ไม่ว่าจะสูญเสียหรือรอดพ้น คุณก็ได้เรียนรู้บางอย่างระหว่างทาง! คุยกับ “ฌาคส์ โอดิยาร์” ผู้กำกับภาพยนตร์แซ่บฉาวแห่งปี “Emilia Pérez เอมิเลีย เปเรซ” 27 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

คุณได้ไอเดียสำหรับหนังเรื่องนี้มาจากไหน

ผมได้อ่านนิยายเรื่อง Écoute” (2018) ของ โบรีส์ ราซง” เมื่อ 6 ปีที่แล้ว แล้วพออ่านไปถึงกลางเรื่องก็มีตัวละครเป็นพ่อค้ายาที่อยากผ่าตัดแปลงเพศ แต่หลังจากนั้นตัวละครนี้ไม่ได้ถูกพัฒนาไปมากกว่านี้ ผมเลยตัดสินใจเริ่มเรื่องของตัวเองจากเขา

 

คุณพัฒนาเนื้อเรื่องจากแนวคิดนี้ยังไง

ตอนช่วงล็อกดาวน์ครั้งแรกนั้น ผมรีบเขียนเค้าโครงเรื่องขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ รู้ตัวว่ามันใกล้เคียงกับบทโอเปร่ามากกว่าสคริปต์หนังซะอีก เพราะมันแบ่งเป็นองก์ต่างๆ แถมยังมีฉากน้อย และตัวละครก็ดูเป็นเหมือนตัวละครต้นแบบมากกว่าคนจริงๆ

 

แล้วบทโอเปร่ากลายมาเป็นบทหนังได้ยังไง

มันเริ่มขึ้นตอนที่ผมปรับตัวละครจากต้นฉบับในนิยายทนายเป็นผู้ชาย เป็นคนเหนื่อยล้า ท้อแท้ และสิ้นหวัง ผมเปลี่ยนเขาให้เป็นผู้หญิงที่ยังสาว ทะเยอทะยาน ไม่สนใจศีลธรรม แถมมีความประชดประชันอีกด้วย แล้วพอได้ “โซเอ ซัลดัญญา” มาเล่น บทนี้ก็กลายเป็นผู้หญิงผิวดำอีกด้วย ซึ่งเป็นตัวละครที่มีศักยภาพในการพัฒนาและหักมุมได้เยอะ นอกจากนี้บทมันเริ่มให้ความรู้สึกหมือนกับ “เอมิเลีย” ที่สามารถถูกจัดอยู่ในหลายแนวได้ ทั้งฟิล์มนัวร์ เมโลดราม่า คอมเมดี้เสียดสีสังคม มิวสิคัล

 

 

ใน “Emilia Pérez” คุณนำเสนอประเด็นนี้ต่างออกไปนะ โดยพูดถึงปัญหาความเป็นชายในฐานะผลพลอยได้ของความรุนแรง

เรื่องนี้เป็นเรื่องของการไถ่บาป การแปลงเพศช่วยให้คุณมองความรุนแรงของผู้ชายในมุมที่ต่างออกไปไหม พูดตรงๆ เลยนะ ตัวละครของ “เอมิเลีย” อาจเชื่อแบบนั้นก็ได้ แต่เธอก็ยังคงติดอยู่ในวังวนของความรุนแรง สิ่งที่สำคัญคือการเดินทางที่ทำให้เธอค่อยๆ หลุดออกจากวงจรนี้ ซึ่งนั่นต่างหากที่เป็นความดีงามของมัน สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะต้องสูญเสียหรือรอดพ้นมาได้ คุณก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างระหว่างทาง

 

หนังส่วนใหญ่ถ่ายในสตูดิโอที่ปารีส นี่เป็นทางเลือกเชิงสร้างสรรค์ไหม หรือเป็นข้อจำกัดทางเทคนิค

เราลองไปสำรวจโลเคชันที่เม็กซิโกหลายครั้งแล้วนะ แต่พอถึงจุดหนึ่งมันกลับไม่เวิร์ก ทุกฉากดูจริงเกินไป แข็งทื่อเกินไป แคบเกินไป และซับซ้อนเกินไป ความรู้สึกแรกของผมที่มีต่อโปรเจกต์นี้มันเชื่อมโยงกับโอเปร่าอยู่แล้วน่ะ งั้นทำไมไม่กลับไปสู่จุดเริ่มต้นล่ะ ทำไมไม่กลับไปหา DNA แรกของโปรเจกต์นี้ แล้วถ่ายทำในสตูดิโอแทน นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเลยว่าผมเสียเวลากับการพยายามปฏิเสธสัญชาตญาณแรกของตัวเองมากแค่ไหน

 

คุณทำงานด้านภาพของหนังร่วมกับผู้กำกับภาพ “ปอล กีโยม” และผู้กำกับศิลป์ “เวอร์จินี มงแตล” อย่างไร

พอถ่ายทำในสตูดิโอแล้วเนี่ย ต่อให้ฟังดูซ้ำซากแต่มันก็จริงนะ มันเหมือนกระดาษเปล่าเลย คุณต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง ตั้งแต่แสง เงา ขนาด สีสัน ไปจนถึงความมีชีวิตชีวาของฉาก คุณต้องคิดว่าจะแสดงอะไรในฉากหน้า และจะสื่อถึงความลึกอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ผมเคยคิดไว้ว่าในช่วงแรกของหนังซึ่งเน้นไปที่ตัวละคร “มานิตัส” ควรเกิดขึ้นในเวลากลางคืนหรืออย่างน้อยก็ “อยู่ในความมืด” วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนการออกแบบฉากและทำให้หนังมีเอกลักษณ์ด้านภาพที่ชัดเจนขึ้น

กับ “เวอร์จินี มงแตล” แล้วเนี่ย เราคิดกันว่าบางจังหวะ ตัวประกอบและท่าทางของพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นฉากเองเลย อย่างในฉากเปิดที่ตลาด ผู้คนและการเคลื่อนไหวของพวกเขากลายเป็นองค์ประกอบของฉากโดยอัตโนมัติ แต่ขณะเดียวกันการถ่ายทำในสตูดิโอมีความเสี่ยงที่จะทำให้ภาพนิ่งเกินไปด้วยเหมือนกัน เราจึงต้องคอยใส่ความเคลื่อนไหวเข้าไปเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในฉากหน้า หรือการใช้ความลึกของภาพให้เกิดประโยชน์สำหรับเรื่องการจัดองค์ประกอบระหว่างฉากหน้าและฉากหลัง เราอาศัยบทเรียนที่ได้จาก A Prophet” (2009) มาปรับใช้กับหนังเรื่องนี้

 

 

มันหมายความว่า…

เวลาผมต้องถ่ายฉากบนถนน เราจะให้ความสำคัญกับนักแสดงหลักในฉากหน้าก่อน ปรับการแสดงของพวกเขาให้พอดีแล้วค่อยจัดฉาก เช่น คนเดินถนน รถที่แล่นผ่าน… แต่ใน A Prophet” วิธีนี้ใช้ไม่ได้เลย ถ้าผมโฟกัสแค่ฉากหน้า (ตัวละครหลัก) แล้วค่อยไปจัดฉากหลัง (ตัวประกอบ) ทีหลัง ฉากหลังก็จะดูไม่มีชีวิตชีวา นั่นเป็นจุดที่ผมเริ่มเข้าใจว่าต้องสร้างฉากหลังขึ้นมาก่อน เริ่มจากตัวประกอบ (บรรยากาศในคุก) แล้วพอทุกอย่างเริ่มเข้าที่ค่อยใส่นักแสดงหลักเข้าไป พูดง่ายๆ ก็คือโยนพวกเขาเข้าไปในโลกที่มีชีวิตจริงๆ

 

การเซตหนังให้อยู่ที่เม็กซิโกหมายความว่าคุณต้องทำงานในภาษาต่างประเทศอีกครั้ง หลังจาก “Dheepan” (2015) ที่ตัวละครพูดภาษาทมิฬ และ “The Sisters Brothers” (2018) ที่ถ่ายทำเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ทำไมคุณถึงเลือกทำงานในภาษาต่างประเทศอีกครั้ง

เวลาผมเขียนบทเป็นภาษาฝรั่งเศส ผมจะใส่ใจกับไวยากรณ์ การเลือกใช้คำ และเครื่องหมายวรรคตอนมากเกินไป รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่พอผมทำงานในภาษาที่ผมพูดไม่คล่องหรือแทบไม่รู้เลย ผมจะเชื่อมโยงกับบทสนทนาในหนังผ่านจังหวะและดนตรีของภาษาแทน

 

การแปลส่งผลต่อจังหวะและดนตรีของบทสนทนาที่คุณเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสไหม

แน่นอนอยู่แล้ว และนั่นก็เป็นจุดประสงค์ของมันเลย การเขียนโอเปร่าเป็นภาษาสเปนซึ่งเป็นภาษาที่หนักแน่น มีจังหวะที่ชัดเจน แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์

 

 

Emilia Pérez” เป็นหนังเรื่องที่ 10 ของคุณ ตั้งแต่กำกับหนังเรื่องแรกในปี 1993 คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง

ผมเรียนรู้ว่าสามเรื่องแรกของผมสอนอะไรบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงให้ และหลังจากนั้นผมก็ใช้สิ่งที่เรียนรู้มาปรับใช้มันไปเรื่อยๆ ในขณะที่ยังค้นพบสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเช่นกัน ประสบการณ์ทำให้ผมพานักแสดงไปได้ไกลขึ้น ถ่ายภาพที่ผมนึกไว้ในหัวได้ง่ายขึ้น และสื่อสารสิ่งที่ต้องการให้ทีมงานเข้าใจได้ดีขึ้น เมื่อผมมีความมั่นใจมากขึ้น ผมก็มีอิสระมากขึ้น รู้ว่าตัวเองกำลังไปทางไหนแต่ก็ไม่ได้รู้ชัดเจนถึงขนาดนั้นนะ

 

คุณมีโอกาสได้ซ้อมกับนักแสดงนำก่อนถ่ายทำหรือเปล่า

โดยปกติแล้วเนี่ย การซ้อมเป็นสิ่งที่หรูหราและมักเป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องบังคับให้คนอื่นทำ แต่ในโปรเจกต์นี้ ด้วยความที่มีทั้งการเต้น การร้องเพลง และองค์ประกอบความเป็นคอมเมดี้ มันเลยเป็นสิ่งจำเป็น “ดาเมียน ฌาเลต์” เป็นผู้ออกแบบท่าเต้นและดูแลการซ้อม ส่วน “เคลมองต์ ดูกอล” กับ “คามิลล์” แต่งเพลง เขียนเนื้อร้อง อัดเดโม และส่งให้เหล่านักแสดงฝึกซ้อม ทุกวันเรามีอย่างน้อยสามถึงสี่ส่วนที่ต้องทำ มันเหนื่อยมากเลย แต่ก็ตื่นเต้นสุดๆ

 

 

พูดถึงกระบวนการแคสต์นักแสดงหน่อย

ผมเจอ “เซลีนา โกเมซ” ในเช้าวันหนึ่งที่นิวยอร์ก จำเธอได้จาก “Spring Breakers” (2013) ของ “ฮาร์โมนี โครีน” แต่จริงๆ แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย แต่หลังจากคุยกันแค่สิบนาที ผมก็รู้เลยว่าต้องเป็นเธอ พอเราติดต่อเธออีกครั้งหลังจากนั้นหนึ่งปีเพื่อบอกว่าหนังได้ไฟเขียวแล้ว เธอยังคิดอยู่เลยว่าผมลืมเธอไปแล้วน่ะ

 

แล้ว “โซเอ ซัลดัญญา” ล่ะ

“โซเอ” ตอบโจทย์ทุกอย่างเลย เธอร้องเพลงได้ เต้นได้ระดับนักเต้นนำ และการแสดงของเธอก็ทรงพลังมาก เธออยากเล่นหนังเรื่องนี้มากแต่ตอนนั้นเธองานยุ่งๆ เราเลยต้องรอเธออยู่เป็นปี

 

แล้ว “การ์ลา โซฟีอา” ล่ะ

บทของเธอเป็นบทที่หานักแสดงยากที่สุด ผมเจอนักแสดงข้ามเพศหลายคนที่เม็กซิโกซิตี้ แต่ก็ยังไม่เจอคนที่ใช่ ปัญหาที่เราเจอทุกครั้งคือเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางเพศของพวกเขามักกลายเป็นจุดศูนย์กลางของชีวิตของพวกเขา จริงนะว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษมาก แต่พอให้ความสำคัญกับมันมากเกินไป มันก็กลายเป็นสิ่งที่รบกวนการเล่าเรื่องไปเลย “การ์ลา โซฟีอา” เคยเป็นนักแสดงมาก่อนที่เธอจะกลายเป็นนักแสดงหญิง และเส้นทางของเธอก็มีความต่อเนื่องที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เธอเฉียบแหลม มีไหวพริบ สร้างสรรค์ และยังมีเซนส์ด้านคอมเมดี้ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย

 

 

คุณรับมือกับอุปสรรคด้านภาษาในการทำงานกับนักแสดงยังไง

ถ้ามันยากเกินไปที่จะเข้าใจก็จะใช้ล่ามช่วย แต่กับนักแสดงแล้วการสื่อสารมันก็เหมือนภาษาเอสเปรันโต ผมรักพวกเขาทุกคนและสนุกกับการทำงานด้วยทุกวัน

 

คุณสร้างตัวละคร “มานิตัส” ขึ้นมาร่วมกับแผนกต่างๆ ยังไง

ผมคุยเรื่องนี้กับ “เวอร์จินี มงแตล” มานานมาก ประเด็นสำคัญคือเราจะสร้าง “เอมิเลีย” ออกมาจาก “มานิตัส” ได้แค่ไหนและในระดับไหนบ้าง เวอร์จินีทดลองกับทีมงานของเธอ (ช่างแต่งหน้า, ทีม VFX, ดีไซเนอร์เครื่องแต่งกาย) หลายครั้งด้วยกันจนได้ลุคของนักเลงที่ดูนุ่มนวลและมีเสียงร้องที่ไพเราะเหมือนนางฟ้า และผมเองก็โดนดึงดูดเข้าไปเต็มๆ เลย ตอนที่ผมเห็นภาพแรกของมานิตัส ผมจำ “การ์ลา โซฟีอา” ไม่ได้เลย

 

คุณทำการค้นคว้าเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของคนข้ามเพศก่อนถ่ายทำมากแค่ไหน

จริงๆ แล้ว “การ์ลา โซฟีอา” เป็นคนที่สอนผมเอง เวลาผมมีคำถาม ผมจะส่งอีเมลไปถามเธอ แล้วเธอก็ตอบกลับมา สิ่งที่ติดอยู่ในใจผมเสมอคือความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของเธอ ทั้งในแง่จิตใจและร่างกาย เธอต้องกล้าขนาดไหนถึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด และก่อนหน้านั้นเธอเจ็บปวดแค่ไหนกัน เธอใช้ชีวิตทั้งชีวิตติดอยู่ในร่างกายที่เธอไม่ควรจะอยู่ อีกอย่างหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจคือการ์ลายังอาศัยอยู่กับแม่ของลูกสาวเธอซึ่งตอนนี้น่าจะอายุราวๆ 15 ปีแล้ว ไม่แน่ใจว่ามันสามารถเรียกได้ว่าเป็นอิสรภาพหรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันใช่นะ

 

เตรียมพิสูจน์ภาพยนตร์ที่สุดแสบ! สุดแซ่บ! และสุดฉาว! จนได้ใจนักวิจารณ์ และคว้า 2 รางวัลออสการ์ปีล่าสุดมาครองEmilia Pérez เอมิเลีย เปเรซ” 27 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

Emilia Pérez เอมิเลีย เปเรซ

Emilia Pérez เอมิเลีย เปเรซ

เธอหนีทุกอย่างได้ยกเว้นหัวใจตัวเอง! “Emilia Pérez เอมิเลีย เปเรซ” สุดแสบ! สุดแซ่บ! สุดฉาว! จนได้ใจนักวิจารณ์ และคว้า...

รายละเอียดภาพยนตร์