จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจในโปรเจกต์ “ขุนพันธ์” มีความเป็นมาอย่างไร
โปรเจกต์นี้มันถูกเริ่มต้นมาแล้ว 10 ปี สำหรับ “ขุนพันธ์ 3” คือครบรอบ 10 ปีที่วางแผนกันมา ซึ่งจุดเริ่มต้นในตอนนั้นจะมีข่าวเรื่อง “นายตำรวจจอมขมังเวท” ที่โด่งดังจากจตุคามรามเทพ เพียงแต่ที่เราสนใจไม่ใช่ในส่วนของเครื่องรางของขลัง แต่เป็นในส่วนสตอรีของตัว “ท่านขุนพันธ์” เองที่อยู่ในใจมาตลอด เท่มากๆ เป็นเรื่องของตำรวจคนหนึ่ง ภาพแรกที่เราเห็นคือมีดาบสะพายหลัง นุ่งผ้าหยักรั้ง เป็นเหมือนโจงกระเบน ใส่เสื้อราชปะแตน และอยู่บนหลังช้างไล่ล่าจับโจร แล้วโจรวิ่งเข้าไปในป่าก็เสกคาถาเพี้ยงแล้วหายไปในป่า ท่านขุนก็หยิบใบไม้มาพ่นคาถาลงไปที่ปืนแล้วยิงออกไปในอากาศ ลูกกระสุนมันก็เปิดป่าแหวกอากาศทำให้โจรที่หายตัวปรากฏตัวขึ้น ท่านขุนก็กระโดดตู้ม มันมีความไทยๆ มีความเอ็กโซติก และการพูดเรื่องมิติของการเมือง ความเชื่อ ความศรัทธา และความเป็นมนุษย์ เรารู้สึกว่าเรื่องราวของขุนพันธ์มีครบให้เราเปิดประเด็นเล่นได้
ความตั้งใจตั้งแต่แรกเริ่มคือทำหนังแอ็กชันที่มีเรื่องราวของท่านขุนพันธ์เป็นแรงบันดาลใจ
ครับ แต่ถ้าถามว่าเราได้หยิบตัวตนของท่านขุนพันธ์มาทำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ไม่ใช่ครับ ผมให้สัมภาษณ์มาเสมอว่ามันไม่ใช่หนังชีวประวัติ ก็เลยขออนุญาตกับที่บ้านท่านตรงๆ ว่าเราไม่ได้ทำหนังชีวประวัตินะ เราทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ไทยๆ ซึ่งมาจากการได้พูดคุยกับทางคุณสมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ (เสี่ยเจียง) ตอนนั้นที่คุยกันเสี่ยบอกว่าทำไมมันไม่มี James Bond 007 แบบไทยๆ คือตัวละครที่มีมิชชันบางอย่างที่สามารถทำเป็นซีรีส์ต่อไปได้เรื่อยๆ โดยภายภาคหน้าต่อไปเราอาจจะเปลี่ยนตัวขุนพันธ์ก็ได้ ผู้กำกับคนอื่นอาจจะมาทำขุนพันธ์ก็ได้ มันเหมือนเป็นการเซตอัปอะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่ามันเป็น Value แบบที่หนังไทยควรจะมี รู้สึกเป็นเกียรติและท้าทายที่เราจะทำอย่างนี้ได้ในวงการหนังไทย สมมติ 007 มีอาวุธไฮเทค “ขุนพันธ์” ก็มีไสยศาสตร์แปลกๆ ใหม่ๆ บวกกับการเผชิญหน้าศัตรูที่มีวิชาอาคมแปลกๆ เราก็จะได้เห็นอาวุธใหม่ๆ ของขุนพันธ์ที่ในแต่ละภาคมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และที่ขุนพันธ์ทำมาตลอดคือมันสะท้อนสภาพบริบททางการเมือง ทางความเชื่อของผู้คน ความศรัทธาที่มันก็ถูกท้าทาย ซึ่งอันนี้ก็ตรงกับตัวจริงตัวละครขุนพันธ์คือศรัทธาในหน้าที่ การเป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ เพียงแต่ว่าความเด็ดขาดของท่านมันก็มีเหตุมีผล และมีความเมตตา เราจะเห็นไดอะล็อกสำคัญที่ตัวละครตัวนี้พูดมาตั้งแต่ภาคแรกเปิดเรื่องมาเลยคือการให้โอกาส ทุกครั้งที่จับโจรท่านจะพูดคำว่า “ถ้ามึงเลิกเป็นโจร และไปบวชซะ กูจะจับเป็นมึง” มันสะท้อนถึงความมีใจนักเลงของท่าน ก็เลยเป็นที่มาที่ไปว่าคาแร็กเตอร์ของตัวละครแบบนี้มันสนุก เป็นฮีโร่ที่ถูกตั้งคำถามได้ ผมรู้สึกว่าตัวขุนพันธ์มีความเทาๆ อยู่เยอะ ด้วยงาน ด้วยภารกิจหน้าที่หลายๆ อย่างที่ท่านต้องไปทำ มันมีการแฝงตัว การปลอมตัวไปเป็นโจร คือตัวท่านเองก็มีความย้อนแย้งอยู่ในตัวว่าตกลงอะไรมันดี อะไรมันเลว อะไรมันขาว อะไรมันดำ เหล่านี้คือมิติ คือที่มาที่ไปของเรื่องๆ นี้ครับ
เพราะอะไรที่ทำให้หนัง “ขุนพันธ์” เดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ในช่วงเวลา 10 ปี
โปรเจกต์นี้เดินทางมาไกลถึง 10 ปี เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราวางแผนไว้ ผมเคยพูดกับทุกคน กับทีมงาน กับทางสตูดิโอว่าของบางอย่างมันต้องใช้เวลาทำ 10 ปี ผมยังยืนยันว่า “ขุนพันธ์” เป็นโปรเจกต์ที่ต้องให้เครดิตกับทีมงาน จนกระทั่งถึง “ขุนพันธ์ 3” ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือมันเกิดการเรียกรวมตัวทีมงานที่ทำกันมาตั้งแต่ภาคแรก มันเกิดความผูกพันในแง่ของการทำงาน หรือแม้กระทั่งน้องทีมงานใหม่ๆ หลายคนก็สมัครใจที่จะเข้ามา เพราะอยากเข้ามาอยู่ใน “จักรวาลขุนพันธ์” หลายๆ คนกระตือรือร้นที่จะทำ แต่แน่นอนอุปสรรคมันเยอะมากตั้งแต่ภาคแรกมาแล้ว แต่มันเป็นความเหนื่อยความยากที่เราเลือกที่เราพอใจ ซึ่งเราประเมินแล้วว่าผลลัพธ์มันจะคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่เราทำไป มันจึงเป็นภารกิจที่มีความสุข
โดยส่วนตัวผมเองมีวิธีคิดว่าหนังเรื่อง “ขุนพันธ์” มันไม่ใช่แค่หนังแอ็กชัน แต่เราอยากรื้อฟื้นความผูกพันระหว่างคนดูกับหนังไทย เราอยากทำโปรเจกต์ที่คารวะบูชาความเป็นหนังไทยโบราณบางอย่าง ด้วยทิศทางหรือวิธีการหลายๆ อย่าง คนดูบางคนอาจไม่รู้ว่าตัวประกอบตัวเล็กตัวน้อยบางคนเล่นหนังไทยมาตั้งแต่สมัยฟิล์ม 16 มม. ตั้งแต่สมัยฟิล์มขาวดำ ผมก็โกยพวกนี้กลับมาเล่นหมดเลย เป็นเสือคนนั้นคนนี้ เหมือนเป็นภาพแทนของหนังไทยเรื่องหนึ่งที่พยายามจะสร้างจักรวาลแห่งความผูกพัน และผมเชื่อว่ามันมีพลังมากพอที่จะสื่อสารกลับไปยังคนดูได้ว่ามันจริงใจ ความผูกพันกับตัวขุนพันธ์ ตัวหนัง ตัวสตอรีของขุนพันธ์ ความตื่นเต้นแบบว่าภาค 2 จะมีตัวละครอะไรอีก ภาค 1 เป็น “อัลฮาวียะลู” มี “พี่น้อย วงพรู” มาเล่น ภาค 2 เป็น “เสือใบ-เสือฝ้าย” มี “เป้ อารักษ์-พี่เบิร์ด วันชนะ” มาเล่น พอจะทำภาค 3 ทุกคนก็จะตื่นเต้นว่าคราวนี้จะมีใคร
สำหรับ “ขุนพันธ์ 3″ แล้ว ส่วนตัวผู้กำกับเองอยากให้หนังออกมาเป็นอย่างไร
จริงๆ เราพยายามโตขึ้นแต่จะน้อยลง เราจะคมขึ้น ชัดเจนขึ้น ความผิดพลาดในแต่ละภาคเราก็เอามาเรียนรู้ ปรับปรุง ในแง่ของภาพคือ “ขุนพันธ์” มันถูกฟิกซ์ไว้ด้วยยุคสมัย เนื่องจากมันเป็นหนังพีเรียด ภาค 1 แฟชั่น เสื้อผ้าหน้าผม แม้กระทั่งหนวดเขี้ยวของขุนพันธ์ก็จะย้อนกลับไปก่อนสงครามโลกจะเกิด เข้าสู่ภาค 2 เปิดเรื่องมาคือญี่ปุ่นแพ้สงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าวยากหมากแพง คนก็กลายเป็นโจร เกิดเสือร้ายขึ้นทั่วประเทศ ขุนพันธ์ต้องออกมาปราบปราม พอมาถึงภาค 3 สงครามเลิกไปแล้ว 4-5 ปีประมาณปี 2493-2495 ช่วงนั้นสถานการณ์ทั้งโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น คือยุคสงครามข้อมูล สงครามสายลับ เกิดวิกฤตทางการเมือง ความจนยังอยู่ เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างสูง คนรวย ข้าราชการ คฤหบดีมีอำนาจ โจรยังคงอยู่ บ้านเมืองเข้าสู่ความทันสมัยขึ้น สี มูด โทน ความเป็นหนังแบบสงครามเย็น มันจะมีความรู้สึกของหนังสายลับขึ้นมามากขึ้น ตัวขุนพันธ์เองเขาก็มีพัฒนาการขึ้นมาเรื่อยๆ แม้กระทั่งวัยวุฒิ แล้วก็เกิดการตั้งคำถามกลับไป ขุนพันธ์เริ่มพิพากษาตัวเองแล้วว่าตกลงสิ่งที่ฉันทำลงไปมันคืออะไร หรือเราควรหยุดเสียที มันมีปีศาจในตัวเองที่มันน่ากลัวกว่าหรือเปล่า นี่คือความท้าทายในภาค 3 มันคือปัญหาใหญ่ และเริ่มไกลตัวขุนพันธ์มากขึ้นๆ และเขาเองก็เริ่มค้นพบแล้วว่าตัวเองอาจจะไม่ใช่คำตอบของความดีงาม หรือแม้กระทั่งคำว่าศรัทธาอีกต่อไป ความดีหรือศรัทธามันอยู่ที่ไหน หนังมันก็จะโยนพลังนี้กลับไปที่ประชาชนว่าเราจะฝากความหวังไว้ที่ซูเปอร์ฮีโร่คนเดียวหรือเปล่า ในภาค 3 มันเป็นประเด็นที่โตขึ้น ผ่านวุฒิภาวะมามากขึ้น สงบนิ่งมากขึ้น ตรงประเด็นมากขึ้น แต่บู๊กันหนักเหมือนเดิม เดือดเหมือนเดิม
เรื่องราวในหนัง “ขุนพันธ์ 3″ จะเป็นอย่างไรต่อไป
มันเริ่มจาก “ขุนพันธ์” ถูกพิจารณาเมื่อการเมืองในวงการตำรวจเปลี่ยน เขากลายเป็นอดีตตำรวจที่ใช้แต่อารมณ์ เริ่มถูกวิเคราะห์ทางจิต มีนักสิทธิมนุษยชนเข้ามาสอบว่าสิ่งที่เขาทำมันเกินกว่าเหตุหรือเปล่า จึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเขาไม่เติบโตในตำแหน่ง พอเขาโตไม่ได้ก็กลับไปอยู่ที่บ้านเกิด แล้วเขาก็ค้นพบความสุขสงบเมื่อกลับมาอยู่ที่บ้าน อันนี้ก็ตามข้อมูลจริงนะครับ เขาเริ่มสนใจลงสมัครเล่นการเมือง ซึ่งเขาคิดว่าบางทีการเป็นตัวแทนอาจช่วยชาวบ้านได้มากกว่าการมาคอยปราบโจรก็ได้ ในขณะเดียวกันตอนนั้นมันเกิดคดีปล้นฆ่าของพวกโจรเชิ้ตดำที่กลับมาอาละวาดโดยการนำของสองเสือชื่อดังคือ “เสือมเหศวร” กับ “เสือดำ” มเหศวรเขามีแผนอันแยบยลมากในการเข้าปล้นแต่ละครั้ง ต่างกับเสือดำที่เวลาเข้าปล้น เขาจะฆ่าอย่างโหดเหี้ยม เห็นความอำมหิต ดุเดือด โดยเฉพาะกับตำรวจ ขุนพันธ์ก็ถูกตามตัวกลับมา เพราะเคยดื่มน้ำสาบานเป็นพวกเดียวกับเสือ แต่คราวนี้เขาถูกเรียกตัวมาโดยทหารชื่อ “ทัตเทพ” ซึ่งเป็นนายทหารใหญ่ งานนี้การอาละวาดของโจรเชิ้ตดำ เพราะฉะนั้นขุนพันธ์จึงเข้ามาทำงานภายใต้ทหารในการบุกถล่มโจรกลุ่มนี้ให้ได้ เขาก็จะไปเจออะไรหลายๆ อย่างในชุมโจร ต้องเจอกับวิชาอาคมอันเก่งกล้ามากมายของพวกเสือต่างๆ ต้องสู้ด้วยอาวุธที่ครบมือของกองทัพทหารที่เต็มกำลังเพื่อจะถล่มและปิดฉากแก๊งโจรเชิ้ตดำ ขุนพันธ์จะต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งภายในใจที่ตัวเขาเองก็เป็นคนนับถือสัจจะ เรื่องของการดื่มน้ำสาบาน แต่เขากลับต้องนำกองกำลังทหารเข้าไปถล่มคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องของตัวเอง สรุปแล้วอะไรคือถูก อะไรคือผิด เขาจะต้องเลือกทางไหนกันแน่
สองเสือที่ “ขุนพันธ์” เผชิญหน้าในภาคนี้ ทำไมต้องเป็น “เสือมเหศวร” กับ “เสือดำ”
โดยรูตของหนังมันมีการวางแผนเอาไว้ทั้งหมดนับแต่เริ่มต้นแล้วว่า “ขุนพันธ์” จะต้องเผชิญกับ “4 เสือภาคกลางในตำนาน” จริงๆ แล้วมี 5 คน “อัลฮาวียะลู” เป็นคนแรก เขาคือโจรใต้ในภาคแรก และสี่เสือภาคกลางก็จะมี “เสือฝ้าย-เสือใบ” ซึ่งเราพูดถึงไปแล้วในภาคสอง ก็จะเหลือ “เสือมเหศวร” กับ “เสือดำ” เป็นการปิดท้ายไตรภาค ใครกันจะถูกพิพากษา พวกเสือหรือว่าขุนพันธ์ ซึ่งจริงๆ มันมีตำนานมากมายเกี่ยวกับเสือเหล่านี้ มีเรื่องเล่า แต่เราไม่ได้ทำหนังชีวประวัติของเสือเหล่านี้ มันมีรากของความจริงอยู่ เราก็เอามาเป็นตัวละคร ทีนี้โดยคาแร็กเตอร์แต่ละคนก็จะต่างกันไป อาคมที่เขาใช้ก็จะเป็นไปตามคาแร็กเตอร์ของแต่ละคน เนื่องจากขุนพันธ์จะต้องเจอกับศัตรูที่เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ เป็นความท้าทายที่ตัวละครจะต้องเจอ
คาแร็กเตอร์ของ “เสือมเหศวร” ในหนังจะออกมาเป็นยังไง
“เสือมเหศวร” เป็นทรชนสองหน้า คือคนสองบุคลิก เขามีร่างหนึ่งเป็นนักเขียนนักข่าวในนามปากกาว่า “นายศร” ซึ่งทำงานเป็นนักข่าวสายการเมือง เขียนนวนิยายที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ขุนพันธ์” ในขณะเดียวกันเขามีอีกร่างหนึ่งคือเสือมเหศวร จอมโจรชื่อดังผู้มีค่าหัวสูงอันดับต้นๆ แต่มเหศวรไม่เคยถูกจับได้ ด้วยความชาญฉลาดของเขาในการปล้น ไปมาแบบไร้ร่องรอย เหมือนมีวิชาลิงลม มีความพลิ้วไหว มีคาถาเบี่ยงกระสุน ห้อยพระมเหศวร ท่องคาถาแล้วคาบพระมเหศวรไว้ที่ปาก กระสุนที่ยิงมาจะไม่โดนตัวเขา แล้วในคาแร็กเตอร์ของเขาก็เป็นคนที่มีความสนุกสาน กะล่อน แต่มีทัศนคติที่ดี เป็นคนที่มีแนวคิดว่าคุณไม่ควรเป็นโจรไปจนตาย เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นโจรที่มีความหวัง และรวบรวมกลุ่มคนที่อยากมอบตัวกลุ่มหนึ่งขึ้นมาในนามว่า “เชิ้ตขาว” โดยเขาเป็นหัวหน้าลับๆ
ทำไมถึงเลือก “มาริโอ้ เมาเร่อ” มารับบทนี้ การร่วมงานกันเป็นอย่างไรบ้าง
“มาริโอ้” เขาจะมีลักษณะแบบจารชนสองหน้า มีสองบุคลิก บุคลิกหนึ่งคือเฟรนด์ลี น่ารักมาก ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย ในขณะเดียวกันก็มีความกะล่อนบางอย่างที่มันพลิ้วไหว มันเหมือนเราเห็นตัวละครในหนัง Ocean’s 11 ตัวละครแบบนี้เป็นตัวละครนักปล้นที่ฉลาดมาก เก่งมาก มาริโอ้ดูเป็นคนฉลาด มีเคมีในตัว แล้วมาริโอ้กับผมก็สนิทสนมกันดี ทำงานด้วยกันมาแล้วหลายเรื่อง โอ้ก็จะบอกทำงานกับพี่โขมเหนื่อยทุกเรื่อง ไม่เคยให้เล่นอะไรธรรมดาๆ บ้างเลย แต่ก็เป็นความสนุกสนาน ถ้าเราคุยกันเมื่อไหร่ โอ้ก็จะมีการบ้านสไตล์โอ้ ให้โอ้ลองแบบนี้ไหม ซึ่งเราจะชอบให้โอ้เล่นในแบบที่โอ้คิดว่ามันได้เหรอพี่ โอ้ก็สู้อยู่แล้วเต็มที่ ข้อดีก็คือมาริโอ้ไม่งอแง มีความเป็นมืออาชีพ คือเรื่องนี้มันรวมนักแสดงมืออาชีพทุกคน
ในเรื่องนี้จะได้เห็นมาริโอ้เล่นแอ็กชันแบบเต็มรูปแบบ ทั้งยิงปีน วิ่งฝ่าดงกระสุน โหนสลิง หนีระเบิดที่มีลูกไฟลูกโตไล่หลัง เรียกว่าจัดหนัดจัดเต็มฉากเสี่ยงอันตรายเลยทีเดียว
หนังแอ็กชันมันเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฉากเสี่ยงอันตราย เรามีการเตรียมนักแสดงดับเบิลไว้ให้ แต่ส่วนใหญ่โอ้จะบอกว่าขอเล่นเอง อย่างฉากที่เขาจะต้องโดดลงมาจากหอคอยสูงประมาณ 5-6 เมตร โหนสลิงลงมา ขณะเดียวกันก็ยิงสู้กับคนข้างล่าง แล้วบนหอคอยก็ถูกยิงถล่มระเบิดตู้มเป็นแบ็กกราวด์ ทางภาพมันต้องพอดี ระเบิดจะลูกเล็กไปก็ไม่ได้ ต้องเป็นลูกไฟที่มันใหญ่พอสมควร ก็ซ้อมกันอย่างดี โอ้เล่นเองเลย หรือแม้กระทั่งฉากที่ต้องวิ่งไปบนพื้นที่มีระเบิด มีอยู่ทีหนึ่งวิ่งๆ อยู่ตู้ม เราเห็นในมอนิเตอร์คือหน้าโอ้สะบัดไป ระเบิดมันไม่ได้โดน แต่แรงอัดมันไปอัดหินเม็ดเล็กๆ ที่พื้นขึ้นมากระแทกหน้า โอ้โห…ใจเราเสียแล้ว เกิดหน้าเขาเสียโฉมขึ้นมา พอสั่งคัตปุ๊บก็จะมีเสียงโวยวายตะโกน เฮ้ย…ดูโอ้หน่อย เป็นอะไรไหม ก็จะมีเสียงโอ้ตะโกนออกมา โอเคพี่ แต่หูไม่ได้ยินแล้วนะ ยังล้อเล่นได้ แสดงว่าเขาก็ยังสนุกอยู่ หรือแม้กระทั่งฉากที่ต้องโชว์ความว่องไวของมเหศวรที่จะต้องปีนขึ้นไปบนนั่งร้านสูงๆ แล้วไล่จับกัน เป็นเกมที่พวกโจรใช้เล่นพนันกัน ตัว “ขุนพันธ์” กับ “เสือมเหศวร” จะต้องท้าทายกัน ก็ต้องปีนขึ้นไปบนนั่งร้าน กระโดดลงมา โอเค พวกนี้ก็ต้องใช้สตันต์อยู่แล้ว แต่ในฉากที่เห็นหน้าทั้งหมดมันต้องโดดจริง แล้วก่อนวันที่จะมาถ่าย โอ้บอกแล้วว่าขออนุญาตนะพี่ เพราะเขาไปเตะโดนเหล็กเท้าเขาเจ็บ พอถ่ายเข้าจริงๆ เหมือนความมันส์บังเกิด อย่างนี้เล่นเองได้ เราก็ได้หน้าเขาจริงๆ มา ซึ่งก็เยี่ยม “มาริโอ้ นายสุดยอดเลย”
แล้วคาแร็กเตอร์ของ “เสือดำ” เป็นยังไงบ้าง
“เสือดำ” จะเป็นคนเก็บกด มีอดีต เป็นโจรโดยสันดาน เป็นโจรที่รักศักดิ์ศรี รักพวกพ้อง คือมีความแมนมากๆ ไม่รุม ไม่ยิงคนข้างหลัง ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า “สุภาพบุรุษเสือดำ” ตรงไปตรงมา เถรตรง หนักแน่นเหมือนดิน ก็ตรงกับคาแร็กเตอร์จริง เสือดำในเวอร์ชันเราลึกๆ แล้วเป็นคนอำมหิตมากๆ แต่ก็มีปม มีประเด็น มีสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงต้องดำรงชีวิตด้วยการดูดฝิ่น ทำไมถึงต้องเลี้ยงความเมาไว้ให้ตัวเองตลอดเวลา เป็นคนพูดน้อย แต่ดุดันมาก เกลียดตำรวจ คหบดีชั่วๆ เสือดำไม่ได้ฆ่า แต่เสือดำจะฆ่าตำรวจที่คุยกับคหบดีชั่วๆ เหล่านั้นอย่างโหดเหี้ยม เหมือนการพยายามฝาก Signature บางอย่างไปให้เหล่าตำรวจรู้ว่าเขาเกลียดตำรวจมากขนาดไหน และเสือดำจะเป็นตัวละครที่มีความบิดเบี้ยวทางจิตค่อนข้างเยอะ เป็นตัวละครที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นอีกด้านหนึ่งของ “อัลฮาวียะลู” คือคนที่ตกอยู่ในหลุมที่มันไม่มีก้นบ่อ แต่ขณะเดียวกันเขาก็หาตัวจับยาก มีคาถาอาคมคือวิชาเสกฝุ่นดินขึ้นมาเพื่อจะสลายกระสุนได้ ก็เป็นคนเก่งครับ มีฝีไม้ลายมือ ยิงปืนแม่น ต่อสู้ทั้งในระยะประชิดระยะห่างได้หมด ใจเด็ด
ทำไมถึงเลือก “โตโน่ ภาคิน” มารับบท “เสือดำ” และการร่วมงานกันครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง
การได้ “โตโน่” มารับบทนี้เป็นเรื่องดีมากๆ ครับ เพราะเขาทำการบ้านมาเยอะมาก ตัวละครตัวนี้มีทั้งความเท่ ความเถื่อน ความดิบอยู่ในตัว ในเวลาเดียวกันโตโน่ดีไซน์ตัวละครให้มีฟันดำและมีฟันทองอยู่สองซี่ ซึ่งเขาจะแยกเขี้ยวอยู่ตลอดเวลาเหมือนคำราม การเคลื่อนที่ทุกครั้งเรารู้สึกได้ถึงเสือร้ายที่มันเดินมาในความมืด อันนี้คือการตีความคาแร็กเตอร์ซึ่งโตโน่ทำได้ดีมากในเรื่องนี้ บวกกับความอึดถึกทน โตโน่เป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว มีความจริงจัง เขาถ่ายทอดวิญญาณของ “เสือดำ” ออกมาได้ดีเลย แล้วสิ่งที่โตโน่ทำได้ดีเกินไปกว่าเสือดำที่เราวางเอาไว้คือเขาสามารถสร้างมิติที่น่าสงสารของตัวละครตัวนี้ให้มันเกิดขึ้นได้ เพราะเหตุใดตัวละครตัวหนึ่งถึงได้ซ่อนตัวอยู่ในความมืด จริงๆ แล้วมันมีอะไรกันแน่ มันถึงกลายเป็นคนแบบนั้น มันคือฮีโร่ในด้านที่เกือบจะดำสนิทแล้วสำหรับตัวเสือดำ
ตัวละครที่เป็นหัวใจสำคัญในแต่ละภาคคือ “ขุนพันธ์” คนดูจะได้เห็นอะไรใน “ขุนพันธ์ 3″ บ้าง
ถ้าในแง่ของตัวหนังเลย เราจะได้เห็นอาวุธใหม่ๆ ของ “ขุนพันธ์” อันนี้มันเป็นกิมมิก ในภาค 1 เราจะได้เห็นปืนของขุนพันธ์ที่เป็นปืนสั้น เขาสามารถต่อให้มันเป็นปืนยาวได้ ซึ่งอาวุธเหล่านี้มีจริงในประวัติศาสตร์ พอภาค 2 แส้ปืน มันเป็นอาวุธที่ญี่ปุ่นมีจริงๆ ภาค 3 แน่นอนคุณจะได้เห็นอาวุธชิ้นใหม่ ส่วนคาถาอาคม ขุนพันธ์ยังเต็มไปด้วยสารพัดสารพันคาถา ไม่ว่าจะเป็นการหายตัว คือจริงๆ ขุนพันธ์เป็นเอกอุเรื่องคงกระพัน ยิงไม่เข้า ฟันแทงไม่เข้า วิชาตาทิพย์ การมองเห็นได้ในที่มืด หรือการสนทนากับคนตาย เราจะได้เห็นวิชาที่มันเพิ่มขึ้น วิชาที่เรายังไม่ได้เห็นในภาคอื่นหรือยังเห็นไม่ชัด และสิ่งที่เป็นเซอร์ไพรส์ที่สุดก็คือกริชของอัลฮาวียะลู ซึ่งเขาเอามาใช้ประจำตัวด้วย มีดาบแดงอีก อิทธิฤทธิ์ของดาบแดงก็คือสามารถฟันคนมีของเข้า ฟันภูตผีปีศาจได้
แล้วถ้าเป็นในแง่พัฒนาการของตัวละคร “ขุนพันธ์” ในหนังภาคนี้ คนดูจะได้เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง
ในแง่ของการแสดง “อนันดา” มีพัฒนาการมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว เขาเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์สูง แต่มันแปลกตรงที่เขาบอกว่าเขาตื่นเต้น เขาสนุก มันเหมือนการได้กลับบ้าน เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่การพยายามใส่นู่นใส่นี่ลงไปในตัวละคร แต่มันทำตัวละครให้มีชีวิตมากขึ้น ในภาคนี้เราสนุกที่ได้สร้างชีวิตในมุมที่คนไม่เคยเห็นจาก ภาค 1 และภาค 2 มาก่อน เขาจะซอฟต์ลง เขาจะมีความเจ็บปวด มีความเป็นมนุษย์ อันนี้คือมิติที่เรามาพัฒนาตัวละครขุนพันธ์ในภาค 3 เขามีแง่มุมที่คนดูยังไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะมากมาย มุมโรแมนติก น่ารัก เป็นมุมที่เราจะรักเขาโดยไม่ใช่มุมที่มีแต่โหดๆ ร่างแท้ๆ ของตัวละคร “ขุนพันธ์” เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง มีรักโลภโกรธหลง เรานั่งทำการบ้านกับอนันดาแล้วสนุกมาก หรือการหาคาแร็กเตอร์เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น เขาบอกว่าหนวดมันเหมือนโซนาร์ (Sonar) เราคุยกันเล่นๆ แต่เอามาใช้จริง เวลาเขามีลางสังหรณ์อะไรสักอย่าง อนันดาก็มาทำให้ดูว่าหนวดจะกระดิก เหมือนมีเรื่องร้ายๆ กำลังจะเกิด เหมือนเป็นเครื่องรับสัญญาณอะไรบางอย่าง แบบนี้ใน “ขุนพันธ์ 3″
อีกหนึ่งตัวละครหลักในภาคนี้คือ “ร้อยเอกทัตเทพ” ที่รับบทโดย “เอม ภูมิภัทร”
“ผู้กองทัตเทพ” เป็นนายทหารหนุ่มที่ถูกส่งมาทำภารกิจปราบโจรเชิ้ตดำ ซึ่งเราได้ “เอม ภูมิภัทร” มาเล่น คาแร็กเตอร์ของทัตเทพเป็นนายทหารที่สุภาพ เฟรนด์ลี แต่เวลาลุยก็จริงจัง เป็นตัวละครที่มีอุดมการณ์คล้ายๆ กันกับ “ขุนพันธ์” ตัวละครตัวนี้จะเป็นคนที่พูดแล้วขุนพันธ์เชื่อ เป็นทหารที่ไม่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำ แต่เขาก็ไม่ได้เพิกเฉย ไม่ได้ดูถูก ไม่ได้คิดว่ามันไร้สาระ เขาไม่ได้มีมิตินั้น เพียงแต่เขาเชื่อเรื่องยุทธวิธีมากกว่า เชื่อเรื่องการเมือง เชื่อเรื่องยุทธศาสตร์ ก็แบบทหารครับ เขามีความฉลาดทั้งบู๊และบุ๋น การวางแผน กลยุทธ์ เขาคือตัวละครที่ร่วมต่อสู้กับไปขุนพันธ์ ซึ่งถ้าถามว่าทำไมเราเลือกเป็นนักแสดงใหม่ จริงๆ เอมก็ไม่ได้ใหม่นะ เอมเป็น Rookie ที่น่าสนใจมากๆ ผมอยากร่วมงานกับน้องอยู่แล้ว เอมมีวิธีแสดงที่ดีมาก เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ผมว่าน่าจับตามอง เขาแสดงเป็นตัวละครทัตเทพที่เหนือความคาดหมาย เราไม่ได้อยากได้ภาพของทหารที่ดูแข็งไปหมด เราอยากได้ทหารที่มันซอฟต์ที่สามารถทำให้ขุนพันธ์ร่วมรบไปกับเขาได้ เป็นคนที่มีอุดมการณ์ มีความเห็นอกเห็นใจ และเข้ามาเป็นบัดดี้กับขุนพันธ์ได้ ซึ่งเอมทำได้ดีมากทั้งในแง่ของดราม่า ในแง่ของแอ็กชัน การปลดปล่อยอารมณ์ ทุกอย่างเลย เวลาเห็นเอมเข้าฉากกับอนันดาแล้วสนุก
หนังภาคนี้ยังมีตัวละครหลักฝ่ายหญิงคือ “สาวิตรี” ที่รับบทโดย “ฟ้า ษริกา”
ตัวละคร “สาวิตรี” เป็นคุณหมอสาวประจำชุมโจรครับ แบ็กกราวด์คือตัวละครตัวนี้ถูกลักพาตัวมาเป็นหมอในชุมโจร และด้วยความเป็นหมอ คนดี คนชั่ว ก็ต้องรักษา ไปๆ มาๆ ก็เกิดความผูกพัน เพราะฉะนั้นเราก็เลยอยากได้คนที่มีความอ่อนโยน ในขณะเดียวกันก็มีความแข็งแกร่ง และต้องมีหน้าตาเก๋ๆ ต้องสวย น้องฟ้าแสดงดีมาก มีเสน่ห์ ฟ้าเป็นคนที่แปลงร่างได้หลายอย่างทางด้านการแสดง หรือจะเอาเรื่องความทุ่มเท ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้สาหัสสากรรจ์นะครับ ขนาดฟ้ายังบอกว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเล่นอะไรที่มันโหดร้ายกันขนาดนี้ ดุเดือด เละเทะ แต่ฟ้าสู้นะ สู้แล้วสู้อีก ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานยังไงก็ลุยเต็มที่ เชื่อไหมว่าวันที่ชุมโจรโดนถล่ม สาวิตรีต้องเย็บแผลให้คนไข้ให้โจร แต่ในขณะเดียวกันอีกมือหนึ่งก็ต้องหยิบปืนมายิงสู้ด้วย ทั้งช่วยคนทั้งฆ่าคนในเวลาเดียวกัน มันย้อนแย้งในความรู้สึกมาก ตกลงแล้วเป็นหมอจะช่วยคนหรือฆ่าคนดี มันมีการต่อสู้กันในใจหลายมิติ ซึ่งฟ้าทำออกมาได้ดีตามคาแร็กเตอร์ของตัวละครตัวนี้ที่จะต้องเป็นนางฟ้าชุดขาว มือซ้ายถือเข็ม มือขวาถือปืน ในฉากที่เธอจะต้องเด็ดขาด เธอก็มีความเป็นนางโจรที่ต่อสู้ได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ขณะเดียวกันเป้าหมายสุดท้ายก็คือการช่วยคน ตัวละครของฟ้าเป็นตัวละครที่จะมาพลิกผันอะไรบางอย่างของตัวละครในเรื่องอย่าง “ขุนพันธ์” น้องทำได้ดีครับ ถือว่าเป็นอีกคนที่เป็นนักแสดงน้องใหม่ จริงๆ น้องก็เคยเล่นหนังเรื่อง “วอน (เธอ)” (2563) ซึ่งน้องก็ทำได้ดี ผู้กำกับของหนัง “วอน (เธอ)” ก็เป็นทีมงานเก่าของ “ขุนพันธ์” เรานี่แหละ
หนังภาคนี้ยังเป็นการเปิดตัว “ภรรยาของขุนพันธ์” ในเรื่องด้วย คือตัวละคร “ครูนุ่น” ที่ได้ “พลอย ชิดจันทร์” มารับบทนี้
เอาจริงๆ เราเลือกกันเยอะมากว่าใครจะมาเป็น “ภรรยาขุนพันธ์” สาเหตุหนึ่งที่เราเลือก “พลอย ชิดจันทร์” ก็เพราะว่าเขามีความเป็นคุณแม่ ตัวจริงเขาเป็นคุณแม่ เขาเข้าใจคำว่าครอบครัว คาแร็กเตอร์ของ “ครูนุ่น” คือดาวเด่นแห่งนครศรีธรรมราชที่ทำให้ “ขุนพันธ์” สามารถค้นพบด้านสว่าง ด้านที่มีความน่ารัก ทำให้ขุนพันธ์แสดงมุมที่อ่อนโยน โรแมนติก มีความเป็นมนุษย์ออกมา ขณะเดียวกันเธอก็ทำให้ขุนพันธ์มีความรู้สึกเกรงใจเมียนิดๆ โดยที่ไม่ต้องทำหน้ายักษ์ เราเชื่อว่าแรงชนแรงมันไม่ได้ ครูนุ่นต้องเป็นผู้หญิงที่ซอฟต์ๆ ซึ่งพลอยจะมีลักษณะอย่างนี้อยู่เยอะ มันเกิดจากประสบการณ์ที่เขาดูแลลูกทั้ง 4 คน แต่เขายังสวย ทุกคนก็รู้แหละว่าเขาดูแลตัวเองดีมากกับการที่เขาจะต้องดูแลเด็ก 4 คนไปด้วย มีความเป็นนางพญา มีความอ่อนหวาน และเธอผู้นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ขุนพันธ์เลือกที่จะกลับบ้านไปอยู่ที่ใต้ กับความรู้สึกว่าโอเค ไม่เป็นไร กูไม่อยากเป็นมือปราบแล้ว กูอยากเป็นพ่อคนธรรมดา อยากเป็นสามีที่ดี การใช้ชีวิตลงหลักปักฐานแบบนี้มันก็ดี ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งคือครูนุ่นก็รู้ว่าลึกๆ แล้วขุนพันธ์อยากจะออกไปปราบโจร เธอก็ไม่อยากจะกักขังเขาไว้เหมือนกัน แต่ตัวเองก็มีห่วง ซึ่งพลอยทำได้ดีมาก เล่นเก่งด้วย ทุกคนอาจจะอยากจะเชียร์ด้วยซ้ำไปว่า ขุนพันธ์ไม่ต้องไปเป็นมือปราบแล้วล่ะ ตรงส่วนนี้แทบจะเป็นหนังรักไปเลย
หนังยังมีตัวละครสมทบที่น่าจับตาอย่าง “เสือเจิด” ที่รับบทโดย “ฟิลลิปส์ ทินโรจน์” และ “จ่ามหา” ที่รับบทโดย “เม้ง ภูมิพัฒน์”
สำหรับ “ฟิลลิปส์” ที่รับทเป็นตัวละคร “เสือเจิด” ก็จะเป็นเสือหนุ่มคนหนึ่งในชุมโจร เป็นลูกน้องคนสนิทของ “เสือมเหศวร” เสือเจิดเป็นคนหนุ่มที่ในอดีตคือนักศึกษาที่ออกไปร่วมต่อต้านความอยุติธรรมบางอย่างบนท้องถนน และถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรก็เลยต้องมาอยู่ในป่า ซึ่งในชุมโจรจะแบ่งเป็นสองพวก เสือเจิดจะอยู่กับพวกที่เป็นเด็กนักศึกษาทั้งหลาย พวกนี้จะใส่เสื้อสีขาวเรียกว่าเป็น “โจรเชิ้ตขาว” เป็นคนหนุ่มสาวที่เป็นลูกน้องของเสือมเหศวร คนพวกนี้จะมีความหวัง อยากออกไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป เพราะฉะนั้นเสือเจิดจึงเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ควรจะต้องมาอยู่ตรงนี้ เขาควรจะได้ไปทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง เขาอาจจะมีความรัก อาจจะมีชีวิตที่ดีและสดใสกว่านี้ ถ้าเขาไม่ถูกแจ้งข้อหา ซึ่งการได้ฟิลลิปส์มา ผมเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ตอนทำหนัง “ขุนแผน ฟ้าฟื้น” (2562) เขาเล่นเป็น “ขุนช้าง” ฟิลลิปส์เป็นคนน่ารัก เฟรนด์ลี อยู่ในกองเขาจะสนุกสนาน เรื่องนี้เสือเจิดเป็นใบ้ เขาต้องใช้ภาษามือทั้งเรื่อง แล้วฟิลลิปส์เขามีทัศนคติดี เป็นคนที่ตั้งใจทำงาน เป็นตัวแทนความสดใสของวัยรุ่นที่ดี เรายังบอกกันอยู่บ่อยๆ ว่าแค่ฟิลลิปส์ยิ้มเฉยๆ สาวๆ ก็กรี๊ดแล้ว
ส่วนตัวละครอีกตัวหนึ่งคือ “จ่ามหา” ก็จะเป็นตัวละครที่เป็นคู่หูของ “ขุนพันธ์” เป็นตำรวจในท้องที่ซึ่งจะพาขุนพันธ์ไปสืบหาว่าพวก “โจรเชิ้ตดำ” ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน จ่ามหาจะเป็นจ่าที่ดูเชยๆ ตลกๆ ซึ่งมันสะท้อนภาพบางอย่างในตัวของขุนพันธ์ว่าจริงๆ แล้วตำรวจมันไม่ได้มีอยู่มิติเดียว มันไม่ได้มีแค่คนที่โหดๆ อย่างเดียวนะ แต่มันมีมุมแบบนี้ด้วย เราได้ “เม้ง” (ภูมิพัฒน์ ชาติสุริยเกียรติ) มาแสดงบทนี้ เราเคยทำงานกันมาตั้งแต่ซีรีส์ “Bangkok Breaking” (2564) เม้งตัวจริงเป็นมือกลองที่เก่งมากนะครับ เขาอยู่ในวง Desktop Error เป็นชาวร็อก แต่มีความสามารถในการแสดง เขามีความน่ารัก มีความทะเล้น มีความกวนๆ บางอย่าง ซึ่งเราตั้งใจไว้แล้วว่าภารกิจขุนพันธ์ที่ดูยิ่งใหญ่ แต่ได้ผู้ช่วยเป็นจ่ามหา ขุนพันธ์ก็ได้แต่มองตาปริบๆ เหมือนกันว่ากูจะรอดไหม
นอกจากนี้หนังยังอัดแน่นไปด้วยนักแสดงรับเชิญอีกคับคั่งด้วย
กลุ่มนักแสดงรับเชิญจะมีความหลากหลายมากที่เข้ามาร่วมทำให้ “ขุนพันธ์ 3” สมบูรณ์มากขึ้น อันนี้เป็นการรับเชิญทุกคนจริงๆ เหมือนงานเลี้ยงรุ่นครับ รุ่นใหญ่รุ่นเล็กมากันหมด ก็จะมีตั้งแต่รุ่นใหญ่สุดคือ “อาโต ยอดรัก” ที่เล่นหนังมาตั้งแต่ Good Morning Vietnam เคยเป็นตัวประกอบในหนัง Rambo อาโตเป็นโลโก้ของหนังไทยที่ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แกก็มาเล่นในบทเสือเฒ่านะครับ “พี่ฟ้า” ซึ่งตัวจริงเป็นกัปตันเครื่องบินก็มารับบทเป็นหนึ่งในกองโจร “สน เดอะสตาร์” ก็คัมแบ็กกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่จะกลับมายังไง ต้องไปดูกันในหนัง แล้วก็มี “พี่อุ๋ย นนทรีย์” ผู้กำกับในดวงใจของผมก็มารับบทเป็น บ.ก. หัวหน้างานของเสือมเหศวรที่อยู่ในคราบของนักข่าว ยังมีอีกหลายคนครับ มี “พี่หนึ่ง-ชลัฏ ณ สงขลา” มารับบทเป็นรองอธิบดีกรมตำรวจหัวหน้าคนใหม่ของขุนพันธ์ “พี่โอลิเวอร์ บีเวอร์” ตัวเองก็งานเยอะอยู่แล้ว ก็ให้เกียรติมารับเชิญเป็นเสนาธิการทหารใหญ่ ที่เข้ามาเป็นอริในบางเรื่องกับขุนพันธ์ และอีกมากมายหลายคนครับ ยังมี “พี่จิ๋ว-ปรีชา เกตุคำ” ซึ่งถ้าใครเคยดูหนัง “ไชยา” (2550) สมัยก่อน แกจะเล่นเป็นเฮียแป๊ะ ฝีไม้ลายมือแพรวพราว ส่วนใหญ่พวกเขาก็อยู่คู่หนังไทยกันมายาวนาน เหล่านี้คือตัวละครรับเชิญชุดใหญ่ที่มากันเป็นกองทัพ
หนังภาคนี้ยังยกกองไปถ่ายทำกันในหลายที่มาก มีทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก ซึ่งบางโลเคชันก็มีความโหดซ่อนอยู่ อย่างโลเคชันที่จังหวัดน่าน
คือในภาคนี้เราค่อนข้างซีเรียส เราบอกกับทีมงานว่าเราอยากให้โลเคชันเป็นเหมือนตัวละครตัวหนึ่งของหนังเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันต้องบอกถึงความเปลี่ยนแปลง ซึ่งในเรื่องเหตุการณ์มันเกิดที่ประมาณภาคกลางตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง เราเลือกโฟกัสไปน่าน เนื่องจากเราตั้งใจให้มันเป็นชุมโจรที่มันเข้าถึงยากมาก มันมีหุบเขาสูงล้อมรอบติดกันเป็นปราการล้อมไว้ และทางเข้าออกมีทางน้ำเป็นเส้นทางหลัก ซึ่งลำน้ำที่เข้าไปก็ลำบาก มีความเชี่ยวกราก ต้องล่องแพ เราเลือกไปถ่ายกันที่ “อุทยานแห่งชาติแม่จริม” เพื่อเอาแลนด์สเคป และเป็นฉากที่ต้องล่องแก่ง ผจญภัยกันเข้าไปก่อน กว่าจะไปเจอโจรได้ก็ต้องเจอกับความลำบากจากธรรมชาติของเกาะแก่งที่เขาเรียกว่าแกรนด์แคนยอนเมืองไทย ซึ่งทั้งสนุก ทั้งตื่นเต้น ทั้งน่ากลัวในเวลาเดียวกัน แต่เราก็ได้ภาพที่ดี ตอนเราไปถ่ายมันเป็นฤดูน้ำในช่วงปลายๆ ฝน น้ำมันยังหลากอยู่ ก็ค่อนข้างโหด คือเราไม่รู้ว่ามันจะมีหิน มีอะไรกระทุ้ง ก็ตกเรือกันไปมากมาย ต้องไปเรียนรู้วิธีการเซฟตี้ ซึ่งเราได้ขึ้นไปเวิร์กช็อปเรื่องนี้กันอยู่พักใหญ่ๆ ทั้งตัวทีมงานทุกคนที่ต้องขึ้นไปฝึกการพายเรือ หรือจะเป็นคนคัดเรือ คนพายเรือ เราก็ได้ผู้เชี่ยวชาญจากอุทยานจริงๆ มีคนบังคับทั้งเรือกล้องและเรือนักแสดง เราก็ให้เจ้าหน้าที่ร่วมเล่นอยู่ในฉากนั้นเลย เราต้องการคนที่เก่งจริงและเซฟตี้ เพราะเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมันอันตรายมากๆ แต่ก็คุ้มค่าครับ มันก็ออกมาเป็นภาพที่สนุกสนาน รู้สึกได้ถึงความโหดร้ายและความสวยงามในเวลาเดียวกัน
อีกโลเคชันหนึ่งที่ถ่ายทำกันที่น่านคือที่ “วังศิลาแลง” ซึ่งทั้งโหดและเสี่ยงไม่เบาเหมือนกัน
ใช่ครับ เรายังมีไปถ่ายกันที่ “วังศิลาแลง” อยู่ที่อำเภอปัว ซึ่งมีความยากในแง่ของความชัน ความสูง เราต้องขึ้นไปทำงานเสี่ยงอันตราย แต่มันสวยงามมาก มันเป็นตรอกหิน เป็นจังหวะที่ตัวละครถูกไล่ล่าโดยอะไรบางอย่าง ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคือภูตผีปีศาจหรือตัวอะไรกันแน่ พวก “ทัตเทพ” ก็จะวิ่งหนีกันมา แต่ว่าความสวยมันก็แลกมาด้วยความยาก คือไอ้ตรอกหินเนี่ย วิ่งๆ ไปมันก็ทำงานยากอยู่แล้ว และมันยังเป็นตรอกชันสูงขึ้นไปอีก ทำงานไปทีมงานหลายคนก็เกือบจะลื่นพลัดตกลงไป ตัวผมเองก็ต้องเกาะอยู่ริมหน้าผาและมีมอนิเตอร์เล็กๆ อันหนึ่งห้อยคอ แล้วก็ล็อกตัวเองกับผาไว้ งานถ่ายทำทุกอย่างอยู่ข้างล่าง พลาดนิดเดียวอาจเป็นอันตรายได้ ต้องมีสติมากๆ ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะไปถ่ายทำกัน มันก็เพิ่งมีคนลื่นตกลงไปบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่เราก็ทำงานด้วยความระมัดระวังแล้วก็ได้ภาพที่สวยจริง
แต่โลเคชันหลัก 70 เปอร์เซ็นต์ของหนังภาคนี้ก็คือ “โรงงานกระดาษ” ที่เมืองกาญจน์
อันนั้นจะเป็นในส่วนของ “ชุมโจร” เลยครับ ซึ่งเราไม่ได้มองว่าชุมโจรนี้จะต้องเป็นบ้านหลังคามุงจากอะไรแบบนั้น เราคุยกับโปรดักชันดีไซน์ “คุณเดอร์” (ธนะ เมฆาอัมพุท) ว่าเราอยากได้ตึกเก่า เพราะในเรื่องชุมโจรแห่งนี้มันเป็นสถานที่ก่อสร้างที่เคยมีโครงการว่าเขาจะทำเมืองแห่งใหม่กันขึ้นมา แล้วมันเกิดการร้างรากันไป พวกโจรก็มายึดชุมชนนี้ เป็นภาพตึกเก่าโบราณ ซึ่งเราไปเลือกโลเคชันที่กาญจนบุรี เมื่อเราได้แลนด์สเคปจากน่านทั้งหมดแล้ว เราก็ไปได้ตัวชุมชนที่โรงงานกระดาษที่กาญจนบุรี ในพื้นที่ 4 ไร่ของโรงงานกระดาษ เราก็เนรมิตแปลงร่างให้กลายเป็นชุมโจรแห่งนี้ขึ้นมา ก็สามารถทำได้อย่างสวยงามแปลกตา ผมคาดหวังไว้ว่าจะได้ภาพแบบพอล่องเรือผ่านป่าดงมาอย่างลำบากลำบน เมื่อโผล่เข้ามาทุกคนจะร้อง เฮ้ย…มันมีเมืองแบบนี้อยู่กลางหุบเขาได้ยังไง เราก็เนรมิตภาพนั้นขึ้นมาได้สำเร็จ ทั้งงานของฝ่ายศิลปกรรมเอง บวกกับงานทำซีจีไอเสริมเข้าไปด้วย บวกกับโลเคชันที่เราเชื่อว่าเราโชคดีที่ได้ถ่ายทำที่นี่ เพราะทันทีที่เราถ่ายทำเสร็จ เขาจะปิดสถานที่นี้ จะมีการเทกโอเวอร์แล้วถูกทำไปเป็นอย่างอื่น เราจึงเป็นหนังเรื่องท้ายๆ ที่ได้ถ่ายทำในสถานที่นี้ในรูปแบบเดิม
คนดูจะได้เห็นอะไรใน “ชุมโจร” แห่งนี้บ้าง
ต้องบอกก่อนว่าไฮไลต์ของหนัง “ขุนพันธ์ 3” คือ “เสือ” เราจะเห็นว่าเมื่อเราเข้าไปอยู่ในชุมโจร มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบ “เสือดำ” ไปหมด มันมีเสือรุ่นใหญ่ซึ่งก็เป็นพวกเสือเฒ่า เป็นพวกโจรรุ่นใหญ่ที่แก่แล้ว ประสบการณ์สูง พวกนี้จะเป็นหัวหน้าศาลเตี้ยในชุมโจร ซึ่งคนไทยจะมีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ก็จะยกให้พวกเสือเฒ่าเป็นผู้ตัดสินคดีต่างๆ ขณะเดียวกันก็จะมีพวกเสือดำ พวกเสือดำคือพวกเชิ้ตดำ พวกนี้จะเป็นพวกนักเลง เกเร เรียกว่าเป็นโจรโดยสายเลือด ไม่เคยคิดจะมอบตัว พวกเขาคิดกันว่ายังไงพวกกูก็ต้องโดนจับตายกันแน่ๆ แต่พวกนี้จะรักพวกพ้อง พร้อมจะสู้ตายกันหมด พร้อมจะมีเรื่อง พร้อมจะปะทะ นี่ก็จะเป็นคุ้มของพวกเสือดำ
ขณะเดียวกันก็จะมีฝั่งเสือวัยรุ่นก็คือเสือเชิ้ตขาว หัวหน้าคุ้มก็จะเป็น “เสือมเหศวร” พวกนี้จะใส่เชิ้ตขาว จะเป็นสัญลักษณ์ของพวกนักศึกษาที่หนีเข้าป่า ต้องกลายมาเป็นโจร คนพวกนี้ไม่ได้คิดจะเป็นโจรไปจนวันตาย พวกเขาคิดที่จะกลับไปมอบตัว แต่จะกลับไปยังไง เพราะถูกแจ้งข้อหาว่าเป็นผู้ร้ายของรัฐไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีความหวัง ฝั่งนี้จะเต็มไปด้วยกิจกรรม ความรักกัน การเต้นรำ มันจะเป็นมุมชีวิตอีกมุมหนึ่งของชุมโจร เป็นคนหนุ่มสาวที่เข้ามาอยู่ร่วมกัน เราก็จะได้เห็นหลายๆ มิติ ขณะเดียวกันก็จะมีพวกชาวบ้านที่จับพลัดจับผลูกลายเป็นโจร พวกนี้ก็จะเข้ามาเติมเต็มสังคมในชุมเสือ มีตลาดย่อยๆ มีพ่อค้าแม่ขาย ในชุมโจรนี้จะมีทุกอย่าง มีร้านตัดเสื้อ ร้านซ่อมอาวุธ ร้านตัดผม โรงครัว โรงพยาบาลซึ่งจะเป็นจุดเดียวที่ไม่ว่าใครจะเป็นอริกับใคร “หมอสาวิตรี” รักษาหมด แล้วก็จะมีหน่วยพยาบาลและหมออยู่หน่วยหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสังคมจำลองโดยย่อที่พยายามจะสร้างเป็นโมเดล ซึ่งตามเรื่องแล้ว “เสือฝ้าย” พยายามวางโมเดลสังคมที่เสมอภาคเอาไว้ แม้จะเป็นโจรก็ตาม เพราะว่าสังคมภายนอกมันมีความเหลื่อมล้ำ เขาก็เลยพยายามจะสร้างสังคมสมมตินี้ขึ้นมา
ชุมโจรแห่งนี้เกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ขึ้นหลายเหตุการณ์มาก โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่นำไปสู่ฉากแอ็กชันเดือดๆ ในเรื่อง
มันจะมีฉากหนึ่งในหนังเป็นฉากดวลกัน ซึ่งเหตุการณ์มันเกิดขึ้นจากการตัดสินต่อหน้าศาลเตี้ยว่าให้มีการดวลกันระหว่าง “ขุนพันธ์” และ “เสือดำ” เราก็จะได้เห็นการต่อสู้กันทุกรูปแบบ อาวุธประจำตัวของเสือดำจะมีปืนลูกซองสั้นเหน็บไว้ แล้วก็มีปืนพกสั้นอีกคู่หนึ่ง เขาใช้ทั้งสามอย่างราวกับเป็นอวัยวะ แต่จะใช้ลูกซองสั้นเป็นหลัก เพราะว่ามันรุนแรงและหวังผล ขณะเดียวกันขุนพันธ์ใช้แค่ปืนประจำตัวของเขากระบอกเดียว เราก็มอบโจทย์นี้ให้กับคิวบู๊ว่ามันจะเกิดการต่อสู้กันจากการใช้ปืน ใช้ปืนลูกซองสั้นกับปืนสั้นดวลกันไปถึงการดวลด้วยอาคม ภาพที่คิดเอาไว้คือการได้เห็นฝุ่นเสกของเสือดำ ซึ่งมันสามารถสลายกระสุนได้จริง หรือการทำลายมนตร์ขุนพันธ์ ถ้าขุนพันธ์หายตัว เสือดำซัดฝุ่นนี้ไป ร่างขุนพันธ์จะปรากฏขึ้น มันก็จะแก้เหลี่ยมแก้ลำกันไป จนกระทั่งทั้งสองตัวละครบอกว่างั้นดวลกันแบบไม่ต้องมีอาคม ก่อนจะเป็นการดวลแบบมือเปล่า ก็ไปถึงคนหนึ่งมีมีด เสือดำได้มีดมา ขุนพันธ์ก็คว้าได้เป็นไม้ตะพด ก็จะได้โชว์ลีลาไม้ตะพด คือสมัยก่อนลูกผู้ชายกับไม้ตะพดมันเป็นอาวุธคู่มือกัน ก็อยากจะเห็นลีลาไทยๆ แบบนี้ที่เราเอามาทำเป็นฉากต่อสู้สนุกๆ แล้วก็ได้เห็นทริกอะไรบางอย่างที่เกิดการประลองกัน ซึ่งจะเป็นยังไงต้องไปดูในหนัง เราก็ทำการบ้านกันเยอะ คิวบู๊ก็เยอะ และถ่ายทำกันถึงดึก ก็เรียกว่าสมบุกสมบันมาก
ในฉากที่ว่านี้เป็นการปะทะเดือดระหว่างตัวละคร “อนันดา” กับ “โตโน่” เป็นอย่างไรบ้าง
ตัว “โตโน่” กับ “อนันดา” ทุกครั้งที่เข้าฉากด้วยกันเหมือนต่างคนต่างให้เกียรติกันแต่เต็มที่ เขาจะขอโทษขอโพยกันทุกครั้งนะครับ เวลาเขาพลาดหรืออะไรทำนองนี้ แต่พอพวกเขาเข้าฉาก ทันทีที่สั่งแอ็กชัน ไม่มีใครเป็นโตโน่ ไม่มีใครเป็นอนันดา พวกเขาเป็นตัวละครเลย ก็จะอัดกันเต็มที่ “เสือดำ” ก็จะปล่อยพลังแห่งความเกลียดและแค้นออกมาเต็มที่ ในขณะเดียวกัน “ขุนพันธ์” เองก็จะต้องรับลูกได้ และต่อสู้เต็มที่เหมือนกัน ในฉากนี้จริงๆ นอกจากแอ็กชันแล้วมันยังมีดราม่าสำคัญที่ซ่อนอยู่ในฉากนี้ด้วย ซึ่งทำให้ขุนพันธ์เข้าใจความเกลียดชังของตัวเสือดำที่จะอธิบายว่าทำไมเสือดำเกลียดตำรวจขนาดนี้ มันก็เลยมีหลายเลเยอร์ หลายมิติ ซึ่งเหนื่อยครับ ทำงานเสร็จก็หมดสภาพกันเลย เพราะเขาต้องใช้พลังกันเยอะมาก
แต่ที่สุดของที่สุดของฉากแอ็กชันโคตรเดือดในภาคนี้ต้องยกให้ “ฉากประจัญบานสุดท้าย” (The Last Battle) ซึ่งเกิดขึ้นที่ชุมโจรแห่งนี้เช่นกัน
ใช่ครับ มันเป็นฉากใหญ่ ฉากสำคัญสุดเลย เป็นฉากประจัญบานที่จะเป็นการถล่มชุมเสือครั้งสุดท้าย เหล่าเสือทุกคนจะต้องปกป้องผู้คนที่ไม่ควรจะต้องตายให้หลบลงไปอยู่ในหลุมหลบภัย และพวกเขาก็ออกมาเผชิญหน้าประจัญบาน มันคือการรวมพลครั้งสุดท้าย เป็นการส่งคนดูกลับบ้าน ซึ่งด้วยความที่เป็นไตรภาคในรอบ 10 ปี มันก็สมควรที่จะต้องเต็มที่ เพราะงั้นตั้งแต่ภาพวาด ภาพฝันที่เขียนบทมา จนสเก็ตช์ออกมาเป็นสตอรีบอร์ด การไปดูพื้นที่ พอเราไปสเกาต์ ทุกคนก็มองผมแล้วพูดว่าเอาจริงดิพี่ มันจะได้เหรอ เราก็บอกว่าเราสู้ไปให้สุดดีกว่า เราเชื่อว่านี่คือของขวัญเดียวที่เราจะให้คนดูได้ในฐานะที่เขาให้เกียรติหนังเดินทางมาถึงสิบปี เราคงตอบแทนเขาด้วยสิ่งนี้แหละ มันจึงเป็นฉากที่รวมตัวนักแสดงทั้งหมดทั้งมวลอยู่กันในฉากนี้เต็มไปหมด เป็นฉากสงครามที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์มากมาย การเสี่ยงอันตรายมากมาย ไหนจะมีงานซีจีที่แต่ละคนมีวิชาอาคมที่จะเอาออกมาสู้อีก ท่ามกลางความร้อนประมาณ 42 องศาของเมืองกาญจนบุรี แต่ไม่มีใครถอยเลยจริงๆ เพราะเวลาที่เราฝัน เมื่อเราทำเราก็อยากให้มันออกมาดีที่สุด ถ้าฝันใหญ่คนเดียวมันเรียกว่าเพ้อเจ้อ แต่พอฝันใหญ่พร้อมกันเป็นร้อยคน มันก็เป็นไปได้นะ
เพราะฉะนั้นพอมาถึงภาค 3 การรบพุ่งครั้งสุดท้ายเรียกว่าเป็นการปิดไตรภาคครั้งนี้มันถึงได้รวมความยากของทุกองค์ประกอบการทำงานของหนัง สลิง เอฟเฟกต์ ม้า รถ คน ยันเซฟตี้ อันตรายทั้งหลายทั้งปวง และเรื่องราวดราม่า มันจำเป็นที่เราจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนต้องเชื่อว่ามันมีคุณค่า ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เมื่อผมฉายภาพนั้นออกไปแล้วทุกคนอยากเห็นมันร่วมกันทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทีมงานอาร์ต ทีมเอฟเฟกต์ ทีมคิวบู๊ ทีมสตันต์ทุกคนที่พร้อมเจ็บ พร้อมลุยกันหมด ซึ่งเวลามีคนมากมายมหาศาลขนาดนี้ ความแม่นยำเป็นสิ่งจำเป็น เรายิ่งต้องนิ่ง ต้องสงบ ต้องเด็ดขาด แล้วเราต้องมีความยืดหยุ่นอันนี้สำคัญมาก บางงานมันยังไม่ได้ก็ต้องปล่อย เพราะมันมีของข้างหน้า เพราะฉากที่ผมว่ามาทั้งหมดมันไม่ได้ถ่ายวันเดียวจบ มันไปได้ทีละนิด วันหนึ่งเราได้ 4-5 คัตที่สมบูรณ์ เราก็ดีใจแล้ว เพราะมันไม่ง่าย อย่างเอฟเฟกต์ที่ฝังอยู่กับพื้นพอโดนความร้อน 42 องศาของเมืองกาญจนบุรี มันจุดระเบิดเองนะ อยู่ดีๆ ระเบิดตู้ม มันมีเหตุที่นอกเหนือการควบคุมอีกเยอะมากที่ต่อให้เราสู้ มันก็สู้กลับ แต่ก็ต้องลุยกัน
ขณะที่ตัว “ขุนพันธ์” เอง นอกเหนือจากต้องปะทะกับเสือร้ายแล้ว ก็ยังต้องเผชิญหน้ากับ “จระเข้ยักษ์” รวมถึง “ภูตผีปีศาจ” อีกด้วย เป็นการปิดไตรภาคที่จัดหนักจัดเต็มกว่าทุกภาคอย่างแท้จริง
“สัตว์ เด็ก เอฟเฟ็กต์ สลิง” ภาคนี้มีครบเลยครับ เพื่อความคุ้มค่าอย่างมหาศาลที่เราคิดว่านอกจากจะมีแอ็กชันกับคนแล้ว ในภาคนี้มันมีความพิเศษขึ้นมาคือสิ่งที่เราเรียกว่าการต่อสู้กับอสูรกาย ซึ่งหนึ่งในวิชาอาคมที่น่ากลัวที่สุดคือ “มนตร์จระเข้” แปลงร่างกายเป็นจระเข้เจ้าที่ ใช้จระเข้เป็นอาวุธ บวกกับมีมนตร์ปลุกผี ปลุกกองทัพผีขึ้นมา คือนอกจากจะมีคนลุยกันแล้ว มันยังมีทั้งจระเข้ มีทั้งผี ซึ่งเฉพาะงานจระเข้เราเตรียมงานกันมานานมาก ตั้งแต่ม็อกอัปจระเข้ที่เราต้องการให้มันเหมือนมากที่สุด มีการเทสต์การเคลื่อนไหวการลงน้ำว่ามันต้องมีมูฟเมนต์ มันต้องเหมือนจริงขนาดไหน บวกกับงานซีจีไอที่เราจะต้องขึ้นโมเดลทำงานกัน เรื่องจระเข้เราคุยกันมาตั้งแต่ต้น เราเตรียมงานกันมาตั้งแต่ก่อนจะเปิดกล้อง เพราะมันต้องใช้เวลาทำงานยาวนานมากตั้งแต่ออกแบบว่ามันจะต้องมีขนาดไหน แล้วเราซีเรียสที่สุดกับการเคลื่อนไหว เราไม่อยากได้โฟมลอยน้ำ เราอยากได้การเคลื่อนไหวที่ทำให้รู้สึกว่าเฮ้ย…คนไทยก็ทำได้ มันเป็นความทะเยอทะยาน ความพยายาม แต่โอเคแหละ เพื่อความสนุกในตัวหนังด้วย แต่ว่าในแง่ของคนทำงาน มันมีความท้าทาย มันเป็น Challenge ของคนทำงาน เพียงแต่ไม่ใช่ผมคนแรกที่ทำหรอก แต่ที่จะทำให้เราอยู่ในความทรงจำได้คือมันต้องประณีต มันต้องเหมือน และเราเชื่อว่าฝีไม้ลายมือของทีมซีจีวิชวลเอฟเฟกต์ในประเทศไทยวันนี้สามารถทำได้ เครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีมันทำให้เราฝันได้ เรื่องจระเข้ก็เกิดขึ้น
หนังภาคนี้ยังเผยให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของ “ดาบแดง” ในการห้ำหั่นกับเหล่าภูตผีปีศาจด้วย
อันนั้นก็จะเป็นในส่วนการสร้าง “กองทัพปีศาจ” ที่จะต้องต่อสู้กับ “ขุนพันธ์” โดยขุนพันธ์ใช้ “ดาบแดง” ต่อสู้กับกองทัพปีศาจที่ผุดกันขึ้นมาและไต่กันมาทุกทิศทุกทาง มากันเป็นร้อยตัวเลย พวกนี้ก็ต้องสร้างขึ้นมาหมด ต้องใช้เวลา ใช้การดีไซน์ ใช้ความแม่นยำในการทำงานกับวิชวลเอฟเฟกต์ หนังเรื่องนี้มันเลยเป็นการทำงานทุกเทคนิคจริงๆ ผมเป็นไดเร็กเตอร์ที่หน้ามอนิเตอร์ แต่จะมีกองทัพทุกตำแหน่งในกองถ่าย จะมีการพูดคุยกันเยอะมากว่ามันไปได้อย่างนี้นะ แบบนี้เราจะต้องทำยังไง เราจะต้องเคลื่อนไหวแค่ไหน มันก็เลยไม่ง่ายที่จะกระดึ๊บๆ ไปข้างหน้าได้ หมายความว่าสิ่งหนึ่งที่ผมทำคือการตัดสินใจว่าผมเลือกแบบนี้ เอาแบบนี้ เราวางแผนกันมาแล้ว เราเดินๆๆ ในเวลาที่เรามีจำกัด เราก็พยายามทำให้ได้เยอะที่สุด ซึ่งกองทัพปีศาจมันเป็นฉากที่มาซับเซตฉากแอ็กชันสุดท้าย การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายขุนพันธ์ผู้มีดาบแดงกับกองทัพปีศาจ วิชวลที่เราวางไว้คือ ทุกครั้งที่มันมาจะเกิดเป็นหมอกปกคลุมไปหมด และพวกนี้จะเคลื่อนไหวขึ้นมาจากหมอก ผุดออกมาจากดินบ้าง มันมาจากทุกทิศทุกทางไต่กันมา ภาพแรกที่เราเห็นมันเหมือนแมลงสาบ เหมือนปลวกที่มันออกมาจากรูโน่นรูนี่ออกมากันดำทะมึนท่ามกลางไอ้หมอกๆ ที่ทำให้สงสัยว่ามันตัวอะไรวะ สักพักหนึ่งมันกระโจนเข้าใส่ มันก็จะมีอันตรายมีความน่ากลัว มันเป็นการทำงานร่วมกันทั้งซีจีไอบวกกับเมกอัปเอฟเฟกต์ ซึ่งเราทำงานกับ “ไช้” (อาภรณ์ มีบางยาง) มือเมกอัปเอฟเฟกต์ที่ทำงานกันมาหลายเรื่องแล้ว ก็จะใช้เวลาในการทำงานอย่างประณีต สำคัญคือเวลาเราแต่งมันต้องทาดำทั้งตัว ต้องทาเป็นสิบๆ ตัว บวกกับมนุษย์สิบคนนี้ คุณทาสีดำทั้งตัวในความร้อน 42-43 องศา มันทรมานมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสตันต์ซึ่งสมบุกสมบันมาก แต่เพื่อจะให้ได้ภาพการทำงานของดาบแดงผจญกับกองทัพผี ซึ่งปีศาจพวกนี้พอบุกเข้ามา อาวุธธรรมดาทำอะไรไม่ได้ อย่างเดียวที่จัดการมันได้คือดาบแดง มันเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นอาคมของดาบแดง อย่างในภาค 2 เราเห็นดาบแดงแค่ปัดกระสุนได้ แต่ภาคนี้เราจะเห็นมันสู้กับผีแล้ว มันก็จะเป็นอีกดีกรีหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นฉากที่สนุกเลย แต่ทำยากพอสมควร
10 ปีแห่งผลงานแอ็กชันไตรภาค ความเป็นหนังแอ็กชันในแบบฉบับ “ขุนพันธ์” มัน “ไม่ได้สร้างกันง่ายๆ” และ “ไม่ได้มีให้ดูกันบ่อยๆ”
หนังอย่าง “ขุนพันธ์” มันมีทั้งความเป็นเอพิก มีความเป็นหนังคอสตูมดีไซน์ มีวิชวลหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม มันหลากหลายมาก จริงๆ แล้วมันคือการผสมผสานของหนังหลายๆ แบบที่มันมาเจอกับ Thai Culture แล้วมันกลายเป็นแอ็กชันไทยๆ ซึ่งมันก็ดันมีความ Weird ของภาษาหนังบางอย่างที่ใส่เข้าไปได้ เพียงแต่ว่าเราอาจไม่ค่อยเห็นผลิตกัน เพราะว่ามันทั้งยากและเหนื่อย มันหนักในทุกองค์ประกอบ เราวางมันอย่างละเอียดทุกอย่าง เราเห็นแม้กระทั่งว่าสกอร์ธีมของดนตรีก็เหมือนสมัยเด็กๆ ที่เราเคยได้ยินเสียงดนตรีประกอบของ Indiana Jones ภาพ “อินเดียนา โจนส์” มันก็ปรากฏขึ้นมาในสมองเราทันที แล้วเราก็ใฝ่ฝันว่าเราอยากทำแบบนั้นให้มันเกิดขึ้นในประเทศนี้กับหนังไทยบ้าง เมื่อไหร่ที่ธีมเพลงขุนพันธ์ขึ้นมาก็เฮ้ย…ภาพของขุนพันธ์มันปรากฏขึ้นในหัวของเด็กๆ ในเจเนอเรชันใหม่ๆ ขึ้นมาเลย หน้าอนันดามีหนวดเขี้ยวโผล่ขึ้นมาเลย มันคือ Value ของงานชิ้นนี้ที่พวกเราลงแรงลงใจที่เราจะทำกันไป เพราะฉะนั้นการปิดท้ายไตรภาคของขุนพันธ์นี้ถึงต้องใช้เวลา 10 ปีในการที่เรากรุยทางกันมาจนเราปิดผนึกมันได้อย่างเต็มที่ และเราเชื่อว่ามันเป็นการปิดเพื่อเติบโตมากกว่าในอนาคต มันคือหนึ่งในความหลากหลายของหนังไทยที่มีทั้งกลิ่นอายความเก่าและความใหม่ แต่คำว่าเก่าไม่ได้แปลว่ามันต้องเชย อย่างบางทีเราหยิบยืมภาษาหนัง รูปแบบของความเก่ามาใช้ แต่ประเด็นที่เราพูด เราเชื่อมั่นว่ามันไม่เชย มันทันสมัย มันเป็นปัจจุบันมากๆ ด้วยซ้ำ ต่อให้มันเป็นหนังพีเรียดก็ตาม เพราะฉะนั้นก็ฝากขุนพันธ์ไว้ด้วยนะครับ “ขุนพันธ์ 3” ครับ ฉลอง 10 ปี ยินดีนำเสนอจริงๆ ครับ