ปล่อยของไม่มีหยุดสำหรับภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่ไทยฟอร์มยักษ์แห่งปี “ขุนพันธ์ 3” ของผู้กำกับมือฉมังของวงการ “ก้องเกียรติ โขมศิริ” ที่ล่าสุดผุด “6 โปสเตอร์ซีนสุดเดือด” ออกมาเรียกเสียงฮือฮาอีกระลอกและเพิ่มความน่าดูขึ้นอีกหลายเท่าตัว กับการปล่อยพลังของ “6 คาแร็กเตอร์สุดเด็ด” ทวงคืนศรัทธาเหนือศาสตรา สู่วันพิพากษาด้วยอาคม กับภารกิจจับตายท้าทายความคงกระพัน พร้อมระเบิดความมันส์สุดขีด 1 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
“อนันดา เอเวอริงแฮม” รับบท “ขุนพันธ์”
“เพราะ ‘ขุนพันธ์’ คือตัวละครที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว มันคือ 1 ใน 4 ของชีวิตที่อยู่กับตัวละครตัวนี้จะไม่ให้มันซึมเข้ามาในร่างของผมเลยคงเป็นไปไม่ได้ พอเราเดินทางมาถึงปีที่ 10 เราก็คุยกันกับพี่โขมไว้ว่านี่อาจจะเป็นภาคสุดท้ายที่เราทำด้วยกัน เราอยากเห็นมุมมองของท่านในแง่คนหนึ่งคน ภาคนี้จะเป็นภาคที่เราได้เห็นด้านที่เป็นมนุษย์มากที่สุดของท่านขุน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัว กำลังจะเป็นพ่อคน ความสัมพันธ์กับภรรยา รวมไปถึงอะไรที่มันซับซ้อน ไม่ว่าจะเรื่องของความกลัวตาย การมีชีวิตเพื่อคนอื่น ซึ่งมันก็จะเป็นมุมที่น่าสนใจ เป็นมุมมองที่ในฐานะนักแสดงเราค่อนข้างชอบ เพราะมันก็เปิดพื้นที่ให้กับตัวละครตัวนี้เพิ่มด้วย และแน่นอนว่าในความเป็นหนัง เรื่องนี้ก็จัดเต็มทั้งความเดือด แอ็กชัน และงานสร้างโปรดักชันอย่างไม่ขาดหาย”
“ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” รับบท “เสือดำ”
“‘เสือดำ’ ทำอะไรได้ ผมต้องทำอย่างนั้นได้ อย่างเช่นการยกม้า ม้าบางตัวเขาฝึกมาเพื่อการยกอยู่แล้ว แต่ในการถ่ายทำเราต้องยกพร้อมกันกับระเบิดและยิงปืนด้วย รวมถึงขี่ไป มือหนึ่งควบ อีกมือหนึ่งยิงปืนผ่านหูม้า ม้ามันก็สะบัดอยู่แล้วครับ ถ้าเราไม่เป็น ถ้าเราฝึกมาไม่พอมันทำไม่ได้ ผมก็เข้าไปเรียนก่อนเลย ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือนในการเริ่มตั้งแต่ต้นจนถึงยกจนถึงกระโดดลง แล้วควบแบบปล่อยมือ ควบแบบมือเดียว ก็ต้องทำครับ”
“มาริโอ้ เมาเร่อ” รับบท “เสือมเหศวร”
“ผมรู้สึกว่าโหดแน่ครับ เรื่องนี้ต้องใช้เอนเนอร์จี้เยอะมาก บท ‘เสือมเหศวร’ ต้องใช้แรงในการเล่นเยอะ เพราะเป็นคาแร็กเตอร์ที่มีความหลากหลายอารมณ์ทั้งมุมโรแมนติก มุมดราม่า รวมถึงการต่อสู้ และการเป็นนักวางแผน เรื่องนี้ต้องเรียนรู้ทุกอย่างทั้งขี่ม้า ยิงปืน เล่นมายากล และปลอมตัวซึ่งผมชอบและท้าทายมาก ฉากบู๊ใหญ่ของผมจะเป็นฉากที่มีการติดตั้งเอฟเฟกต์ระเบิด ซึ่งในฉากนี้ตัวละครของผมต้องปีนขึ้นไปบนหอคอยไม้ไผ่เพื่อช่วยเพื่อนและโดนศัตรูยิงปืนใหญ่ใส่ ตอนถ่ายจริงระเบิดลูกใหญ่มาก ใหญ่จนผมร้อนไปทั้งหน้า และแรงของระเบิดทำให้มีเศษหินกระเด็นเข้าหน้าผมเต็มๆ ตอนนั้นยอมรับว่าผมใจหายวูบ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้โดยไม่เป็นอะไรครับ”
“อารักษ์ อมรศุภศิริ” รับบท “เสือใบ”
“‘เสือใบ’ กลับมาพร้อมวิชากระสุนคต บทนี้ทำให้ผมภูมิใจในการทำงาน จริงๆ บทนี้มันเป็นความฝันของเด็กผู้ชายที่ได้มาขี่ม้า ยิงปืน และได้บู๊ ได้เล่นเป็นตัวละครแปลกๆ ที่เราไม่ได้เจอในการทำงานบ่อยๆ ครับ มันสนุกมากที่ได้กลับมาเห็นอะไรแบบนี้อีก”
“ภูมิภัทร ถาวรศิริ” รับบท “ร.อ.ทัตเทพ”
“ถ้า ‘ขุนพันธ์’ เป็นแบทแมน ‘ทัตเทพ’ ก็เป็นโรบิน เขาจะเป็นเหมือนคู่หูช่วยกันทำภารกิจปราบสองโจร ขุนพันธ์คือไอดอลของทัตเทพ ตอนที่เขาได้เจอขุนพันธ์ครั้งแรก ได้รู้ว่าจะต้องมาร่วมภารกิจกับขุนพันธ์ จริงๆ มันคือฝันที่เป็นจริง เรารู้สึกว่าเขามีอิทธิพลต่อความฝันในหน้าที่การงานของเราประมาณหนึ่งเลย ร้อยเอกทัตเทพเป็นนายทหารหนุ่มรุ่นใหม่อนาคตไกล เขาเป็นหัวหน้าของหน่วยรบพิเศษ นิยามของหน่วยรบพิเศษคือการปฏิบัติภารกิจโดยใช้การแทรกซึม สืบสวนสอบสวน แต่ทัตเทพทำได้มากกว่านั้น เขาใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปืนสั้น ปืนยาว อาวุธหนัก อาวุธเบา เขาใช้ได้หมด”
“ษริกา สารทศิลป์ศุภา” รับบท “สาวิตรี”
“นี่เป็นแอ็กชันเรื่องแรกของฟ้าที่ต้องบอกว่าจัดเต็มจริงๆ ทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งเอฟเฟกต์ ซีจี สลิง ปืน แล้วก็ต้องเป็นหมอด้วย ในเรื่องนี้ผู้ชายทุกคนจะมีปืน มีฉากต่อสู้ เราเองก็เป็นหมอที่อยู่ท่ามกลางดงกระสุน ระเบิดกันที ยิงกันที คือหูดับตับไหม้ เราต้องอยู่ในสนามรบตลอดเวลา แล้วก็มียังมีฉากที่ต้องเจอกับจระเข้ที่มีความโหดกว่าจระเข้ปกติเยอะ ซึ่ง ‘หมอสาวิตรี’ ต้องเจอแล้วก็ต้องต่อสู้อย่างลำบาก มีฉากที่ต้องบาดเจ็บ ต้องไปคลุกดินคลุกทราย แต่เอาจริงๆ ก็สนุกมาก ไม่เคยได้เจออะไรแบบนี้”
บ้านเมืองฉิบหาย กฎหมายไร้อำนาจ สู่ภารกิจจับตาย ท้าทายความคงกระพัน กับที่สุดแห่งภาพยนตร์แอ็กชันฮีโร่ไทยที่คนไทยต้องดู “ขุนพันธ์ 3” พร้อมระเบิดความมันส์ 1 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ