“ปฏิบัติการนี้จะต้องมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น บางสิ่งจะไม่ลุล่วงตามแผนที่เราวางกันไว้แน่นอน แต่สิ่งที่พวกคุณต้องจำก็คือ เข้าถึงตัวประกันให้เร็วที่สุด จัดการพวกก่อการร้ายเสีย และทำเฉพาะสิ่งที่ ‘จำเป็นต้องทำ’ เท่านั้นเพื่อให้บรรลุภารกิจ”
นี่คือถ้อยความที่บอกเล่าเรื่องของ “Operation Entebbe” หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “Operation Thunderbolt” ปฏิบัติการชิงตัวประกันที่น่าตื่นเต้นและอกสั่นขวัญหายที่สุดเหตุการณ์หนึ่งบนโลกเมื่อราว 42 ปีก่อนและถ้อยความดังกล่าวนั้นเผยออกจากปากของ “นายอิดโด เนทันยาฮู” (Iddo Netanyahu) นักฟิสิกส์และนักประพันธ์ชาวอิสราเอลซึ่งเขาคือหนึ่งในทีมที่ปฏิบัติภารกิจดังกล่าวด้วย
มันกลายเป็นถ้อยความที่อิดโดจดจำได้อย่างขึ้นใจไม่มีวันลืม เพราะมันคือเสียงที่ก้องอยู่ในความทรงจำเขา เสียงของพี่ชายร่วมสายเลือดที่ชื่อ “โจนาธาน เนทันยาฮู” (Yonathan Netanyahu) ผู้รับหน้าที่ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการ ที่มีเพียงร่างแน่นิ่งกลับมาพร้อมกับตัวประกันหลังจากภารกิจสำเร็จ และเขาคงยังไม่รู้ว่าภารกิจที่เขารับผิดชอบได้กลายมาเป็นบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
“ปฏิบัติการเอ็นเทบเบ” (Operation Entebbe) คือปฏิบัติการของกองกำลังอิสราเอลที่เข้าช่วยตัวประกันจากกลุ่มก่อการร้ายในสนามบินเอ็นเทบเบ ในประเทศยูกันดา หลังจากกลุ่มก่อการร้ายได้ทำการจี้เครื่องบินกลางอากาศและจับทุกคนบนเครื่องบินเป็นตัวประกัน จุดมุ่งหมายของการก่อการร้ายครั้งนี้คือเพื่อเรียกร้องให้ประเทศอิสราเอลปล่อยตัวกลุ่มก่อการร้ายปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังอยู่ในอิสราเอลทั้งหมด 40 คนและอีก 13 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในประเทศเคนยา อียิปต์ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนีตะวันตก รวมไปถึงยังเรียกค่าไถ่จำนวน 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเริ่มปลิดชีพตัวประกันทีละคนๆ ในทุกๆ 24 ชั่วโมง
กลุ่มก่อการร้ายดังกล่าวประกอบไปด้วยชายหนึ่งหญิงหนึ่งชาวจากกลุ่ม Revolutionary Cells กลุ่มก่อการร้ายจากเยอรมนีตะวันตก และชาวปาเลสสไตน์อีกสองคนจากกลุ่มก่อการร้ายที่ใช้ชื่อว่า Popular Front for the Liberation of Palestine โดยมีการวางแผนอย่างรัดกุมและได้การสนับสนุนจากประธานาธิบดีของยูกันดาในขณะนั้นอย่าง “อีดี อามิน” (Idi Amin) ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นทหารเผด็จการหัวรุนแรงและโหดร้ายเกินมนุษย์มนา และสาเหตุที่ประธานาธิบดีของยูกันดาลงมายั่วล้อกับความเป็นความตายของผู้บริสุทธิ์นี้ก็เพราะเขาเองก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับชาวยิวและประเทศอิสราเอล ถึงขนาดเคยประกาศไล่กลุ่มคนเหล่านั้นออกจากประเทศของตนมาแล้ว
ถึงแม้ว่ากองกำลังอิสราเอลจะสามารถปฏิบัติภารกิจผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ใครเลยจะรู้ว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของปฏิบัติการดังกล่าว เต็มไปด้วยความยากของรูปแบบภารกิจ อุปสรรค ความซับซ้อน และจิตใจที่เข้มแข็งของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ผู้เชื่อมั่นว่าทุกชีวิตนั้นสำคัญและมีค่า
“เราได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากห้องโดยสาร ผมจึงส่งผู้ช่วยวิศวกรให้ออกไปหาต้นตอของเสียงดังกล่าว และเมื่อเขาเปิดประตูห้องนักบินออกไป เขาก็พบว่าเขากำลังประจันหน้ากับชายที่ถือปืนพกและระเบิดมือยืนจังก้าอยู่”
ย้อนกลับไปในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ.1976 คงเป็นฝันร้ายยามตื่นของ “มิเชล บาคอส” (Michel Bacos) กัปตันของเที่ยวบิน Air France 139 และเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันลืมของผู้โดยสารจำนวน 247 ชีวิตและลูกเรืออีก 12 ชีวิตเช่นกัน เมื่อพวกเขาถูกสลัดอากาศจี้เครื่องบินขณะกำลังมุ่งหน้าจากเมืองเทล อาวีฟ ในอิสราเอลไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะถูกบังคับให้เบนทิศทางไปยังสนามบินเอ็นเทบเบ ประเทศยูกันดา สถานที่อันเป็นฐานที่มั่นของผู้ก่อการร้าย และที่นี่เองที่พวกเขาแบ่งกลุ่มชาวยิวและชาวอิสราเอลออกมาจากผู้โดยสาร กัปตัน และลูกเรือเชื้อชาติอื่นๆ และสปิริตอันแรงกล้าของกัปตันมิเชล บาคอส คือเขาปฏิเสธการถูกคัดออกจากกลุ่มตัวประกัน เนื่องด้วยเหตุผลที่ว่าเขาจำเป็นต้องดูแลลูกเรือที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาทั้งหมด
กลุ่มก่อการร้ายยื่นข้อเสนอและเส้นตายให้กับรัฐบาลอิสราเอลว่าจะต้องปล่อยนักโทษปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังอยู่ทั้งสิ้น 53 คนในนานาประเทศภายในวันที่ 1 กรกฎาคม ไม่เช่นนั้นแล้วกลุ่มตัวประกันเหล่านี้จะถูกคร่าชีวิตทั้งหมด โดยคณะรัฐมนตรีของอิสราเอลเองได้สั่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือนทำงานร่วมกันนำทีมโดยพันเอกโจนาธาน เนทันยาฮูรับหน้าที่ผู้บัญชาการ
แน่นอนว่าวิธีการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวย่อมต้องเริ่มจากการต่อรองด้วยวิธีทางการทูตก่อน ซึ่งทางรัฐบาลอิสราเอลได้ใช้วิธีการต่อสายตรงไปยังรัฐบาลประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อขอร้องให้ช่วยกันหาทางปลดปล่อยตัวประกันทั้งหมด รวมไปถึงการต่อสายตรงถึงอีดี อามินเพื่อประนีประนอมและหาทางออก แต่สุดท้ายแล้วอิสราเอลก็สามารถทำได้เพียงแค่ประวิงเวลาเส้นตายให้ยืดออกไปอีกแค่ 3 วันเท่านั้น
แต่ใช่ว่ารัฐบาลอิสราเอลจะต้องการยืดเยื้อเวลาเพื่อเจรจาขอความช่วยเหลือจากชาติอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีความหวัง เพราะแท้จริงแล้วพวกเขาเองกำลังวางแผนและฝึกซ้อมแผนการช่วยเหลือตัวประกันอยู่ควบคู่กันไป และทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เงียบเชียบที่สุดเท่าที่คุณจะจินตนาการได้!
“แผนการของภารกิจคือการลงจอดเครื่องบิน C-130 Hercules จำนวน 4 ลำและหน่วยจู่โจมจำนวน 33 คน เราจะมีรถจี๊บพร้อมหน่วยคอมมานโดที่ปลอมตัวเป็นอิดิ อามิน และทหารยูกันดา เมื่อพวกเราเข้าใกล้อาคารมากพอแล้ว เราจะกำจัดผู้ก่อการร้ายและช่วยเหลือตัวประกันให้เร็วที่สุดในเวลา 55 นาที และเราจะทำในเวลากลางคืน”
ในขณะที่การเจรจาทางการทูตสามารถยืดเยื้อเวลาต่อไปได้ นั่นเท่ากับโอกาสที่ตัวประกันชาวยิวและอิสราเอลจะรอดชีวิตก็มีสูงขึ้นแม้ไม่มาก พร้อมทั้งทีมปฏิบัติการเอ็นเทบเบภายใต้การบัญชาการของโจนาธาน เนทันยาฮูเองมีเงื่อนไขและอุปสรรคมากมายที่จะทำให้ภารกิจไม่สามารถลุล่วงได้ ในขณะที่ความเครียดเพิ่มขึ้นทวีคูณทุกๆ วินาที พวกเขาลองวางแผนในเบื้องต้นตั้งแต่การกระโดดร่ม หรือการล่องเรือเข้าไปยังทะเลสาบวิกตอเรียเพื่อจู่โจม
ก่อนที่ท้ายที่สุดในวันสุดท้ายของการต่อรองยืดเยื้อเวลา พวกเขาจะตัดสินใจท้าทายความสามารถ ด้วยวิธีการเลือกบินฝ่าเรดาห์ตรวจจับอันทรงประสิทธิภาพของโซเวียตรวมไปถึงพันธมิตรของโซเวียต ในตะวันออกกลางและแอฟริกา บุกเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันอย่างเร็วที่สุดในเวลาเที่ยงคืนวันนั้น และพวกเขาต้องบินเป็นเวลา 7 ชั่วโมงเต็มในระยะทาง 2,200 ไมล์ ด้วยน้ำมันที่จำกัดและความกดดันที่จุกอก เพราะวิถีการบินนั้นไกลเกินกว่าที่รัศมีทำการบินของอิสราเอลจะไปถึงเท่ากับพวกเขาต้องบินออกไปอย่างไร้ความช่วยเหลือ
เมื่อสิ่งที่ยากที่สุดคือความปลอดภัยของตัวประกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธจำนวนมากที่จะลั่นไกใส่ผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ภารกิจนี้จึงต้องรัดกุมที่สุด ซึ่งพวกเขาต้องจัดการซ้อมใหญ่ของภารกิจนี้อยู่หลายครั้งก่อนลงมือจริง และเมื่อเครื่องบินของอิสราเอลลงจอดในสนามบินเอ็นเทบบี ประกายไฟจากปลายกระบอกปืนก็ส่องแสงวาบเพื่อกำจัดผู้ก่อการร้ายเพียงพริบตา และพวกเขาสามารถช่วยเหลือตัวประกันได้อย่างทันท่วงที
“มงคลเมเจอร์” พร้อมพาคุณไปสัมผัสประสบการณ์ของปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันที่น่าทึ่ง เร้าใจ ชาญฉลาดและสุ่มเสี่ยงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกใน “7 Days in Entebbe” ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “โฮเซ พาดิลา” ที่เคยฝากผลงานซีรีส์ชื่อดังอย่าง Narcos ที่เป็นที่พูดถึงของผู้ชมในวงกว้าง และยังได้นักแสดงมากฝีมือมาปะทะอารมณ์กันทั้ง นางเอกมากฝีมือ “โรซามันด์ ไพก์” จาก Gone Girl, “แดเนียล บรูห์ล” นักแสดงหนุ่มเชื้อสายสเปนผู้เคยฝากผลงานไว้ใน Inglourious Basterds และ Captain America: Civil War, “เอ็ดดี มาร์ซาน” และ “นอนโซ อาโนซี” ในบทเผด็จการวายร้ายอีดี อามิน
ร่วมเป็นพยานปากเอกในเหตุการณ์จริงสะเทือนโลก 5 เมษายนนี้ในโรงภาพยนตร์