สัมภาษณ์ “โซเอ ซัลดัญญา”
คุณคิดว่าทำไม “ฌาคส์ โอดิยาร์” เลือกคุณมารับบท “ริตา” ทันทีหลังจากคุยกันผ่าน Zoom
ถ้าฉันอยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบ หรือถ้าฉันเป็นศิลปินที่มั่นใจในตัวเองมากกว่านี้นะ ฉันก็คงจะบอกว่าเขาชอบเสียงของฉันและชอบที่ฉันมีพื้นฐานด้านการเต้น แต่ความจริงคือฉันไม่รู้เลย สิ่งที่ฉันรู้แน่ๆ คือตอนที่ได้รับโอกาสสัมภาษณ์และได้รับลิงก์ Zoom ฉันพยายามอย่างมากที่จะกดความตื่นเต้นเอาไว้ เขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ฉันชื่นชอบมากที่สุด และฉันก็ดูหนังฝรั่งเศสมาตั้งแต่ยังเด็ก
คุณคิดยังไงตอนที่ได้อ่านบทครั้งแรก
ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษจริงๆ นี่ไม่ใช่พล็อตเรื่องธรรมดา และตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป พวกเขาทุกคนอยู่นอกกรอบของสังคม จากนั้นพอฉันได้ฟังเพลงก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาฉันต้องรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อเชื่อว่าฉันทำได้
ถ้าจะให้หนังมีสัญชาติเป็นของตัวเอง คุณคิดว่า “Emilia Pérez” เป็นหนังสัญชาติอะไร
ฉันมองว่ามันคือหนังของ “ฌาคส์ โอดิยาร์“ เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่เกินจริง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของผู้คนที่กำลังดิ้นรน “Emilia Pérez” เป็นเรื่องของคนที่ติดอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ และต้องหาทางออกที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ความตื่นตาตื่นใจนี้สะท้อนผ่านตัวละคร “ริตา” ยังไง
“ริตา” เป็นผู้อพยพที่อยู่ในสถานที่ที่ไม่ธรรมดา และเธอก็ต้องการชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม แม้ว่าข้อเสนอที่เธอได้รับจะมาพร้อมกับอันตราย และสมองส่วนหนึ่งของเธอจะบอกตลอดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่หัวใจของเธอกลับต้องการมัน
คุณบอกว่า “ริตา” เป็นผู้อพยพ ฉันไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะถูกระบุไว้ในบท นี่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่คุณสร้างขึ้นเองตอนเตรียมตัวรับบทหรือเปล่า
ใช่แล้วละ มันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ฉันสร้างขึ้นเอง “ฌาคส์” สนับสนุนเต็มที่ ตราบใดที่มันช่วยให้ฉันทำให้ตัวละคร “ริตา” มีชีวิตขึ้นมา
การแสดงเป็น “ภาษาสเปน” เป็นยังไงบ้างสำหรับคุณ
ในฐานะที่ฉันเป็นชาวละตินและเป็นผู้หญิงจากแถบแคริบเบียน “ภาษาสเปน” คือภาษาที่ฉันได้ยินเป็นภาษาแรก การได้สร้างงานศิลปะของตัวเองในภาษาบ้านเกิดมันพิเศษมาก ฉันไม่ได้รับโอกาสแบบนี้ทุกวันนะ
สิ่งนี้ช่วยเสริมมิติของการเป็นตัวแทนในฐานะนักแสดงหญิงชาวละตินในฮอลลีวูดไหม
ฉันเลิกคิดเรื่องการเป็นตัวแทนเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากภาระทางสังคมไปแล้ว ในช่วงแรกของอาชีพ ฉันคิดเรื่องความยุติธรรมทางสังคมเยอะมาก และรู้สึกว่ามีภาระบนบ่าที่ต้องเป็น “ตัวแทนที่ดี” แต่ช่วงหลังมานี้ฉันให้ความสำคัญกับศิลปะ การแสดง และความต้องการของตัวเองมากกว่า
คุณซ้อมเยอะมากก่อนการถ่ายทำ มันช่วยเพิ่มอะไรให้กับการแสดงของคุณบ้าง
ฉันเติบโตมากับการเต้นและการเล่นละครเวที สำหรับฉันแล้วเนี่ยอะไรจะออกมาดีได้ก็ต้องผ่านการซ้อม การเตรียมตัว การค้นคว้า และการฝึกฝน ฉันจะรู้สึกมั่นใจขึ้นเมื่อได้ทำสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่ามันเป็นการเสียสละเพราะต้องทำงานหนักมาก แต่สุดท้ายแล้วมันทำให้ฉันมีอิสระอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในกองถ่าย ถ้าผู้กำกับต้องการให้เปลี่ยนอะไร ฉันสามารถปรับตัวได้ทันทีเพราะมีชั่วโมงฝึกซ้อมรองรับอยู่แล้ว นอกจากนี้แล้วนะฉันเป็นคนที่ค่อนข้างกังวลและยังเป็น “ดิสเล็กเซีย” (ภาวะบกพร่องทางด้านการเรียนรู้ภาษา การอ่าน การเขียน การสะกดคำ) ด้วย ฉันเลยชอบฝึกฝนอะไรซ้ำๆ มันเป็นเหมือนการทำสมาธิของฉันเลย
คุณได้นำวินัยที่มาจากการฝึกเต้นมาใช้กับการแสดงตลอดเลยไหม
ฉันใช้มันกับการแสดงในแง่ของการเคลื่อนไหวร่างกายของตัวละครเสมอเลย แต่เพราะเป็น “ดิสเล็กเซีย” (Dyslexia) ฉันเลยมักใช้เวลากับการจำบท ฉันมักจะให้ความสำคัญกับการค้นคว้า การสร้างภูมิหลังของตัวละคร การพูดคุย และการแลกเปลี่ยนอีเมลกับผู้กำกับมากกว่า ความกลัวของฉันเสมอมาคือการต้องนั่งลงและท่องบท แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ฉันทำมันจริงๆ ฉันจ้างคนมาช่วยซ้อมบทกับฉัน และฉันยังฝึกสำเนียงเม็กซิกันด้วย
อะไรที่ท้าทายที่สุดสำหรับคุณในการถ่ายทำ
ฉากที่ต้องแสดงร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักแสดงเหล่านั้นมีความมุ่งมั่นและมีภาพในใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการมักจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉัน ฉากในร้านอาหารที่ “เอมิเลีย” เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอให้ฉันรู้เป็นฉากที่ท้าทายมากในแง่นี้ เพราะมีตัวประกอบจำนวนมาก เพลงที่เล่นตลอดฉาก และยังมีการทดลองปรับเปลี่ยนหลายอย่างระหว่างการถ่ายทำ “ฌาคส์” ต้องคอยจัดการทุกอย่าง “การ์ลา โซฟีอา” ต้องคอยปรับตัว ฉันเองก็ต้องคอยรับมือ แม้ว่าภายนอกฉันจะดูสงบนิ่ง แต่ข้างในนั้นฉันกลัวมากเลย
คุณมีเวลาเตรียมตัวกับ “การ์ลา โซฟีอา” มากแค่ไหนก่อนเริ่มถ่ายทำ
ฉันได้พบกับ “การ์ลา” หนึ่งปีก่อนเริ่มถ่ายทำ และเรามีช่วงเวลาซ้อมกันหลายครั้งกับ “ฌาคส์“ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากที่ได้ทำงานร่วมกับเธอ การ์ลาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และเพราะเนื้อหาของเรื่องนี้ใกล้กับตัวตนของเธอมาก เธอจึงถ่ายทอดบทบาทของ “เอมิเลีย” และ “มานิตัส” ออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากที่ได้เห็น ระดับความเคารพและความชื่นชมที่ฉันมีให้กับนักแสดงทุกคนไม่มีที่สิ้นสุด “เซลีนา” เองก็มีความยืดหยุ่น กล้าทดลอง และเปิดรับทุกอย่างมาก
คุณใช้เวลานานแค่ไหนในการเตรียมฉากกาลาที่ต้องใช้ทักษะทั้งการเต้น การร้อง และการแสดง
หลายเดือนเลย เราเริ่มทำงานกับฉาก “El Mal” ซึ่งเป็นฉากกาลาตั้งแต่เดือนมกราคม และมันเป็นหนึ่งในฉากสุดท้ายที่เราถ่ายทำในเดือนมิถุนายน เราเพิ่งได้เห็นเซตจริงสามวันก่อนถ่ายซึ่งทำให้ “ดาเมียน” นักออกแบบท่าเต้นเครียดไม่น้อย แต่โชคดีนะที่เราได้ซ้อมร่วมกับ “ซาชา นาเซรี” ซึ่งเป็นผู้ควบคุมกล้อง Steadicam หลายครั้ง เพราะฉากนี้เหมือนเป็นการเต้นรำไปพร้อมกับเขา มันเป็นทั้งความสนุก น่าทึ่ง และน่ากลัว และเจ็บตัวมากด้วย ฉันต้องประคบเย็นที่หลัง ข้อศอก และคอไปหลายวันหลังจากนั้น แต่ฉันทำได้สำเร็จ ฉันรักทุกอย่างเกี่ยวกับฉากนี้เลยจริงๆ
คุณช่วยอธิบายการทำงานของคุณกับ “คามิลล์” และ “เคลมองต์” ในส่วนของเพลงได้ไหม
มันเป็นกระบวนการที่มีความเป็นเทคนิคสูงมาก และ “ฌาคส์” ก็มีส่วนร่วมตลอดเวลา สิ่งที่ฉันรู้สึกสนุกที่สุดคือการได้เห็นสามปรมาจารย์ทำงานร่วมกัน ฌาคส์ในฐานะนักเล่าเรื่อง และ “คามิลล์” กับ “เคลมองต์” ในฐานะนักดนตรี เรามีการพูดคุย ประชุม และซ้อมกันมากมาย ฉันอยากให้พวกเขาภูมิใจกับงานของตัวเอง อยากให้พวกเขารู้สึกว่าดนตรีของพวกเขาได้รับการเคารพ และอยากให้ฌาคส์รู้สึกว่าตัวละครของ “ริตา” ได้รับการถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์ ฉันเติบโตในนิวยอร์กและทำละครเวทีมาตลอด ดังนั้นฉันจึงคุ้นเคยกับแนวคิดของละครเพลงอยู่แล้ว ในแง่หนึ่งการได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับ นักออกแบบท่าเต้น และผู้กำกับดนตรี แล้วนำทุกอย่างมารวมกันจนมันมีชีวิตขึ้นมา ทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ในวงการละครเวทีของตัวเอง แต่ฉันไม่เคยได้อยู่ใกล้ชิดกับนักดนตรีและนักแต่งเพลงมากขนาดนี้มาก่อน และพวกเขาก็ทำให้ฉันทึ่งทุกวันเลย
การถ่ายทำบนซาวนด์สเตจในปารีสเป็นอิสระ หรือเป็นความท้าทายเพิ่มเติม
ซาวนด์สเตจเป็นสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ ซึ่งสำหรับฉันเนี่ยถือเป็นอะไรที่อิสระมาก เวลาถ่ายทำในสถานที่จริง สภาพแวดล้อมแทบจะกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครของเรื่องเพราะสภาพอากาศและแสงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาส่งผลต่อวิธีการถ่ายทำและยังต้องพึ่งพาปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ในพื้นที่จำกัด เราสามารถควบคุมทุกองค์ประกอบได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีอิสระทางความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ฉันเองชอบการทำงานกับกรีนสกรีนเพราะฉันมีจินตนาการสูง สิ่งสำคัญคือทุกอย่างต้องผ่านการค้นคว้าและเตรียมพร้อมก่อนเริ่มถ่ายทำและตราบใดที่ผู้กำกับให้ความสำคัญกับการเตรียมตัว ค้นคว้า และซ้อม ฉันก็สามารถสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ด้วยจินตนาการของตัวเอง ฉันชอบมันมากเลย
สัมภาษณ์ “การ์ลา โซฟีอา กัสกอน“
“เอมิเลีย เปเรซ” คือใคร
“เอมิเลีย เปเรซ” เปรียบเสมือนการที่โฉมงามและเจ้าชายอสูรมาติดอยู่ในร่างเดียวกัน ตอนเปิดเรื่องภาพยนตร์ เธอยังคงเป็น “มานิตัส” หญิงสาวที่ถูกจองจำอยู่ในชีวิตที่ไม่ใช่ของเธอ แต่เธอก็มาถึงจุดหนึ่งที่มีโอกาสจะละทิ้งชีวิตนี้ไป ชีวิตที่เธอไม่ต้องการอีกต่อไป มานิตัสเติบโตขึ้นมาในโลกที่พ่อแม่ยอมให้ลูกชายเป็นอาชญากรดีกว่าถูกตราหน้าว่าเป็น “พวกรักร่วมเพศ” นั่นทำให้เขาติดอยู่ทั้งสองทาง ทั้งในโลกอาชญากรรมและในความเป็นชายที่เขาไม่รู้สึกเป็นตัวเอง
เพราะแบบนั้นเขาเลยตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างเพื่อเป็นตัวของตัวเองเหรอ
ใช่แล้ว นี่คือเรื่องราวของมนุษยชาติ เราทุกคนต้องยอมเสียบางสิ่งไปเพื่อให้ได้บางสิ่งมาเสมอ แต่นี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา และเขาเลือกที่จะละทิ้งทุกอย่างไปตลอดกาล แม้ว่าเขาจะกลับมาทบทวนการตัดสินใจของตัวเองตลอดทั้งเรื่อง และพยายามรักษาสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาไว้ นั่นก็คือลูกๆ ของเขานั่นเอง
คุณเคยรู้จักผลงานของ “ฌาคส์ โอดิยาร์” มาก่อนที่จะได้ร่วมงานกับเขาหรือไม่
แทบจะไม่เลย และฉันก็ไม่อยากดูหนังเรื่องก่อนๆ ของเขาด้วย ภาพยนตร์เรื่อง “Paris, 13th District” (2021) ของเขาออกฉายในช่วงที่เรากำลังเริ่มทำงานใน “Emilia Pérez” และฉันตัดสินใจที่จะไม่ดูมัน เพราะฉันไม่อยากให้ตัวเองได้รับอิทธิพลจากงานเก่าของเขา ฉันรักอิสระมากเกินไป การมองเขาเป็นเสมือนเทพเจ้าหรืออัจฉริยะคงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของฉันแน่ๆ แต่สิ่งที่ฉันพัฒนาขึ้นมาคือความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเหมือนครอบครัว หนึ่งในคำถามแรกที่ฉันถามเขาเมื่อเราพบกันคือ “เราจะสื่อสารกันอย่างไรดี” เขาให้คำตอบที่งดงามกับฉันว่า “ผ่านโทรจิต!” และมันก็เป็นเรื่องจริง มันได้ผล เขาเป็นผู้กำกับที่เข้าใจนักแสดงดีที่สุดในโลกเลย และฉันรักเขามาก เรามีความหลงใหลในศิลปะแขนงนี้ร่วมกัน
คุณคิดว่า “ฌาคส์ โอดิยาร์” ถ่ายทอดความซับซ้อนของ “เม็กซิโก” ออกมาได้ดีหรือไม่ โดยเฉพาะในฐานะที่คุณเป็นคนหนึ่งที่สร้างเส้นทางอาชีพของตัวเองที่นั่น
ฉันคิดว่าเขาทำได้ สิ่งที่เขาเข้าใจเป็นอย่างแรกคือพลังของผู้หญิงในการเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้เลยนะ สำหรับ “เม็กซิโก” แล้วเนี่ย มันเป็นประเทศที่ดึงดูดคุณอย่างแรงกล้า คุณจะได้เห็นทั้งสิ่งที่โหดร้ายและสิ่งที่งดงามไปพร้อมๆ กัน มีความอ่อนโยนและความอบอุ่นบางอย่างในตัวผู้คน และสำหรับฉันแล้วเม็กซิโกเป็นประเทศที่ฉันได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแท้จริง รวมถึงได้สร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งและอบอุ่นกับเพื่อนที่ฉันรักมาก
เมื่อคุณอ่านบทภาพยนตร์ คุณรู้สึกว่าตัวเองได้รับการเข้าใจในฐานะผู้หญิงและในฐานะผู้หญิงข้ามเพศหรือไม่
แน่นอน “ฌาคส์” คิดเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้มาเป็นเวลานาน เขาครุ่นคิดถึงประเด็นเหล่านี้มาโดยตลอด เขาหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการใช้สรรพนาม รวมถึงหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทั่วไปที่มักเกิดขึ้นด้วย
มันเป็นเรื่องที่ท้าทายแค่ไหน ทั้งในแง่อารมณ์และเทคนิค ในการแสดงฉากของ “มานิตัส”
โดยทั่วไปแล้ว ฉันชอบรับบทตัวละครที่แตกต่างจากตัวฉันเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และบอกตามตรงนะ “มานิตัส” ก็ไม่มีอะไรเหมือนฉันเลย แต่แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่สะท้อนอยู่ในตัวฉัน โดยเฉพาะความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและความรักที่เขามีต่อลูกๆ ฉันรักเขาเพราะเขาเป็นอิสระ ในขณะที่ “เอมิเลีย” กลับถูกกดทับมากกว่า ไม่ว่าผู้คนจะพูดอย่างไร บรรทัดฐานทางสังคมกดดันผู้หญิง แม้ว่าผู้หญิงจะมีอิสระทางจิตใจมากกว่า และในระหว่างการถ่ายทำ การรับบทเอมิเลียเป็นเรื่องที่ท้าทายมากกว่า ฉันต้องสวมคอร์เซตที่จำกัดการเคลื่อนไหวของฉัน วิกผมที่รัดศีรษะ และรองเท้าส้นสูง ในขณะที่มานิตัส หลังจากแต่งหน้าและติดอวัยวะเทียมบนใบหน้าแล้ว ฉันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
คุณทำได้ยังไงกับเสียงของคุณอย่างไรเพื่อให้ได้เสียงทุ้มต่ำของ “มานิตัส” และเสียงที่สูงกว่ามากของ “เอมิเลีย”
เสียงของฉันเองอยู่กึ่งกลางระหว่างเสียงของ “มานิตัส” และ “เอมิเลีย” แต่ฉันหลงใหลในงานพากย์เสียง อยู่แล้ว ขนาดที่ว่าแม้จะอยู่ในชีวิตจริง ฉันก็มักจะสนุกกับการสร้างเสียงให้กับตัวละครต่างๆ อยู่เสมอ สำหรับมานิตัสแล้วนะ ฉันนึกถึงเสียงของ “จอห์น แรมโบ” ที่ฉันเคยดูทางทีวีตอนเด็กกับพี่ชาย ส่วนเอมิเลียซึ่งมีโทนเสียงที่เบากว่า เพราะเธอต้องเน้นความอ่อนโยน ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากเสียงของ “ซาแมนทา ฟอกซ์” นักร้องชาวอังกฤษ
คุณเข้าถึงฉากร้องเพลงยังไง
ฉันบอกกับ “ฌาคส์” และทีมงานตั้งแต่แรกว่าฉันไม่ใช่นักร้องหรือแดนเซอร์ โชคดีที่ฉันเป็นคนที่ขยันมาก และพวกเราใช้เวลานานเลยในการเตรียมพร้อมมากกว่าหนึ่งปีก่อนเริ่มถ่ายทำด้วยซ้ำ กับนักออกแบบท่าเต้น “ดาเมียน ฌาเลต์” แล้วเนี่ย เรามุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวมือของ “มานิตัส” และ “เอมิเลีย” ส่วนกับ “คามิลล์” และ “เคลมองต์” นักประพันธ์เพลงของเรื่อง มันเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะเพลงของเอมิเลียที่ต้องใช้เสียงสูงมาก แต่ฌาคส์ก็เป็นผู้กำกับที่ชาญฉลาดพอที่จะโอบรับทั้งความสามารถและข้อจำกัดของทุกคนได้
การร่วมงานกับ “โซเอ ซัลดัญญา” และ “เซลีนา โกเมซ” เป็นอย่างไรบ้าง
ถ้ามีใครบอกฉันเมื่อ 20 ปีก่อนว่าฉันจะได้แสดงในภาพยนตร์ของ “ฌาคส์ โอดิยาร์” ร่วมกับ “โซเอ ซัลดัญญา” และ “เซลีนา โกเมซ” ฉันคงไม่เชื่อแน่ๆ เคล็ดลับของฉันเพื่อไม่ให้รู้สึกกดดันกับสถานการณ์นี้ก็คือการมองพวกเธอเป็นเหมือนพี่น้อง และเป็นตัวละครของพวกเธอ ฉันอาจจะดูเหมือนคนบ้านะ เพราะฉันอินกับหนังมากจนบางครั้งเส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงกับบทบาทก็เลือนราง อย่างตอนที่ฉันดูฉากของเซลีนากับ “เอ็ดการ์ รามิเรซ” ที่รับบทเป็นคนรักของเธอ ฉันรู้สึกถึงความหึงหวงของเอมิเลียจริงๆ
ฉากไหนที่ท้าทายที่สุด
ฉากในโรงพยาบาลตอนที่ “เอมิเลีย” ตื่นขึ้นมาหลังการผ่าตัด เป็นหนึ่งในฉากแรกที่เราถ่ายทำกัน และมันเต็มไปด้วยอารมณ์มากๆ นอกจากนี้ยังมีฉากที่เอมิเลียอยู่กับลูกชายของเธอในห้องนอนของเด็กก็ทำให้ฉันตระหนักถึงความลึกซึ้งของบทบาทนี้ได้อย่างแท้จริง ตอนที่ฉันนอนลงมองไปที่แสงไฟบนเพดาน ฉันรู้เลยว่าพอถ่ายทำเสร็จ ฉันคงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเข้มข้นของบทบาทนี้ เพราะสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่มันหนักหนามากๆ ฉันเป็นแม่และฉันก็เคยเป็นพ่อมาก่อน สำหรับฉันแล้วเนี่ยประเด็นนี้ในหนังเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็สื่ออารมณ์ออกมาอย่างลึกซึ้งมากเลย
เมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉาย คุณจะกลายเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มคนข้ามเพศและการต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเขา คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้
เหนือสิ่งอื่นใดแล้วเนี่ย ฉันคิดว่าก่อนที่จะเป็นตัวแทนของชุมชนทรานส์และ LGBTQI+ ฉันมองว่าตัวเองเป็นคนที่ต่อสู้เพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง นักแสดงหลายพันคนทั่วโลกต่างดิ้นรนเพื่อให้ได้ทำงานและแสดงบนเวทีที่แทบไม่มีผู้ชม ฉันเองก็เคยแสดงให้ผู้ชมเพียงคนเดียวดูมาแล้ว มันเป็นอาชีพที่ยากมาก ดังนั้นเนี่ย ก่อนอื่นเลยนะ ฉันอยากเป็นกระบอกเสียงให้กับความกล้า ความปรารถนา และความมุ่งมั่นที่ช่วยให้เราสามารถไปถึงความฝันของตัวเอง
สำหรับคนข้ามเพศ ฉันหวังว่าเราจะไม่ถูกลดคุณค่า ไม่ถูกมองว่าเป็นแค่ “ประเด็น” ในสังคม ฉันอยากให้เราได้รับการมองเห็นในฐานะมนุษย์ที่มีชีวิต มีความฝัน และมีเรื่องราวของตัวเอง เช่นเดียวกับทุกคน
ฉันหวังว่าเราจะไม่ถูกจัดหมวดหมู่หรือตีกรอบให้อยู่ในกล่องใดกล่องหนึ่ง ฉันหวังว่าเราจะไม่ถูกล้อเลียน ดูถูก หรือถูกเกลียดชัง ฉันโชคดีในแบบของตัวเอง ต้องขอบคุณภรรยาและครอบครัวของฉันที่ทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปได้ตามปกติ แต่เราต้องคิดถึงผู้หญิงข้ามเพศอีกมากมายที่ต้องหันไปค้าประเวณีเพราะพวกเธอสูญเสียงานและวิถีชีวิตของตัวเอง ฉันหวังว่าเราทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเปิดเผย และที่สำคัญที่สุดคือได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
สัมภาษณ์ “เซลีนา โกเมซ”
คุณรู้จักผลงานของ “ฌาคส์ โอดิยาร์” แค่ไหนตอนที่พบเขาครั้งแรกที่นิวยอร์ก
ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ฉันเคยดูเลยคือ “Rust and Bone” (2012) และฉันก็ตกหลุมรักสไตล์การสร้างหนังของเขาทันทีทันใด ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบเขาแต่ก็กังวลด้วยเหมือนกัน เพราะฉันรู้ว่านี่จะเป็นบทบาทที่ท้าทายสำหรับฉันมาก
เขาบอกว่าคุณไม่เชื่อเขา ตอนที่เขาบอกคุณหลังจากคุยกันได้แค่ 10 นาทีว่าบทนี้เป็นของคุณ
ตอนที่ฉันออดิชันให้เขาดู ฉันสาบานได้เลยว่าฉันแทบจะไม่รู้ตัวเลยนะ เพราะฉากนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกจนฉันจมดิ่งไปกับมันจริงๆ พอเขาบอกว่าบทนี้เป็นของฉัน มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังฝันไปเลย
“ฌาคส์ โอดิยาร์” บอกว่าเขาไม่รู้จักคุณมากนักตอนที่พบกันครั้งแรก คุณคิดว่าการที่เขาไม่ค่อยรู้เรื่องชื่อเสียงและภาพลักษณ์สาธารณะของคุณส่งผลต่อความสัมพันธ์ในการทำงานของคุณหรือไม่
ฉันชอบมากที่เขาแทบไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร และถ้ามองในแง่หนึ่งมันเป็นผลดีสำหรับฉันเสียด้วยซ้ำ เขามองฉันแค่ในฐานะนักแสดง ไม่มีการตั้งสมมติฐานใดๆ ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันได้บทนี้มาจากความสามารถของตัวเองจริงๆ
คุณทั้งเต้น ร้องเพลง และแสดงมาตลอด ศิลปะแขนงเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกันสำหรับคุณอย่างไร
เวลาฉันร้องเพลง ฉันรู้สึกเหมือนกำลังแสดง เพราะฉันจมดิ่งไปกับเนื้อร้องและรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเป็นตัวละครตัวหนึ่ง ฉันไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักเต้นที่เก่งที่สุดนะ แต่ฉันรักความรู้สึกปลดปล่อยผ่านเสียงเพลง และชอบที่การเต้นสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเศร้า สุข เหงา หรือเปี่ยมไปด้วยพลัง ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงถึงกัน สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว การเต้นก็เป็นส่วนสำคัญของตัวละคร และเป็นรูปแบบการเต้นที่ฉันไม่เคยลองมาก่อน มันซับซ้อนและสวยงามมาก
ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นใน “เม็กซิโก” ประเทศบ้านเกิดของพ่อคุณ ในฐานะที่เติบโตในเท็กซัส คุณมีความสัมพันธ์กับเม็กซิโกและวัฒนธรรมเม็กซิกันอย่างไรบ้าง
คุณยายของฉันเดินทางจาก “เม็กซิโก” มายังสหรัฐฯ ในปี 1973 โดยซ่อนตัวอยู่ท้ายรถบรรทุก และใช้เวลา 18 ปีถึงจะได้รับสัญชาติ มันไม่ง่ายเลยสำหรับเธอเพราะเธอต้องจากครอบครัวมากมายในเม็กซิโก พ่อของฉันทำให้ฉันเชื่อมโยงกับรากเหง้าของตัวเองได้ดีมาก ตั้งแต่ขนบธรรมเนียม อาหาร ไปจนถึงวัฒนธรรม ทุกอย่างล้วนเป็นส่วนสำคัญเสมอ และเม็กซิโกเองก็อยู่ห่างจากเราด้วยการขับรถเพียงไม่นานด้วย
คุณเตรียมตัวอย่างไรกับการแสดงเป็น “ภาษาสเปน” ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยทำมาก่อน
ฉันเคยร้องเพลงเป็น “ภาษาสเปน” มาก่อนนะ แต่ฉันรู้สึกประหม่าและกังวลมากกว่ามากเวลาต้องพูดภาษาสเปนในภาพยนตร์ โชคดีที่ตัวละครของฉันเป็นชาวเม็กซิกัน-อเมริกัน ซึ่งช่วยลดความกดดันในการทำให้ทุกอย่างฟังดูสมบูรณ์แบบ
สิทธิของคนข้ามเพศกำลังถูกโจมตีทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐเท็กซัส บ้านเกิดของคุณ คุณคิดว่าภาพยนตร์เรื่อง “Emilia Pérez” เป็นภาพยนตร์เชิงการเมืองหรือไม่ และมันสำคัญแค่ไหนสำหรับคุณในการเล่าเรื่องราวนี้ในช่วงเวลานี้ของการเมืองอเมริกัน
ตอนฉันอ่านบทครั้งแรกนะ ฉันต้องการให้แน่ใจว่าบทบาทของ “เอมิเลีย” ควรได้รับการแสดงโดยคนที่เคยผ่านประสบการณ์ชีวิตแบบนั้นจริงๆ สำหรับฉัน มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้หญิงข้ามเพศจะได้รับโอกาสนี้ เพราะการถูกมองเห็นและการเป็นตัวแทนมีความหมายมากจริงๆ
ตัวละครของคุณใน “Emilia Pérez” เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งซึ่งต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการรักใครก็ตามที่เธอต้องการ เธอยังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านอีกด้วย คุณรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งนี้หรือไม่
ใช่แล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงอายุ 30 ฉันได้ผ่านประสบการณ์การค้นพบตัวเองมากมายในชีวิต มันอาจจะซับซ้อนและแปลกประหลาด แต่ฉันกลับพบว่ามันเป็นสิ่งที่คอยเติมเต็มชีวิต และทุกอย่างก็ดีขึ้นไปตามกาลเวลา ฉันรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากขึ้นและเข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย
อะไรในตัวเธอที่คุณรู้สึกซาบซึ้งที่สุด
ฉันเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงมองทุกอย่างอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลหรือความโกรธ เธอเป็นตัวละครที่สนุกในการแสดง เพราะไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่เธอรู้สึกมั่นคง
เธอยังเป็นแม่ที่พยายามดูแลลูกๆ แต่ก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระในฐานะผู้หญิง คุณได้รับแรงบันดาลใจจากที่ไหนในการแสดงบทบาทนี้
ก่อนอื่นเลยฉันรักเด็กมาก ฉันคงตอบคำถามนี้ไม่ได้อย่างยุติธรรมในแง่ของการเป็นแม่ เพราะฉันยังไม่มีลูกแต่ฉันเคารพผู้หญิงมากๆ เพราะพวกเราสามารถทำได้ทุกอย่าง ฉันมองไปที่ “โซเอ” และเห็นว่าเธอเป็นแม่ที่น่าทึ่งขนาดไหน ในขณะเดียวกันเธอก็ยังเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ฉากไหนที่คุณกังวลที่สุดก่อนถ่ายทำ
ฉันกังวลเกี่ยวกับฉากเต้นมากที่สุดเลย เพราะฉันไม่เคยเต้นสไตล์นั้นมาก่อน มันเข้มข้นมากและฉันรู้ได้เลยว่ามันต้องหนักต่อร่างกายฉันแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็สนุกกับมันมาก ทั้งในช่วงซ้อมและตอนถ่ายทำจริง
คุณช่วยเล่าถึงการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในปารีสได้ไหม การถ่ายทำส่วนใหญ่บนฉากสตูดิโอส่งผลต่อการแสดงของคุณอย่างไรบ้าง
ตอนแรกฉันรู้สึกกังวลนะ แต่พวกเขาทำให้ทุกอย่างสมจริงมากจนเมื่อเราก้าวเข้าสู่ฉาก เรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง แม้ว่ามันคงจะดีหากได้ถ่ายทำในเม็กซิโกจริงๆ แต่ฉันคิดว่าพวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการสร้างบรรยากาศของ “เม็กซิโก” ขึ้นมา ดังนั้นมันจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงตัวละครของฉันเลย
ห้ามพลาด! “Emilia Pérez เอมิเลีย เปเรซ” ภาพยนตร์คุณภาพ 2 รางวัลออสการ์ปีล่าสุด 27 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์