Buena Vista Social Club: Adios กู่ร้องก้องโลก
เรื่องย่อ
“เพราะเสียงดนตรี ไม่เคยมีวันหมดอายุ”
การรวมตัวของตำนานดนตรีแห่งคิวบา
“Buena Vista Social Club: Adios กู่ร้องก้องโลก”
19 ตุลาคม เฉพาะ House RCA
จากวงดนตรีเล็กๆ “Buena Vista Social Club” กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก จากการเปิดตัวอัลบั้มที่สั่นสะเทือนไปทั่วคิวบาในปี 1997 ของค่าย “World Circuit Records” รวมถึงการเข้าฉายของหนังสารคดีที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ปัจจุบันภายใต้ฉากหลังที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์ดนตรีของคิวบา “Buena Vista Social Club : Adios” ภาพยนตร์สารคดีปี 2017 จะนำผู้ชมไปพบกับเรื่องราวของวงที่เคยเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ในมุมที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
ภาพยนตร์เรื่องนี้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่คาดคิดในปี 1997 ทั้งได้รางวัลแกรมมี่ มีออกแสดงทัวร์แบบกลุ่ม และโซโลออกมา ผู้คนตกหลุมรัก “Buena Vista Social Club” ไม่เพียงเพราะท่วงทำนองไร้พิษภัย แต่ยังรวมถึงตัวตนของเหล่าสมาชิกผู้สูงวัยแต่ละคนที่มารวมตัวกัน
“การได้รู้เรื่องราวของพวกเขา ทำให้ผมติดใจในความตลกขบขัน ความเฉียบแหลม และความมีเกียรติที่แฝงอยู่ในเส้นทางอาชีพอันยาวนาน รวมถึงความปรารถนาที่จะเล่นดนตรีต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดแม้อายุอานามจะมากขึ้นก็ตาม” ทีมโปรดิวเซอร์ “คริสตีน โควิน” กล่าวก่อนที่ “แซ็ก คิลเบิร์ก” จะเสริมว่า “สมาชิกบางคนมีอายุ 60, 70, 80 และ 90 ปี ในกรณีของคอมเพย์ กว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จกับวง Buena Vista Social Club พวกเขามีความหวังและมองโลกในแง่บวก ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นและทรงพลังยิ่งนัก”
ความคิดแง่บวกที่ว่าแสดงให้เห็นอยู่ในการทัวร์รอบโลกครั้งสุดท้ายของวงซึ่งตั๋วขายออกหมด และยังได้แสดงโชว์ครั้งพิเศษที่ทำเนียบขาวด้วย ประธานาธิบดี “บารัก โอบามา” กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่วงดนตรีนี้ได้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างชาวคิวบาและชาวอเมริกัน เป็นความแน่นแฟ้นในมิตรภาพ วัฒนธรรม และที่ขาดไม่ได้คือเสียงดนตรี”
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเผยให้เห็นพลังอันชวนต้องมนตร์ของเสียงดนตรีที่อยู่เหนือกาลเวลา ภาษา และขอบเขตพรมแดนใดๆ ผ่านการแสดงครั้งนี้และตัวตนของศิลปินที่เปี่ยมด้วยแสงสว่าง
จากจุดสูงสุดสู่การลาจาก แต่เสียงดนตรีจะไม่มีวันหมดอายุ
เกือบ 2 ทศวรรษหลังจากบันทึกเสียงครั้งแรก สมาชิกในวง “Buena Vista Social Club” ซึ่งมีทั้งสมาชิกหน้าใหม่และเก่า ได้จัดงานอำลาวงด้วยการทัวร์รอบโลกซึ่งได้รับการขนานนามว่า “The Adios Tour” มีการเล่นเพลงในตำนานจากอัลบั้มแรก รวมถึงใช้เพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของสมาชิกหลายๆ คน กระนั้นเส้นทางอาชีพของพวกเขาก็ห่างไกลจากคำว่าจบ “ดนตรีคือเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายผม” มือกีตาร์และนักร้องนำ “อีเลียเดส โอชัว” กล่าว “Buena Vista Social Club และดนตรีเปรียบได้กับส่วนหนึ่งของชีวิตผม เราอาจไม่ได้เห็นสมาชิกทุกคนได้ขึ้นเวทีพร้อมกันอีก แต่ชาว Buena Vista ก็จะยังเล่นดนตรีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกเช่นเดิม”
ทางด้านของนักร้องอีกคนอย่าง “โอมารา ปอร์ตูออนโด” ก็พูดถึงการใช้ชีวิตหายใจเข้าออกเป็นดนตรีมานาน 8 ทศวรรษว่า “มันกลายเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของฉันไปแล้ว เหมือนกับที่โลกนี้มีทะเล อากาศ เมฆ และฝน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้” เธอกล่าว “แม้จะไม่ได้อยู่ร่วมกันอีก แต่พวกเราทุกคนก็จะยังทำงานต่อไป เราจะยังเล่นดนตรีต่อไปด้วยกันเช่นเคย”
เพื่อปิดฉากบทอันสำคัญ “มอนตูโน” ผู้จัดการวงได้พัฒนาความคิดเกี่ยวกับการทำหนังเรื่อง “Buena Vista Social Club: Adios” ขึ้นมา พวกเขาดึงตัว “Blink TV” มาร่วมงานด้วย ซึ่งพวกเขาบอกว่าถือเป็นช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะพอดี ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้จะหยิบยื่นโอกาสสำคัญที่จะสะท้อนให้เห็นถึงอาชีพของเหล่านักดนตรี และจะพาไปสำรวจว่าความสำเร็จ ความโด่งดังเป็นพลุแตกหล่อหลอมพวกเขาขึ้นมายังไงบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับท่วงทำนองของวง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเปรียบได้กับแคปซูลกาลเวลาชั้นยอด “เหล่านักดนตรีเองต้องการให้สร้างหนังเรื่องนี้เช่นกัน เพื่อเป็นหลักฐานถึงความเป็นตำนานของพวกเขา” ผู้ควบคุมงานสร้าง “คริสตีน โควิน” เผย “เราเองตื่นเต้นมากที่จะได้แนะนำดนตรีของพวกเขาให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก และจะได้เห็นปฏิกิริยาของพวกเขาด้วยว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อเขาได้พบเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์แบบนี้”
เหล่าศิลปินในวงเองก็แสดงความเห็นอย่างตื่นเต้นว่า “ผมภูมิใจในสิ่งที่เราทำเพื่อวัฒนธรรมของคิวบา นี่คือโอกาสของพวกเราที่จะเผยแพร่มันไปทั่วโลก” หัวหน้าวง “ฮวน เดอ มาร์คอส” กล่าว “และผมยังภูมิใจมากที่ได้เรามีอิทธิพลต่อนักดนตรีชาวคิวบารุ่นใหม่ พวกเขานำองค์ประกอบที่มีอยู่จากรากเหง้าของตัวเอง ทั้งฮิปฮอป แจ๊ส และอีกหลายๆ อย่างมาผสมกับดนตรีแบบคิวบาด้วยครับ”
เกร็ดภาพยนตร์
1) ในปี 2015 ขณะที่งานสร้างหนังเรื่องนี้เริ่มขึ้น วัฒนธรรมของประเทศคิวบาก็กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง เมื่อสหรัฐอเมริกาผ่อนปรนกฎหมายเรื่องการเดินทางไปคิวบา ส่งผลให้ประตูสู่อเมริกาและหนังต่างประเทศเปิดกว้างมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทีมงานสร้างใช้โอกาสนี้เป็นประโยชน์ในการทำให้ดนตรีของคิวบาได้เปล่งประกายในรูปแบบใหม่ “วิธีการทำงานในหนังเรื่องนี้คือใช้ดนตรีให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการได้เห็นพวกเขาที่เป็นตัวของตัวเอง ทั้งตอนทัวร์คอนเสิร์ต และที่สำคัญตอนอยู่บ้านในคิวบา” ผู้ควบคุมงานสร้าง “แซ็ก คิลเบิร์ก” ให้รายละเอียด มันหมายความว่าพวกเขาต้องส่งทีมงานเดินทางไปคิวบาหลายครั้งในช่วง 18 เดือน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่าอย่างยิ่ง คิลเบิร์กเล่าว่า “พวกเราสามารถจับภาพอันแสนมหัศจรรย์ได้ อาทิการแสดงของโอมาราและอีเลียเดสในซานติอาโก และการแสดงครั้งสุดท้ายของ Buena Vista Social Club ที่ Karl Marx Theater ในฮาวานา ซึ่งถือเป็นการแสดงสดที่พิเศษมากๆ ครับ”
2) อีกหนึ่งส่วนประกอบที่สำคัญในหนังเรื่องนี้ คือการเก็บข้อมูลว่าชีวิตของนักดนตรีนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ตลอดช่วงเวลาสำคัญของประวัติศาสตร์คิวบา ทีมงานใช้เวลาในการสัมภาษณ์ ผู้คนรอบตัวและสมาชิกวงที่เหลืออยู่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมจริงที่สุด
3) อีกหนึ่งขุมทรัพย์ที่เจอระหว่างการทำหนังคือฟุตเทจของหนังสารคดีปี 1997 ที่กำกับโดย “วิม เวนเดอร์ส” ความยาวกว่า 50 ชั่วโมงที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ซึ่งมีภาพการซ้อมของวงก่อนพวกเขาจะแสดงสดครั้งแรกที่กรุงอัมสเตอร์ดัม มีหลายฉากที่แอบถ่ายให้เห็นช่วงเวลาสำคัญๆ ของนักดนตรีที่มารวมตัวกันแล้วพยายามไขว่คว้ามนตร์ขลังของการเล่นดนตรี ทั้งตอนบันทึกเสียงเป็นครั้งแรก รวมทั้งยังบันทึกภาพความขัดแย้งของแนวทางดนตรีและตัวตนของที่แตกต่างกันของพวกเขาในหลายๆ สถานการณ์ด้วย
ข้อมูลเอกสารชิ้นสำคัญนี้ยังแสดงให้เห็นว่า อาชีพของเหล่านักดนตรีนั้นโคจรมาพบกันได้อย่างไร จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ยาวนาน 50 ปีมีหลักไมล์สำคัญอยู่ที่การถ่ายทอดการร้องเพลงของโอมาราที่ร้องกับ “อิบราฮิม เฟร์เรร์” ในช่วงปี 1960 และมีคอนเสิร์ตที่คอมเพย์ได้คัฟเวอร์เพลง “Chan Chan” ร่วมกับอีเลียเดส ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเพลงที่ได้รับความนิยมที่สุดของอัลบั้มปี 1997 ในขณะที่ผู้สร้างขุดเอาภาพเหล่านี้มาใช้ และพาล่องไปในเขตแดนใหม่ที่ไม่เคยมีใครเหยียบย่างมาก่อนเลยในคิวบา กระบวนการนี้ไม่ถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์แต่อย่างใด เพราะผู้อำนวยการสร้างเองตั้งใจที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อจับภาพช่วงเวลาอันน่าประทับใจของเรื่องนี้อยู่แล้ว ให้เหมือนกับตอนที่ “Buena Vista Social Club” มารวมตัวกันเป็นครั้งแรกเพื่ออัดเพลงด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว