นับเป็นอีกหนึ่ง “ปรากฏการณ์สำคัญของภาพยนตร์ไทย” สำหรับ 10 ปีแห่งการเดินทางไกลอย่างเต็มภาคภูมิของไตรภาคภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่ไทยเรื่อง “ขุนพันธ์” ที่ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่สุดในชีวิตคนทำหนังของ “โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ” ผู้กำกับหนังไทยมือฉมังพร้อมทีมงานมืออาชีพทุกคนที่ล้วนทุ่มเททั้งกายและใจในการปลุกปั้นและสร้างสรรค์โปรเจกต์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ให้กลายเป็นผลงานที่น่าจดจำของวงการภาพยนตร์ไทยมาได้ตลอดระยะเวลาร่วมสิบปี
จากแรงบันดาลใจในชีวประวัติของ “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” มือปราบหนวดเขี้ยวหนังเหนียวในตำนานได้ต่อยอดมาสู่จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่ที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยที่มาพร้อมเรื่องราวอันน่าติดตามของการปราบเหล่าเสือโจรร้ายด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่เต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อยึดมั่นในความถูกต้อง แรงศรัทธาแห่งความยุติธรรม และมีวิชาอาคมสุดคงกระพันของนายตำรวจผู้แกร่งกล้าหาใครเทียบได้ในยุคนั้นนามว่า “ขุนพันธ์”
“ผมรู้สึกว่าชีวิตของ ‘ท่านขุนพันธ์’ เป็นแรงบันดาลใจที่สามารถทำเป็นโปรเจกต์หนังที่จะสะท้อนแง่มุมอย่างที่เราต้องการได้ มันมีความไทยๆ มีความเอ็กโซติก และการพูดเรื่องมิติของการเมือง มิติของความเชื่อ มิติของศรัทธา และความเป็นมนุษย์ เรื่องราวของขุนพันธ์มีครบให้เราเปิดประเด็นเล่นได้ ก็เลยขออนุญาตกับที่บ้านท่านตรงๆ ว่าเราไม่ได้ทำหนังชีวประวัตินะ เราทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ไทยๆ ฮีโร่ไทยมาจากไหน ก็มาจากการพูดคุยกับทาง ‘เสี่ยเจียง’ (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ตอนนั้นที่คุยกันเสี่ยก็บอกว่าทำไมมันไม่มีหนัง 007 แบบไทยๆ ซึ่งผมเข้าใจความหมายของเสี่ยเจียงดี มันหมายถึงตัวละครที่มีมิชชันบางอย่างที่สามารถทำเป็นซีรีส์ต่อไปได้เรื่อยๆ ถ้า 007 มีอาวุธไฮเทค หนัง ‘ขุนพันธ์’ ก็จะมีไสยศาสตร์แปลกๆ ใหม่ๆ ส่วนที่หนังทำมาตลอดมันสะท้อนสภาพบริบททางการเมือง ความเชื่อของผู้คน บางทีความศรัทธาก็ถูกท้าทาย ในภายภาคหน้าเมื่อผมทำสามภาคเสร็จ ต่อไปเราอาจจะเปลี่ยนตัวขุนพันธ์ก็ได้ นักแสดงรุ่นใหม่ๆ อาจจะมาเล่นเป็นขุนพันธ์ และผู้กำกับคนอื่นอาจจะมาทำขุนพันธ์ก็ได้ มันเหมือนเป็นการเซตอัปอะไรบางอย่าง เรารู้สึกว่ามันเป็นคุณค่าแบบที่หนังไทยควรมี ก็เลยรู้สึกว่าเป็นเกียรติและท้าทายที่เราทำอย่างนี้ได้ในวงการหนังไทย”
จากความมุ่งมั่นแรงกล้าในภาคแรก สานต่อความสำเร็จทวีคูณในภาคสอง ล่าสุดพร้อมส่งต่อความสนุกสุดมันส์ระทึกสู่บทสรุปสุดพีกปิดไตรภาคอย่างสมศักดิ์ศรีใน “ขุนพันธ์ 3″ ผลงานชิ้นเอกที่กลั่นกรองจากประสบการณ์ล้ำค่าทั้งหมด และถ่ายทอดจินตนาการเป็นวิชวลแปลกต่างสุดตระการตา ผ่านบทภาพยนตร์คุณภาพ ทีมนักแสดงฝีมือฉกาจ ทีมงานเบื้องหลังมืออาชีพ โลเคชันสุดละเมียด ครบทุกรายละเอียดที่ตอบโจทย์เรื่องราวเต็มร้อยทุกขั้นตอน และที่ขาดไม่ได้กับฉากแอ็กชันสุดเข้มข้นในการเผชิญหน้ากับบททดสอบครั้งสำคัญจากศัตรูตัวร้ายที่พร้อมจะกลืนกินจิตวิญญาณและท้าทายความศรัทธา โคตรเดือดไม่แพ้สองภาคแรกเลยทีเดียว
“‘ขุนพันธ์ 3′ คือการครบรอบ 10 ปี เป็นการปิดไตรภาคที่รวมความยากทุกองค์ประกอบของการทำหนัง มันเป็นโปรเจกต์ที่เราต้องให้เครดิตกับทีมงาน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือเมื่อเราเรียกรวมตัวทีมงานที่ทำด้วยกันมาตั้งแต่ภาค 1 ทุกคนก็รีบกลับมารับ มันเกิดความผูกพันในแง่ของการทำงาน หรือแม้กระทั่งคนรุ่นใหม่ก็อยากเข้ามาร่วมใน ‘จักรวาลขุนพันธ์’ ในภาคนี้เราจะได้เห็นมิติที่แตกต่างไปจากในภาค 1 และภาค 2 ผู้ชมจะได้พบว่าแท้จริงแล้ว ‘ขุนพันธ์’ ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรัก ความกลัว ความสมหวัง ความผิดหวังเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เขาไม่ใช่ผู้วิเศษวิโส เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขายึดมั่นในใจที่เป็นประเด็นหลักของเรื่องก็คือ เมื่อความดีมันถูกตั้งคำถาม เขาจะยังยึดเหนี่ยวอะไร ในเมื่อความดีเองก็ไม่คงกระพัน งั้นอะไรกันแน่ที่มันคงกระพัน หนังภาค 3 นี้จะมีคำตอบ ขุนพันธ์จะให้คำตอบกับผู้ชมว่าเขากำลังจะส่งต่ออะไรไปในภายภาคหน้า ซึ่งมันน่าจะเป็นคำตอบที่ใช้ได้กับสังคมปัจจุบันที่ความดีมันถูกตั้งคำถาม ถูกแอบอ้างโดยคนที่สมมติว่าตัวเองเป็นคนดีและบิดเบือนคำว่าความดี การที่ขุนพันธ์ถูกตั้งคำถามเช่นนั้น ก็เป็นคำถามที่คนปัจจุบันถามตัวเองเหมือนกันว่าเราควรจะยึดถืออะไรในสังคมที่มันบิดเบี้ยวขนาดนี้ อะไรที่เราจะยังศรัทธาได้อยู่
โดย ‘ขุนพันธ์ 3′ จะเป็นหนังที่เราดีไซน์วิชวลใหม่ๆ หาวิธีการถ่ายทำใหม่ๆ อย่างเช่น ฉากแอ็กชันบนรถไฟที่มันเป็นปมจากภาค 1 คำว่าลองเทกที่เราพยายามทำ มันไม่ได้ทำงานเต็มที่ แต่ในภาคนี้มันจะเป็นลองเทกที่เราซ้อมและคำนวณเวลาแม่นๆ แล้วว่าแอ็กชันฉากนี้ทั้งแผงจนเราคัตเนี่ย มันจะกินเวลา 2-3 นาที เพราะฉะนั้นเราต้องซ้อมให้มันเป๊ะๆ เล่นให้มันเป๊ะๆ เพื่อที่เราจะไม่ตัดทิ้งเลย เราจะใช้ก้อนนี้ทั้งก้อน หรือวิชวลซีจีไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของดาบแดง การต่อสู้ในที่มืด หรืองานสร้างซีจีปีศาจ การเผชิญหน้ากับจระเข้ แล้วก็เรื่องมนตร์คาถาแต่ละคนที่จะมีคาแร็กเตอร์แตกต่างกันไป เช่น ‘เสือมเหศวร’ จะมีวิชาเบี่ยงกระสุน เขาจะมีพระมเหศวรอยู่ที่หน้าอก เมื่อไหร่ที่หยิบขึ้นมาคาบและวิ่งฝ่ากระสุนเข้าไป กระสุนที่วิ่งสวนมาจะแฉลบออกข้างตลอด เป็นเหมือนอุโมงค์กระสุน หรือวิชาซัดฝุ่นของ ‘เสือดำ’ ที่พอซัดฝุ่นไปกระสุนที่เข้ามาปะทะกับฝุ่นก็จะแตกสลาย พวกนี้ก็จะได้เห็นกันครับ และมีอีกหลายๆ อย่างครับ เรียกว่าเห็นกันทุก 5 นาทีกับวิชวลใหม่ๆ ที่เราพยายามจะนำเสนอความแตกต่างจากภาคอื่นๆ ภาคนี้บู๊กันหนักหน่วง เดือดกันมากกว่าเดิมแน่นอน”
“ขุนพันธ์ 3” บทสรุปไตรภาคภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่ไทยฟอร์มยักษ์แห่งทศวรรษ พร้อมระเบิดความมันส์ระทึก เดือดระอุทะลุจอ 1 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ