นาคปรก (Nak Prok: In the Shadow of Naga)
เรื่องย่อ
เราเชื่อว่า…
ศาสนาไม่เคยเสื่อม แต่คนต่างหากที่เสื่อม
เมื่อศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี และไม่มีความเลวใดที่จะทำลายได้
หยั่งลึกถึงแก่นแท้ของความดีที่รอการเข้าถึง สุดขั้วของความชั่วที่แฝงเร้นในสังคม
ยังไม่เคยมีหนังไทยเรื่องไหนที่ฉีกทุกความกล้า ท้าทุกความแรงเท่านี้มาก่อน
“นาคปรก”
ว่าแต่คุณกล้าไหมที่จะพิสูจน์
18 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ภาพยนตร์แอคชั่นดราม่าสุดเข้มข้นว่าด้วยเรื่องราวของสามโจร “สิงห์” (เร แม็คโดแนลด์), “ป่าน” (สมชาย เข็มกลัด), “ปอ” (ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) ที่รวมหัวกันวางแผนปล้นรถขนเงิน แต่เคราะห์กรรมทำให้ถูกไล่จับ เมื่อจนมุมจึงตัดสินใจนำเงินที่ปล้นมาได้แอบซ่อนไว้ในวัด แต่เมื่อย้อนกลับมาขุดหาเงินจึงรู้ว่าที่ซ่อนเงินถูกโบสถ์ใหม่สร้างทับไปแล้ว
ทางเดียวที่จะทำให้ได้เงินคืนมาคือการปลอมเป็นพระภิกษุในวัดนั้น!
สิงห์จึงทำการปล้นผ้าเหลืองด้วยการบังคับให้ “หลวงตาชื่น” (สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์) บวชให้ตนและป่าน เพื่อกลายสภาพเป็นพระธุดงค์ปลอมเข้ามาอยู่ในวัด มีเพียงปอเท่านั้นที่ยืนกรานที่จะไม่บวชเพราะเชื่อว่านี่คือสิ่งผิด จึงตัดสินใจเป็นแค่เด็กวัดเพื่อคอยติดตามพระปลอมทั้งสองเท่านั้น
ถึงแม้ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ป่านและปอสองพี่น้องตัดสินใจลงมือทำเพื่อต้องการนำเงินที่ได้ไปรักษาตาที่มืดบอดของ “แม่” (รัชนู บุญชูดวง) ส่วนสิงห์ทำลงไปด้วยความชั่วที่ฝังลึกอยู่ในสันดาน
แต่ใช่ว่าพฤติกรรมที่แฝงเร้นเข้ามาในวัดของทั้งสามจะรอดพ้นไปจากสายตาแห่งความเคลือบแคลงสงสัยของเหล่าพระและเด็กในวัดไม่ ในขณะเดียวกันผ้าเหลืองที่สองโจรห่มอยู่คล้ายดั่งเครื่องห้ามความชั่วที่อยู่ในตัวของเหล่ามารศาสนาลงไปได้บ้าง ส่วนปอเองกลับค่อยๆ เรียนรู้และซึมซับเอาหลักธรรมคำสอนแห่งความดีที่ได้จากหลวงตาชื่นทีละน้อย
จนกระทั่งเมื่อความจริงปรากฏ “กิเลส ความเลว ความโลภ” ที่ครอบงำถึงส่วนลึกในจิตใจได้ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง
“ปาฏิหาริย์แห่งศรัทธา” จะเกิดขึ้นในห้วงสำนึกสุดท้ายของคนได้หรือไม่
“ศาสนา” จะสามารถขัดเกลาให้ “คนเลว” กลับกลายเป็น “คนดี” ได้จริงหรือ
เตรียมพบกับบทสรุปของเหตุการณ์พลิกผันที่หลายคนคาดไม่ถึง สู่แก่นแท้ของ “ความดี” และ “ความเลว” ที่สุดขั้วในใจคน
3 ปีแห่งการเดินทางของ “นาคปรก” ก่อนกลายมาเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ไทย
เป็นเวลากว่า 3 ปีที่ “นาคปรก” ได้ผ่านการเดินทางอันยาวนานนับตั้งแต่วันที่หนังเริ่มถ่ายทำจนถึง ณ วันนี้ที่หนังกำลังจะได้ลงโรงฉายให้ได้พิสูจน์ความ “แรงจริง” และ “ดีจริง” ซึ่งถือเป็นการจารึกตัวเองในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์หนังไทยทั้งเรื่องของการผ่านด่านกองเซนเซอร์ ทั้งการทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ หรือการอดทนรอกฎหมาย พ.ร.บ.การจัดเรท ซึ่งคงไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนในบ้านเราที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการเพื่อพิสูจน์เจตนาอันดีงามรวมไปถึงความสนุกเข้มข้นเพื่อคอหนังอย่างครบถ้วนอย่างยาวนานขนาดนี้ แต่ด้วยภาพและหน้าหนังที่ค่อนข้างที่จะดูหมิ่นเหม่โดยเกี่ยวโยงกับเรื่องศาสนาจึงทำให้หนังเรื่องนี้ถูก “พิพากษา” ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดูหนัง ซึ่ง “ปรัญชา ปิ่นแก้ว” โปรดิวเซอร์ผู้อยู่ร่วมในเบื้องหลังการผลักดันให้หนังไทยประวัติศาสตร์เรื่องนี้ได้ออกฉาย เปิดเผยว่า
“ณ วันนี้ที่หนังกำลังจะได้ฉายแล้ว ดีใจมากครับ เพราะตั้งแต่แรกที่เราทำ เรามีความมั่นใจว่าหนังต้องได้ฉาย คนต้องได้ดู คืออยากให้คนดูรู้สึกภูมิใจในความกล้าที่คนจะทำหนังแบบนี้ออกมาจนตอนนี้ ‘นาคปรก’ กำลังจะได้ฉายแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นที่คนกำลังจะได้ไปดูกัน เราอาจจะมองว่าหนังดูจำกัดอายุคนดูพอสมควร แต่ผมคิดว่าคนดูหนังมีวุฒิภาวะในการดูแตกต่างกันอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ได้สื่อสารว่าศาสนาเสื่อม แต่คนต่างหากที่เสื่อม บวกกับความแอคชั่นดราม่าที่เข้มข้น รับรองว่าคุ้มค่าการรอคอย ทั้งแง่คิดที่เป็นสิ่งเตือนใจ และสิ่งสอนใจที่เคลือบหนังเรื่องนี้ไว้ ผมว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับสังคมในบ้านเรา แต่ผมยังยืนยันว่าเนื้อหาข้างใน ‘นาคปรก’ ไม่ได้ทำให้ศาสนาเสื่อมแต่อย่างใด”
ทางด้านผู้กำกับ “ใหม่ ภวัต” ที่งานนี้ดีใจกว่าใครเพื่อนที่หนังซึ่งทุ่มแรงกายแรงใจมานานกำลังจะได้ฉายแล้ว
“ดีใจ ดีใจมากด้วย คือในฐานะผู้กำกับที่อยู่กับหนังมาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มเปิดกล้อง จนปิดกล้อง คือมันเหมือนลูก พอปิดกล้องเสร็จ ตัดต่อเสร็จ เราก็อยากให้คนได้เห็นมัน อยากรู้สึกว่าคนรู้สึกอย่างไร ระหว่างที่รอมันเหมือนยังไม่หายเหนื่อย จนกว่าคนจะได้เห็นหนัง แล้วเรื่องนี้ผ่านอะไรมาเยอะมากกว่าจะได้ฉาย ที่ผ่านมาเหมือนมันยังหายเหนื่อยไม่สุด มาถึงตอนนี้ก็ดีใจมาก แล้วก็เชื่อว่าคนดูจะเปิดใจไปพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในหนังกัน”
กว่าหนังเรื่องนี้จะได้ฉายให้คนไทยได้พิสูจน์ความแรงและความกล้าที่เรียกได้ว่าพลิกทุกหน้าประวัติศาสตร์หนังไทยที่เคยมีมา ก็ต้องผ่านการต่อสู้กับกองเซนเซอร์ หรือแม้แต่กลุ่มคนที่พิพากษาหนังในทางลบทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดู ซึ่งทีมงานได้ต่อสู้ทั้งการทำประชาพิจารณ์โดยนำหนัง “นาคปรก” ไปฉายผ่านสายตามาแล้วกว่า 1,000 คน ทั้งจากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั่วกรุงเทพฯ และหมู่คณะสงฆ์ ซึ่งกว่า 95 เปอร์เซนต์ต่างการรันตีว่าหนังเรื่องนี้ “แรงจริง…ดีจริง” จนในที่สุด “นาคปรก” ก็ได้ไฟเขียวให้ฉายโดยไม่มีการตัดทอนตัวหนังแม้แต่ฉากเดียว งานนี้ผู้กำกับได้เผยความรู้สึกเพิ่มเติมว่า
“ต้องขอบคุณหลายๆ ฝ่ายที่ช่วยกันทำให้ ‘นาคปรก’ ได้ฉายครับ ตลอดเวลาสามปีเราก็ลุ้นมาตลอดว่าหนังจะได้ฉายมั้ย ผมในฐานะคนทำ ตั้งใจมาแต่แรกว่าเรามีเจตนาดี แล้วก็มีความเชื่อมาตลอดว่าหนังต้องได้ฉาย คือช่วงที่ลุ้นว่าจะได้ฉายหรือไม่ได้ฉาย ก็ไม่สบายใจมากที่คนกำลังมองเจตนาของเราผิดไป คนที่อยากแบนหนัง พิพากษาหนังไปในทางลบก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ยังไงก็อยากให้เปิดใจและดูสิ่งที่หนังอยากจะบอกก่อน อย่างตอนที่เราไปทำประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ เสียงส่วนใหญ่จากคนที่ดูหนังเขาก็ชอบและอินไปกับสิ่งที่หนังอยากจะบอก ตรงนี้เป็นกำลังใจ เป็นความหวังให้เราเสมอมา จนวันนี้หนังกำลังจะได้ฉายโดยไม่โดนตัดหรือเซนเซอร์อะไรเลย เพราะมันมีการจำกัดอายุคนดูแล้ว ถ้าโดนตัดไปสักฉากหนึ่ง หนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ ‘นาคปรก’ แล้ว อยากให้ไปดูเนื้อหาในหนังก่อนจะพิพากษาว่ามันดีหรือไม่ดี”
18 มีนาคมนี้ คือวันดีเดย์ที่ “นาคปรก” จะได้ให้คอหนังในบ้านเรา “พิพากษา” ภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างชนิดที่ว่าไม่ตัดเนื้อหา และความชัดเจนที่หนังอยากจะบอกไปเลยแม้แต่เฟรมเดียว
“คือนอกจากจะสนุกและลุ้นไปกับเรื่องราวของหนังแล้ว อยากให้ดู ‘นาคปรก’ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นข้อคิด หนังเรื่องนี้อยากจะนำเสนออะไรที่แรง คือนอกจากในความเป็นหนังแอคชั่นเข้มข้น ผมเชื่อว่าเมสเสจที่หนังต้องการจะบอก จะทำให้คนดูได้แง่คิดดีๆ ติดตัวกลับไป คุณจะรู้ว่าควรจะเลือกทำสิ่งไหน เลือกที่จะเดินลงนรกหรือจะเลือกทางขึ้นสวรรค์ ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วคุณจะรู้ว่าศาสนาจะให้อะไรดีๆ ในหัวใจของคุณได้บ้าง”
เกร็ดภาพยนตร์:
- สิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อผ่าน “นาคปรก” ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับบัว 4 เหล่าได้แก่ บัวเหนือน้ำ บัวปริ่มน้ำ บัวใต้น้ำ บัวอยู่กับโคลนตม เพื่อพิสูจน์ว่า “ศรัทธา” สามารถทำให้คนทุกประเภทหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาต่างๆ ได้หรือไม่ “ศาสนา” สามารถขัดเกลาให้คนเป็นคนดีได้จริงหรือโดยสะท้อนผ่านตัวละครแต่ละตัว
- เนื่องจาก “นาคปรก” เป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา นักแสดงหลักเกือบทุกคนในเรื่องจึงต้องโกนหัวจริงเพื่อแสดงเป็นพระอย่างสมบทบาท ไม่ว่าจะเป็น “เต๋า สมชาย, เร แม็คโดแนลด์, เต้ ปิติศักดิ์, สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์” และนักแสดงหน้าใหม่อีกหลายคน
- “นาคปรก” เป็น “พระประจำวันเสาร์” ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากที่นักแสดงหลัก 3 คนทั้ง “เต๋า-เร-เต้” ทุกคนต่างก็เกิด “วันเสาร์” ทั้งที่ทีมคัดเลือกนักแสดงไม่ทราบข้อมูลนี้มาก่อนเลย
- บทบาทที่ “เร แม็คโดแนลด์” ได้รับในถือเป็นตัวละครที่มีการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวละครอย่างถึงขีดสุด ซึ่งสะท้อนด้านมืดของคนออกมาอย่างชัดเจน ถือเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซของเรเลยทีเดียว
- ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงรุ่นใหม่มากฝีมือหรือรุ่นใหญ่ระดับขึ้นหิ้ง ล้วนแล้วแต่ตัดสินใจแสดงภาพยนตร์เรื่อง “นาคปรก” ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ เพราะความโดดเด่นของตัวละครและเรื่องราวที่เข้มข้นภายใต้บทภาพยนตร์ที่ว่ากันว่าเป็นภาพยนตร์ไทยที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลย
- “ทราย เจริญปุระ” ท้าทายความสามารถอีกครั้งกับบทเป็น “หญิงขายบริการ” ที่เน้นบทบาทการแสดงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ผ่านทางสีหน้า แววตา และความพลุ่งพล่านอย่างถึงขีดสุด
บันทึกผู้กำกับ “ภวัต พนังคศิริ”
ช่วงเวลาที่ลุ้นเหลือเกินว่าหนังจะได้ฉายในไทยหรือเปล่า มีแต่คนถามผมว่าหนังจะได้ฉายหรอ ผมมักจะตั้งคำถามสวนกลับไปทุกๆ ครั้งว่า “ทำไมมันจะไม่ได้ฉายวะ” สิ่งหนึ่งที่ผมพอจะเข้าใจได้ว่าการทำงานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ยากที่จะเข้าไปแตะได้ เมื่อยากที่จะเข้าไปแตะ คนก็เลยไม่เข้าใจ ผมเลยเลือกที่จะเข้าไปแตะ (อาจจะถึงขั้นหยิบจับ) แบบตรงๆ ด้วยความเข้าใจ และกล้าพอที่จะเล่าเรื่องราวที่ทุกคนบอกว่าแตะไม่ได้ ซึ่งหลายคนตีความไปเองว่าเป็นการลบหลู่ศาสนา ทุกคนเลยพยายามที่จะเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยว รวมกระทั่งถึงต่อต้านคัดค้าน สิ่งนี้กระมังที่ทำให้เราถูกผลักออกมาจนห่างไกลจากศาสนา
คำถามที่อยู่ในใจของผมคือ สังคมเราทุกวันนี้ดูแลและทำนุบำรุงศาสนากันอย่างไร คือการสร้างวัดหรือเปล่า คือการบริจาคเงินให้วัดหรือเปล่า หรือคืออะไร และผมเชื่อเหลือเกินว่าเราทำไปเพื่ออะไรถ้าไม่ใช่ตัวเอง (เห็นแก่ตัว อยากได้อยากมี) มีกี่คนที่เข้าวัดไปโดยที่ไม่อยากได้อะไรเลย อย่างน้อยๆ ก็อยากได้บุญ เพราะคิดว่าทำแล้วได้ ทำแล้วได้
เอาเป็นว่าผมทำหนังเรื่องนี้ด้วยเจตนาที่ดี ด้วยความเข้าใจ และด้วยสามัญสำนึกของมนุษย์ในพุทธศาสนาคนหนึ่งที่หยิบเอาสิ่งที่หลายๆ คนไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว จนสิ่งนั้นกำลังจะกลายเป็นจุดบอดหรือช่องโหว่ที่เป็นโอกาสให้กับคนที่ไม่เข้าใจในศาสนาใช้เป็นหนทางในการหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง เพราะคิดว่ามันง่าย ไม่มีใครกล้ายุ่ง เพราะศาสนาเป็นของสูง ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดอยากเล่าขึ้นมาเป็นพล็อตหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของศาสนา พร้อมกับคำถามมากมาย ศาสนาจะสอนให้คนเราเป็นคนดีได้จริงเหรอ (ซึ่งก็ทั้งจริงและไม่จริง)
ภูมิใจครับหากหนังเรื่องนี้จะเป็นจุดเริ่มของประเด็นที่ทำให้เราหันกลับมามองและเข้าใจศาสนากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว นอกเหนือจากการชมเพื่อความบันเทิง…
In the Shadow of Naga Nak Prok ธีระวัฒน์ รุจินธรรม นาคปรก บาแรมยู ปรัชญา ปิ่นแก้ว ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์ ภวัต พนังคศิริ รัชนู บุญชูดวง สมชาย เข็มกลัด สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ อินทิรา เจริญปุระ เร แม็คโดแนลด์
นักแสดง
ผู้กำกับ
ภวัต พนังคศิริรางวัล
รางวัล “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 20” (ประจำปี 2553) / รางวัล “ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 19” (ประจำปี 2553) / รางวัล “คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 8” (ประจำปี 2553) / รางวัล “STARPICS Thai Film Awards ครั้งที่ 8” (ประจำปี 2553) – นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (อินทิรา เจริญปุระ)