคนรุ่นนั้น สิ่งที่พวกเขาทำ ที่พวกเขาคิดมันสะท้อนและทำให้เห็นถึงความแตกต่างกับคนยุคนี้ สิ่งที่เราต้องไปศึกษา กับสิ่งที่ทาง “พี่โขม” และทาง “สหมงคลฟิล์ม” จะทำเพิ่มขึ้นมา ผมมีหน้าที่เชื่อมให้มันเป็นเรื่องเดียวกันเพื่อสร้างเสือดำในแบบของผมขึ้นมา

 

จากที่ได้ไปรีเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับ “เสือดำ” มาด้วยตัวเองได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง

ผมทำการบ้านหนักเหมือนกันครับ “เสือดำ” เป็นหนึ่งในเสือที่เป็นตำนานของสี่เสือภาคกลางก็จะมี “เสือฝ้าย, เสือใบ, เสือมเหศวร” แล้วก็ “เสือดำ” ซึ่งมีประวัติลึกลับที่สุด ค้นหาได้ยากที่สุด ดังนั้นการตีความของเราก็จะต้องละเอียดทั้งภายนอกและภายใน แล้วตอนแรกบทที่เขียนมาก็จะมีประมาณหนึ่ง ส่วนการบ้านที่เราเริ่มทำมันก็มีอีกประมาณหนึ่ง เขามีฟันทองสองซี่นะ ความเป็นมาที่บทไม่ได้พูดถึง การสร้างตัวละครตัวนี้มันสร้างมาตั้งแต่เขาเกิด ทำไมเขาถึงเกลียดตำรวจ เกลียดข้าราชการ มันไม่ได้มีแค่ในบท

 

 

การเตรียมตัวเพื่อที่จะมารับบท “เสือดำ” โตโน่ได้มีการไปเวิร์กช็อปและมีการปรึกษาหารือกับแอ็กติงโค้ชระดับแนวหน้าของเมืองไทยด้วย

ครับ นอกจากในเรื่องของเทคนิค เขาโตมาที่ไหน พ่อแม่เขาตายเพราะอะไร เขาหนีเข้าป่าตอนไหน เขาเริ่มเป็นเสือที่ดุร้าย เป็นคนที่จิตใจเริ่มกลายเป็นสีดำได้ยังไง ทำไมเขาถึงศรัทธาในสีๆ นี้ หลังจากนั้นก็ได้ปรึกษากับคุณครูที่สอนการแสดงผมคือ “ครูแอ๋ว” (อรชุมา ยุทธวงศ์) ครูแอ๋วก็ได้เตือนไว้ว่านักแสดงที่ดีควรจะต้องถอดเข้าถอดออกได้ พอเข้าเซตเราควรเป็นเขา หลังจากนั้นเราถอดเขาออก แต่มันมีอีกวิธีการหนึ่งคือการรับเขาเข้ามา แต่นั่นเป็นวิธีที่อันตรายที่มันจะกระทบชีวิตส่วนตัว แต่สำหรับผมเรื่องนี้ผมใช้วิธีนั้นไม่ได้ ผมรู้ตัวเลย ทั้งที่ผมรู้ว่ามันอันตราย ผมจะลองดู ถึงแม้จะไม่ได้ถ่ายก็ลองคิดแบบเขา มองแบบเขา พอเราเริ่มเป็น มันจะมีช่วงที่ดีลกันไม่ได้ คือเขาจะมาก็มา ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ครูเตือนว่ามันอันตรายนะจนมันเริ่มส่งผลกับชีวิตจริง ข้อดีคือเวลาเข้ากล้องนั่นน่ะ “เสือดำ” แต่ข้อเสียคือตอนชีวิตปกติที่เป็นโตโน่กลับเป็นเสือดำ

 

ได้ยินมาว่าพอเริ่มหนักเข้าถึงขนาดต้องปรึกษาจิตแพทย์ด้วย

ต้องหาหมอครับ โทรไปหาจิตแพทย์และปรึกษาครูแอ๋วว่าผมรู้แล้วว่ามันน่ากลัวยังไง แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป มันจะมีผลในเวลาที่ต้องเข้าซีนอันตราย ในตอนแรกๆ มันยังไม่ได้ปะทะกัน มันยังเป็นการเล่าเรื่องอยู่ แต่พอจะต้องซัดกัน อันตรายครับ ทั้งกับเพื่อนร่วมงาน ทั้งตัวเราเองด้วย แต่โชคดีที่พอเราฝึกมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางที่ถูก พอผมไปสารภาพกับครูว่าไอ้ที่ครูเตือนว่าโตโน่มันอันตรายนะ ไอ้ที่เขาตายกัน ก็เลยต้องมาอยู่ในทางที่ควรจะเป็น พอเริ่มดีลกับตัวละครตัวนี้ได้แล้วก็โอเค จะเข้าซีนนี้ปล่อยร้อยได้ ซีนนี้ 50-50 พอ 70-30 พอ ชีวิตจริงผมก็เลยเริ่มดีขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มหาความพอดีให้กับชีวิตจริงของตัวเราเอง

 

นอกจากนี้แล้วการมารับบท “เสือดำ” ยังต้องทำอะไรอีกบ้าง

บางอย่างตอนแรกมันไม่ได้มีในบทหรอก อย่างม้าเนี่ยมันไม่ได้มีเยอะ แต่พอเราคิดว่าตัวละครต้องขี่เป็น ในตอนกลางวันผมฝึกม้าครับ ส่วนตอนกลางคืนคือเวลาที่ผมเดินอยู่ในป่ามืดๆ ผมลองเป็นเขาได้เต็มที่ รวมถึงในเทคนิคการแสดง “เสือดำ” ทำอะไรได้ผมต้องทำอย่างนั้นได้ อย่างการยกม้า ม้าบางตัวเขาฝึกมาเพื่อการยกอยู่แล้ว แต่ในการถ่ายทำม้าที่ผมฝึกมันไม่ใช่ม้าที่เราเตรียมมาเพื่อจะยกอย่างเดียว เราต้องยกพร้อมกันกับระเบิดและยิงปืนด้วย รวมถึงขี่ไปมือหนึ่งควบ อีกมือหนึ่งยิงปืนผ่านหูม้า ม้ามันก็สะบัดอยู่แล้วครับ ถ้าเราไม่เป็น ถ้าเราฝึกมาไม่พอมันทำไม่ได้ ผมก็เข้าไปเรียนก่อนเลย ไปเรียนกับ “ครูแอ๊นท์” (วัชรชัย สุนทรศิริ) และทีมงาน ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือนในการเริ่มตั้งแต่ต้นจนถึงยก จนถึงกระโดดลง แล้วควบแบบปล่อยมือ ควบแบบมือเดียว ก็ต้องทำครับ

 

 

สรุปแล้วคาแร็กเตอร์ของ “เสือดำ” ในเรื่องจะออกมาเป็นยังไงบ้าง

เขาจะมีอาวุธคู่ใจที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ก็คือลูกซองสั้นและมีปืนคู่ ส่วนรอยสักต่างๆ เขาจะสักหนุมานที่หน้าอก ส่วนข้างซ้ายจะเป็นเสือ และจะมีรอยแผลเป็นที่เป็นอดีตของเขาที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากเสือธรรมดากลายเป็น “เสือดำ” ชุดภายนอกก็จะคุมโทนด้วยสีที่เขารัก ที่เขาศรัทธา และมองว่าเป็นสีที่บริสุทธิ์สำหรับเขาก็คือสีดำ นอกจากอาวุธแล้ว ก็จะเป็นหนวด และฟัน ดำเพราะดูดฝิ่นเยอะ แต่จุดเด่นคือจะมีฟันทองอยู่สองซี่ ส่วนพวกแผลเป็นที่อยู่บนหน้า เป็นดีไซน์ที่ทางทีมช่วยกันคิดขึ้นมา ซึ่งผมชอบมาก ส่วนในเรื่องที่ทำให้เขาเป็นคนผิวคล้ำ ถ้าผมจะต้องขี่ม้าทั้งวันขนาดนั้น อยู่ในป่าในเขา ดังนั้น มันยิ่งเพิ่มความเชื่อในคาแร็กเตอร์นั้นเข้าไปด้วย

ส่วนวิชาที่จะได้เห็นเขาใช้บ่อยๆ จะเป็นวิชาเสกฝุ่น ซึ่งฝุ่นอันนี้ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น เป็นทราย เป็นดิน เขาจะเขียนอักขระลงบนพื้นตรงนั้น ก่อนที่จะกอบเอาใส่ไว้ในกระเป๋า อันนี้จะเอาไว้ช่วยในการปัดเป่าสิ่งที่จะเข้ามาทำร้ายตัวเขา รวมถึงบดบังตาต่างๆ มันก็จะอยู่ที่เจตนาของเขาว่าสถานการณ์ตอนนั้นเขาจะใช้เพื่ออะไร มันก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องไปฝึก ไปค้นหา เพราะว่าคาถาที่เราท่องก็มีอยู่จริงนะครับ  ข้อมูลต่างๆ มันมีความหมายหมด พระแม่ธรณีเจ้าเอ๋ยอยู่แล้วหรือยัง ถ้าข้างในยังไม่ตอบว่าอยู่ก็ไม่เอา จนกว่าจะรู้สึกว่าอยู่แล้วถึงท่องคาถาท่อนต่อๆ ไป ก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องไปเรียนไปฝึก

ในความเชื่อของตัวละครตัวนี้ เขาคือเสือตัวสุดท้ายที่เป็นเสือจริงๆ คือถ้าใครโดนมาแบบเขา ผมคิดว่าทุกๆ คนไม่น่าจะต่างจากเขาครับ โลกของเสือดำมันพังไปตั้งแต่วันที่ผ่านมาแล้ว มันถึงเป็นเส้นขนานกับกฎหมาย สีที่บริสุทธิ์สำหรับเขาคือสีดำ สีที่เขาเกลียดที่สุดคือสีกากี เพราะฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยครับที่เขาจะยอมก้มหัวไปจำโทษอยู่ในเรือนจำ เสือดำเป็นคนชัดเจน ตรงไปตรงมา มีศักดิ์ศรี รักพวกพ้อง ในสมัยก่อนถือว่าเสือดำเรียนสูงนะครับ ดังนั้นไอ้สิ่งที่เขาทำถ้ามองแค่ตื้นๆ อาจมองว่าไอ้นี่แค่มุทะลุดุดัน แต่จริงๆ แล้วเขาฉลาด เขารู้ครับว่า “มเหศวร” ต้องการอะไร เด็กๆ กลุ่มเชิ้ตขาวอยากได้อะไร ฝันเห็นอะไร ตัว “ขุนพันธ์” เองอยากให้โลกดีแบบไหน แต่โลกที่เขาเจอมา โลกในชีวิตจริงที่เขาอยู่และเห็นมา มันไม่ได้สวยงามแบบนั้นครับ เชื่อในความเป็นเพื่อน เชื่อในมิตรภาพ นับถือคนเก่ง แต่อย่างที่บอกครับ ขุนพันธ์เก่ง ขุนพันธ์ดี ยอมรับครับ แต่เพื่อนขุนพันธ์ดีหรือเปล่า ลูกน้องขุนพันธ์ดีแบบขุนพันธ์หรือเปล่า เจ้านายขุนพันธ์ล่ะดีจริงไหม ผมว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจ

 

ความสัมพันธ์ระหว่าง “เสือดำ” กับพวกเสือด้วยกันอย่าง “เสือมเหศวร” เป็นยังไงบ้าง

ในความสัมพันธ์ระหว่าง “เสือดำ” กับ “เสือมเหศวร” ในชีวิตจริงเขาเป็นเพื่อนกันครับ เป็นเสือที่คุยกันได้และสนิทกัน เสือดำรักมเหศวรเป็นเหมือนน้อง เราเห็นว่าเขามีความคิดที่อยากจะกลับไปอยู่ในเส้นทางที่ดีนะ เขาอยากนำพาเพื่อนๆ น้องๆ ที่อยู่ในความดูแลของเขา รวมถึงในชุมโจรของเรากลับตัวกลับใจเพื่อไปใช้ชีวิตที่ดี สำหรับผมแล้วมเหศวรเป็นเหมือนความหวังที่ดีงามในชุมโจรนี้ ส่วนตัวของผมมันจบไปตั้งแต่วันที่เกิดรอยแผลพวกนี้แล้ว ดังนั้นก็คงต้องไปลุ้นดูว่าตัวละครตัวนี้มันจะเลือกใช้ชีวิตต่อไปยังไง

 

การ่วมงานกับ “มาริโอ้” ที่รับบท “เสือมเหศวร” เป็นยังไงบ้าง

“โอ้” เป็นความสุขของกองครับ เขาเป็นคนน่ารัก โอ้ทำให้กองมันมีบาลานซ์อยู่บ้างระหว่างสีดำกับสีขาวครับ เพราะว่าตอนผมไปอยู่ในคาแร็กเตอร์ มันดิ่งครับ การแสดงออกของผมตอนที่เป็น “เสือดำ” กับตอนโตโน่เจอโอ้มันไม่ใช่ มันคนละแบบกัน เวลาที่คุยกันในซีน ถ้าใครสังเกตดูดีๆ เขาจะเป็นคนเดียวที่เสือดำฟัง มันเป็นเหมือนน้อง มึงกับกูลำบากมาด้วยกัน เหลือแค่มึงกับกู มันก็จะเป็นการแสดงออกอีกแบบหนึ่งในหนัง ต้องไปดูกันเอาเองครับ

 

 

แล้วมุมมองที่ “เสือดำ” มีต่อ “ขุนพันธ์” เป็นยังไง

อันดับแรกเลยคือ “ขุนพันธ์” เป็นตำรวจ ยังไงมันก็อยู่ตรงกันข้ามกันอยู่แล้ว แล้วยิ่งในสิ่งที่ขุนพันธ์ทำมา สิ่งที่ “เสือดำ” ทำมา มันไม่มีทางจะมาหาตรงกลางกันได้เลยครับ โจรหรือเสือปกติจะไว้ชีวิตจะไม่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ เพราะไม่อยากมีเรื่อง ปล้นเสร็จก็จบ คุ้มครองในชุมชนของตัวเอง แต่เสือดำต้องยิงทิ้งครับ เจอที่ไหนก็ยิงที่นั่น ลองว่าถ้าเป็นหัวของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ส่วนในเรื่องของอุดมการณ์มันก็คนละทางคนละขั้วกันอยู่แล้ว แต่ในเรื่องของความเป็นคนจริง คนแบบกูก็หนึ่ง มึงก็หนึ่ง มึงกับกูใครมันจะหนึ่งกว่ากัน มันก็ต้องวัดกัน ต้องชนกัน ได้ยินว่ามึงเหนียวเหรอ ขอลองดูหน่อย อยากรู้จังเลยว่าเลือดมึงกลิ่นเป็นยังไง รสชาติมันเป็นยังไง  เลือดมึงมันแตกต่างจากคนอื่นไหม เวลาที่กระสุนของกูเจาะเข้าไปที่เนื้อของมึงเนี่ย มึงร้องเสียงยังไง ตามึงที่จ้องกับตากู แววตาของมึงเป็นแบบไหน มันเจ๋งเหมือนอย่างที่หลายๆ คนเขายกยอมึงหรือเปล่า ขุนพันธ์เป็นคนที่เสือดำหมายหัวเอาไว้อันดับหนึ่งครับที่จะเอาลงให้ได้

 

การได้ร่วมงานกับ “อนันดา”

ผมประทับใจมาก รัก “พี่จ่อย” (อนันดา) เลยครับ เราไม่เคยทำงานด้วยกัน พอเราได้มาเห็นความรักที่พี่จ่อยมีต่อบท “ขุนพันธ์” ผมเป็นคนพูดน้อย วันแรกสิ่งที่พี่จ่อยคุยกับผมว่าโน่รู้ไหมว่ากูมีความฝันนึงคืออยากจะให้สักวันหนึ่งมีรูปขุนพันธ์ติดอยู่หลังรถบรรทุก วันนั้นเป็นวันแรกนะที่ได้คุยกันจริงๆ แล้วเขาก็เอาเหรียญที่ลูกของขุนพันธ์ให้มาให้ผมดู ในขณะที่ตัวผมเองก็มีพระกับเครื่องรางของ “เสือดำ” ที่ผมไปหามา คือเสือดำศรัทธาหลวงพ่อมุ่ยผมก็ไปหามา แล้วอาจารย์หลวงพ่อมุ่ยคือใคร คือหลวงปู่สุข หลวงปู่เอี่ยม ก็ไปหามา เอามาใส่ในตอนที่ต้องเป็นเขา ทำให้รู้สึกว่าแค่พี่จ่อยแกมาๆ เล่นเองๆ ใจได้เลย มันก็เลยทำให้ผมเองแม้คิวพลาด เตะพลาด ผมก็มาเลยพี่มาเลย เพราะผมรู้ว่าเขารักในงานชิ้นนี้ เขารักในบทๆ นี้ แล้วตัวผมเองก็อย่างที่บอกไปแต่ต้น ถ้าผมบ้าอยู่คนเดียว มันไม่เท่าไหร่หรอกครับ มันต้องบ้าไปด้วยกัน แล้วเรื่องนี้ผมเจอคนบ้าหลายคนครับ ผู้กำกับก็บ้าครับ มันเลยทำให้ยอมรับในการทำงานของพี่จ่อย ยิ่งรู้สึกเป็นเกียรติมากขึ้นไปอีกที่ได้มาร่วมงานด้วย

 

การได้ร่วมงานกับผู้กำกับ “โขม ก้องเกียรติ” เป็นอย่างไรบ้าง

“พี่โขม” เป็นคนที่ไม่มีอีโก้อะไรเลย ผมว่าเอาอย่างนี้ไหม เพิ่มไปแบบนี้ พี่โขมก็จะรับฟัง เพราะเขาทำด้วยความรักที่มีต่อหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับผมที่รักในบทที่ตัวเองต้องเป็น บางซีนตอนซ้อมกันเป็นแบบนี้ แต่ในความรู้สึกเวลาที่เราเป็น “เสือดำ” ข้างในมันบอกว่าต้องเป็นแบบนี้ ถ้าผมไปแชร์แล้วพี่โขมไม่เอา ก็จบนะครับ แต่พอผมไปพูดก่อนว่าพี่โขมลองสักเทกได้ไหม เราก็ได้อะไรใหม่ๆ ในแต่ละซีน มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจจังเลย มันเป็นอะไรที่อิ่มใจครับที่ได้ร่วมงานกับพี่โขมและหนังเรื่องนี้

 

 

เรียกว่าทุกคน “เอาไงเอากัน” สำหรับหนังเรื่องนี้

ครับ มันเป็นงานที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตก็จริงนะครับ แต่มันก็เป็นงานที่ภูมิใจที่สุดและอยากดูที่สุด ไม่ใช่เพราะผมเลยนะ แต่เพราะคนที่เข้าฉากกับผมก็เอาด้วย ไม่ว่าจะผู้กำกับเอง พี่จ่อยที่ไม่มีแบบเฮ้ย…นี่อนันดานะ กูถ่ายมาก่อนสองภาคนะ มึงคือโตโน่ รุ่นน้องกู ไม่มีเลยครับ เพราะทุกคนรักในหนังเรื่องนี้ ทำให้มันมีแต่ความทรงจำดีๆ  มีแต่ความประทับใจ จริงๆ ความเป็น “ขุนพันธ์” มันยิ่งใหญ่อยู่แล้วตั้งแต่ภาค 1 ภาค 2 รวมถึงในความเป็นจริงด้วย สิ่งที่ขุนพันธรักษ์ราชเดชทำ มันมีมนตร์ขลังอยู่แล้ว จากที่มันมีอยู่ เราทุกคนมาช่วยกันเพิ่มช่วยกันทำ เรื่องนี้มันอาจจะเหนื่อยมาก เราถ่ายกันในหน้าร้อนกึ่งฝน และที่กาญจนบุรีมันร้อนมากครับ แต่เหนื่อยกว่านี้เราก็จะทำ เป็นเพราะพลังงานของกองๆ นี้ ผมไม่เคยเจอจากที่ไหนครับ

 

มีฉากไหนที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ

มันมีหลายฉากนะครับ แต่ที่นึกถึงเป็นฉากแรกคือฉากที่ “เสือดำ” ต้องดวลกับ “ขุนพันธ์” ในชุมโจร ซึ่งจริงๆ แล้วผมมีพื้นฐานคือต่อยมวยครับ มันช่วยผมได้เยอะ แล้วผมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันยากหรืออะไรเท่าไหร่ในเรื่องของแอ็กชัน การใช้อาวุธสั้น หรือมือเท้าเข่าศอก แต่สิ่งที่ผมรู้สึกดีมาก และประทับใจมากสำหรับฉากนี้คือผมเล่นเอง พี่จ่อยก็เล่นเอง ตอนนั้นเราเป็นเสือดำ มันทำให้เวลาที่เรามอง เวลาที่เราต้องการจะกินเลือดกินเนื้อเขา เราไม่ได้มองที่หน้า เรามองเข้าไปในตาเขา ผมจะรู้สึกเลยว่าตาของเขาเป็นตาเดียวกับขุนพันธ์ตัวจริง ผมมองลึกลงไปในตาดำของเขาแล้วมันทำให้มองเห็นคุณงามความดี มองเห็นความซื่อสัตย์ ความรักในการเป็นตำรวจที่จะปกป้องดูแลคนของเขา แต่สิ่งที่ตามมาด้วยคือสติในการที่จะต้องจำคิวให้ได้ มันค่อนข้างหายากครับ การที่เล่นเองทั้งสองคน ผมเคยได้ยินมาว่า “คริสเตียน เบล” กับ “ทอม ฮาร์ดี้” เล่นกันจริงใน “The Dark Knight Rises” (2012) แล้วนี่มันมาเกิดขึ้นในหนังไทยของเรา มันก็เป็นทั้งความภูมิใจและความท้าทายที่เราต้องช่วยกันทำออกมาให้ดีที่สุดและผ่านไปให้ได้ด้วยการที่ทุกคนบาดเจ็บน้อยที่สุด

 

คนดูจะได้เห็นอะไรในหนัง “ขุนพันธ์ 3″ บ้าง

มุมมองของผม ถ้าเป็นเนื้อเรื่องผมมองว่ามันเป็นความรับผิดชอบและเป็นภาระที่หนักหนาที่เราจะทำยังไงให้มันออกมาสมศักดิ์ศรีของภาค 1 และภาค 2 ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็ดำเนินมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือในบรรดาเสือทั้งหมดมันเหลืออยู่สองเสือสุดท้ายแล้วที่ “ขุนพันธ์” ยังปราบไม่ได้ และเป็นเรื่องใหญ่ด้วย เพราะว่ามันมีเรื่องของชุมชนนั้นๆ นอกจากจะบู๊กันดุเดือดที่สุดแล้ว มันยังต้องต่อสู้กันในเรื่องของอุดมการณ์ความเชื่อด้วย มันมีเรื่องของความผูกพันที่ทางฝั่งของตัวขุนพันธ์เองมีมาตั้งแต่ต้น รวมถึงมีเรื่องของเสือที่เขาก็มีสตอรีของเขาเข้ามา ซึ่งทั้งสองฝั่งมันต้องมาชนกันในภาค 3 แล้วมันยังมีตัวแปรที่เราคาดไม่ถึง ผมเลยคิดว่านอกจากจะเป็นภาคที่พวกเราทุกคนพยายามทำออกมาให้มันใหญ่ที่สุด เดือดที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้นอกจากคนดูจะได้รับยังจะได้ข้อคิดด้วย ซึ่งผมก็บอกไม่ได้ว่าแต่ละคนจะคิดกันยังไง แต่หวังว่า “ขุนพันธ์ 3” จะเติมเต็มหลายๆ อย่างให้กับคนดู ผมก็ขอฝากไว้ด้วยนะครับ อยากให้ทุกคนได้ดูกันครับสำหรับ “ขุนพันธ์ 3” เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้เป็นต้นไปครับ

 

 

ขุนพันธ์ 3 (Khun Pan 3)

ขุนพันธ์ 3 (Khun Pan 3)

ศรัทธาคลั่ง อาคมเดือด สู่วันพิพากษาด้วยอาคม! ในปี พ.ศ. 2493 บ้านเมืองได้รับผลกระทบจากสงคราม ชุมโจรเสือร้ายยังคงชุกชุมไปทั่วทุกหนแห่ง “ขุนพันธ์” (อนันดา...

รายละเอียดภาพยนตร์

Featured News