Sound of Falling เสียงรักข้ามศตวรรษ
เรื่องย่อ
ความบอบช้ำทางใจของผู้หญิงได้รับการบอกเล่าอย่างหนักหน่วงและสะเทือนใจที่สุดใน “Sound of Falling” ผลงานของผู้กำกับ “มาชา ชิลินสกี” ซึ่งคว้ารางวัล “จูรีไพรซ์” จาก “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์” ปีล่าสุด และนักวิจารณ์ยกย่องว่าหนังพาผู้ชมไปยังจุดที่ลึกที่สุดในจิตใจของตัวละครได้อย่างน่าทึ่ง หนังติดตามชีวิตของเด็กหญิงสี่คน “อัลมา”, “เอริกา”, “แองเจลิกา” และ “เลนกา” ซึ่งมีชีวิตอยู่คนละช่วงเวลาในบ้านหลังเดียวกัน
เด็กหญิงแต่ละคนใช้ช่วงวัยเยาว์ในบ้านไร่แห่งเดียวกันใน “แคว้นอัลต์มาร์ก” ขณะที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ใน “ปัจจุบัน” ของตัวเอง ร่องรอยและแรงกระเพื่อมจาก “อดีต” ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละน้อย
เกร็ดภาพยนตร์
- จุดเริ่มต้นมาจากสถานที่จริง: ไอเดียของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มต้นจาก “พล็อต” แต่เริ่มต้นจาก “สถานที่” ผู้กำกับ “มาชา ชิลินสกี” และผู้เขียนบทร่วม “หลุยส์ ปีเตอร์” ได้ใช้เวลาช่วงฤดูร้อนในฟาร์มเก่าแก่แห่งหนึ่งจริงๆ ในภูมิภาคทางตอนเหนือของเยอรมนี
- แรงบันดาลใจจากภาพถ่ายเก่า: ผู้กำกับมาชาให้สัมภาษณ์ว่าแรงบันดาลใจสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเธอเห็นภาพถ่ายเก่าของ “ผู้หญิงสามคน” จากปี 1920 ในฟาร์มแห่งนั้น มันทำให้เธอเริ่มจินตนาการว่าชีวิตของพวกเธอเป็นอย่างไร
- คำถามตั้งต้นของผู้กำกับ: มาชากล่าวว่าคำถามที่อยู่ในใจเธอมาตั้งแต่เด็กคือ “เกิดอะไรขึ้นระหว่างกำแพงเหล่านี้ในอดีต ใครเคยนั่งตรงจุดที่ฉันนั่งอยู่ตอนนี้” ความรู้สึกถึงศตวรรษที่ทับถมอยู่ในห้องต่างๆ ของฟาร์มจึงกลายมาเป็น “หัวใจหลักของภาพยนตร์”
- โครงสร้างที่จงใจไม่เป็นเส้นตรง (Non-linear): บทภาพยนตร์จงใจเล่าเรื่องแบบกระโดดข้ามไทม์ไลน์ของ 4 ตัวละคร (อัลมา, เอริกา, แองเจลิกา, เลนกา) ไปมา ซึ่งเหล่านักวิจารณ์มองว่านี่คือความทะเยอทะยานที่จะสร้าง “การทดลองทางภาพยนตร์ที่สร้างการจดจำผ่านประสาทสัมผัส”
- เป้าหมายคือการ “รู้สึก” ไม่ใช่ “เข้าใจ“: ในบทสัมภาษณ์หลายครั้ง ผู้กำกับย้ำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการให้ผู้ชม “เข้าใจ” เรื่องราวทั้งหมดในทันที แต่ต้องการให้ “รู้สึก” ถึงบรรยากาศและความเชื่อมโยงทางอารมณ์ เหมือนกับที่ “ตัวละครรู้สึกถึงอดีตที่พวกเธอเองก็ไม่เข้าใจ”
- ชื่อเรื่องภาษาเยอรมัน: ชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมันคือ “In die Sonne schauen” ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “การจ้องมองเข้าไปในดวงอาทิตย์” (Looking into the Sun) ซึ่งสื่อถึงการเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่เจิดจ้า เจ็บปวด หรือยากจะทนมอง เช่น ความจริงในอดีต
- ความหมายของชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ: บทวิเคราะห์จากสื่อฯ Kino Avant-Garde ตีความชื่อเรื่อง “Sound of Falling” ไว้อย่างน่าสนใจว่ามันคือ “เสียงของผู้คนที่ตกหล่นผ่านกาลเวลา” (The Sound of People Falling Through Time) ซึ่งสะท้อนผ่านการตัดต่อเสียงที่เชื่อมโยงไทม์ไลน์ต่างๆ ของภาพยนตร์เข้าไว้ด้วยกัน
- งานกำกับภาพของผู้กำกับภาพ “ฟาบียัน กัมพาร์” (Fabian Gamper): ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชื่นชมอย่างสูง เหล่านักวิจารณ์ชื่นชมถึงงานภาพของเขาว่ามีลักษณะงดงามราวกับเหมือนฝัน
- การเคลื่อนกล้องที่มีลักษณะคล้ายแบบ “ผีสิง“: บทวิจารณ์จาก “The Guardian” ชี้ให้เห็นว่ากล้องมักจะ “ลอยขึ้นและเคลื่อนห่างออกไปจากฉากเหมือนผี” ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกว่ามี “พยาน” ที่มองไม่เห็น (ซึ่งก็คือตัวบ้านหรือความทรงจำ) กำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา
- ภาพถ่ายคนตาย: เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่ปรากฏในยุคของตัวละคร “อัลมา” (ต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเป็นธรรมเนียมการถ่ายภาพ “Post-mortem Photography” หรือการถ่ายภาพสมาชิกในครอบครัวที่เพิ่งเสียชีวิต นักวิจารณ์จากสื่อฯ “Roger Ebert” ตั้งข้อสังเกตว่าภาพยนตร์ทั้งเรื่องให้ความรู้สึกเหมือน “ภาพถ่ายคนตาย” ที่บันทึกอดีตที่เต็มไปด้วยความสูญเสียและความเจ็บปวด
- “Sound Design” คือตัวละครหลักของภาพยนตร์: นี่ไม่ใช่หนังที่ใช้ “ดนตรีประกอบ” (Score) เป็นตัวนำ แต่ใช้ “การออกแบบเสียง” (Sound Design) ที่เน้นเสียงบรรยากาศที่น่าอึดอัด นักวิจารณ์บรรยายว่ามันเต็มไปด้วย “เสียงคราง” และ “เสียงกระซิบกระซาบ” ที่น่าขนลุกของตัวบ้าน เพื่อสร้างความไม่ไว้วางใจและความตึงเครียด
- เสียงที่ดังขึ้นอย่างตั้งใจ: อีกทั้งทีมงานของภาพยนตร์ยังได้กล่าวถึงการใช้เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลันในบางจังหวะเพื่อกระตุกผู้ชม และเน้นย้ำถึงความรุนแรงที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวอันเงียบสงบของฟาร์ม
- นักวิจารณ์หลายสำนักชื่นชมและเปรียบเทียบ: “Sound of Falling” กับภาพยนตร์เรื่อง “The White Ribbon” (2009) ของผู้กำกับ “ไมเคิล ฮาเนเก” (Michael Haneke) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่มีความโดดเด่นในการวิพากษ์รากเหง้าของความรุนแรงในสังคมเยอรมัน
- “หลอนวิทยา” (Hauntology): นี่คือคำที่นักวิจารณ์ใช้บ่อยในการนิยามหนังเรื่องนี้ ในทางหนึ่ง “Sound of Falling” ให้ความรู้สึกคล้ายกับเป็น “หนังผี” ทว่าไม่ใช่หนังผีแบบขนบปกติ แต่เป็นเรื่องราวที่ “ถูกอดีตสิงสู่” (Haunted) อดีตที่แม้จะจบไปแล้ว แต่ก็ยังคงวนเวียนและปฏิเสธที่จะหายไป
- ผู้กำกับพูดถึงการทำงานกับนักแสดง: เธอเน้นกำกับนักแสดงแต่ละคนให้แสดงอยู่แค่ในยุคสมัยตัวเอง พวกเธอไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดทั้งหมดของไทม์ไลน์อื่น แต่ต้อง “รู้สึก” ถึงแรงกดดันและความทรงจำของสถานที่นั้นๆ ผ่านการกำกับและบรรยากาศในกองถ่าย ราวกับว่าพวกเธอกำลังแสดงร่วมกับ “ผี” ของตัวละครในยุคอื่น
- ความท้าทายของนักแสดง: อย่าง “ลีนา อูร์เซนโดว์สกี” (ผู้รับบท “แองเจลิกา” ในยุค 80) หรือ “ลาเอนี ไกเซอลาร์” (ผู้รับบท “เลนกา” ในยุคปัจจุบัน) คือการต้องแสดงปฏิกิริยาต่อ “ความทรงจำของบ้าน” ราวกับว่ามันเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งที่พวกเธอกำลังมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
- ก่อนที่ “มาชา ชิลินสกี” จะมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เต็มตัว: ในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ เธอเคยใช้ชีวิตเป็นนักแสดงในคณะละครสัตว์ที่เดินทางไปทั่วยุโรป โดยเธอมีความสามารถทั้งในฐานะนักมายากลและนักเต้นระบำไฟ ซึ่งนักวิจารณ์บางส่วนเชื่อมโยงว่าประสบการณ์ที่คลุกคลีกับการสร้าง “ภาพลวงตา” และการควบคุม “บรรยากาศ” อาจส่งผลต่อสไตล์การกำกับของเธอที่มักสร้างโลกที่เหมือนฝันและเต็มไปด้วยสภาวะลึกลับ
- การวิพากษ์สังคมปิตาธิปไตยผ่านบาดแผล: ขณะที่ธีมหลักของภาพยนตร์คือ “บาดแผลข้ามรุ่น” ไม่ว่าจะยุคไหน ผู้หญิงในเรื่องต่างต้องทนทุกข์, ถูกกดขี่, หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ และมักเกิดขึ้นจาก “น้ำมือของผู้ชาย” หนังแสดงให้เห็นว่าแม้เวลาจะเปลี่ยนไป แต่การปกครองอันโหดร้ายของประเพณีบุรุษในชนบทยังคงอยู่
- ความท้าทายของฝ่ายออกแบบงานสร้าง: เนื่องจากฟาร์มแห่งนี้คือตัวละครเอก ฝ่ายออกแบบงานสร้างจึงต้องเผชิญความท้าทายอย่างสูงในการ “สร้างความแตกต่างแต่ยังคงความเชื่อมโยง” ให้กับบ้านใน 4 ยุคสมัย (ยุค 1910, 1940, 1980, 2020) รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น สีของผนังที่ซีดจางลง, เฟอร์นิเจอร์ที่เปลี่ยนไป, หรือเทคโนโลยีที่แทรกเข้ามา เช่น ทีวีในยุค 80 ล้วนต้องถูกออกแบบอย่างประณีตเพื่อสะท้อนว่า “กระดูกสันหลัง” ของบ้านยังคงเดิม แต่ “ผิวหนัง” ของมันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและผู้อยู่อาศัย
- บทบาทของ “การตัดต่อ” ในการสร้างความทรงจำ: ในภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องไม่เป็นเส้นตรงเช่นนี้ ผู้ตัดต่อมีบทบาทสำคัญเทียบเท่าผู้กำกับ การตัดต่อใน “Sound of Falling” ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เล่าเรื่อง แต่ทำหน้าที่ “เลียนแบบกลไกการทำงานของความทรงจำ” ที่มักจะกระจัดกระจาย, หวนนึกถึงอดีตเป็นภาพแวบ (Flashback) หรือนึกถึงอนาคต (Flash-forward) อย่างไม่มีลำดับเวลา หนังมีการใช้เทคนิคการตัดสลับภาพ “หยดเหงื่อ” หรือ “กองฟาง” จากยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่ง ซึ่งช่วยตอกย้ำว่าประสบการณ์เหล่านี้ “เชื่อมโยง” กัน
- ความเงียบและการไม่พูด: ผู้กำกับและทีมนักแสดงได้พูดถึงความสำคัญของ “ความเงียบ” และสิ่งที่ตัวละคร “ไม่ได้พูดออกมา” ในครอบครัว บาดแผลจำนวนมากในเรื่องเกิดจากการที่ “ไม่มีใครพูดอะไร” หรือการที่ทุกคน “รับรู้แต่เลือกที่จะเพิกเฉย” ต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตรงหน้า (เช่น การที่ตัวละครถูกทำร้าย) “เสียง” ที่ทรงพลังที่สุดในหนังเรื่องนี้จึงอาจเป็น “ความเงียบ” ที่ซ่อนความรุนแรงเอาไว้
สี่ชีวิต สี่ยุคสมัย หนึ่งอดีต สู่เรื่องราวสั่นสะเทือนหัวใจผู้หญิงทั่วโลก “Sound of Falling เสียงรักข้ามศตวรรษ” ชนะรางวัลจูรีไพรซ์ จาก “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2025” ให้หัวใจฟังเสียงรักที่หล่นหายไป 20 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Anastasia Cherepakha Andreas Anke Bärbel Schwarz Claudia Geisler-Bading Fabian Gamper Filip Schnack Florian Geißelmann Gode Benedix Greta Krämer Hanna Heckt Helena Lüer In die Sonne schauen Konstantin Lindhorst Laeni Geiseler Lea Drinda Lena Urzendowsky Liane Düsterhöft Louise Peter Lucas Prisor Luise Heyer Luzia Oppermann Martin Rother Mascha Schilinski Ninel Geiger Sound of Falling Susanne Wuest Zoë Baier เสียงรักข้ามศตวรรษ
นักแสดง








ผู้กำกับ
มาชา ชิลินสกี (Mascha Schilinski)รางวัล
- ชนะรางวัล “จูรีไพรซ์” (Jury Prize) จาก “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2025” (The 78th Cannes Film Festival)
- ตัวแทน “ประเทศเยอรมนี” ส่งชิง #Oscars2025 “ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม”



