หลังประสบความสำเร็จจากการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง “มงคลซีนีมา” เตรียมจัดทัพภาพยนตร์ญี่ปุ่นต้อนรับครึ่งปีหลังของปี 2019 ให้แฟนๆ ได้ซึ้ง ฮา ขอบตาอุ่นไปกับภาพยนตร์ 6 เรื่อง 6 ความประทับใจกันอย่างแน่นอน
“Back Street Girls ไอดอลสุดซ่า ป๊ะป๋าสั่งลุย”
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเปลี่ยน “ยากูซ่า” ให้เป็น “ไอดอล”
(ฉาย 27 มิถุนายน 2562)
เรื่องย่อ: 3 หนุ่มจากแก๊งยากุซ่า “เคนทาโร” (ลูกพี่), “เรียว” (รองหัวหน้า) และ “คาสุฮิโกะ” (คาสุ) ที่ดันไปทำเรื่องไม่ดีเข้าจนหัวหน้าของพวกเขารู้สึกไม่พอใจจนอยากจะสั่งฆ่าตัดตอนลูกกระจ๊อกทั้ง 3 คน แต่ด้วยไอเดียบรรเจิดของหัวหน้าที่พวกเขาเรียกว่า “ป๊ะป๋า” ที่เคยเห็นวงไอดอลอย่าง “AKB48” ประสบความสำเร็จ เขาจึงสั่งให้พวกเขาเลือกว่าจะยอมตายหรือจะไปแปลงผ่าตัดเพศที่ประเทศไทยแล้วกลายเป็นไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปร้องเพลงอยู่บนเวที? 3 หนุ่มเลยจำใจเลือกอย่างหลัง แล้วก็เกิดเป็นกลุ่มไอดอลที่ชื่อว่า “โกคุดอลส์”
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดยอ้างอิงมาจากมังงะเรื่อง “Back Street Girls” โดย “Jasmine Gyuh” ตีพิมพ์เมื่อ 16 มีนาคม 2015-15 กันยายน 2018 ในนิตยสาร “Weekly Young Magazine” ส่วนในประเทศไทยมี “Luckpim” เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ผู้กำกับ: “ฮาระ เคโนะซุเกะ” (ผลงานก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในไทยคือ ภาพยนตร์ “Zenin, Kataomoi: Kataomoi Supairaru” (2016), ทีวีซีรี่ส์ “Arakawa Under the Bridge” (2011))
ผู้เขียนบท: “จัสมิน กิวห์” (นักเขียนมังงะ “Back Street Girls” ต้นฉบับภาพยนตร์), “มัตซุโมโตะ โชอิจิโร” และ “อิโตะ ฮิเดฮิโระ” (ผลงานก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในไทยคือ ภาพยนตร์ “Zenin, Kataomoi: Radio Personality” (2016), “The Tiger Mask” (2013))
นักแสดงนำ: “ชิราสุ จิน” รับบทเป็น “ยามาโมโตะ เคนทาโร” หรือ “ไอริ” (ชื่อหลังแปลงเพศ)
“ฮานาซาวา มาซาโตะ” รับบทเป็น “ทาจิบานะ เรียว” หรือ “มาริ” (ชื่อหลังแปลงเพศ)
“มาซากิ เรยะ” รับบทเป็น “สุงิฮาระ คาซุฮิโกะ” หรือ “จิกะ” (ชื่อหลังแปลงเพศ)
“โอคาโมโตะ นัตซุมิ” รับบทเป็น “ยามาโมโตะ ไอริ” (ยามาโมโตะ เคนทาโร)
“มัตซุดะ รุกะ” รับบทเป็น “ทาจิบานะ มาริ” (ทาจิบานะ เรียว)
“ซากาโนะอุเอะ อากาเนะ” รับบทเป็น “สุงิฮาระ จิกะ” (สุงิฮาระ คาซุฮิโกะ)
“Every Day A Good Day”
ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของนักแสดงอาวุโส “คิริน กิกิ”
“หัวใจก็เหมือนใบชา ต้องใช้เวลาบ่มเพาะจึงจะมองเห็นความงามที่อยู่ข้างใน”
(ฉาย 11 กรกฎาคม 2562)
เรื่องย่อ: “โนริโกะ” นักศึกษาสาวปี 3 และลูกพี่ลูกน้องของเธอ “มิจิโกะ” ได้ตัดสินใจเข้าร่วมพิธีชงชาแถวละแวกบ้านตามคำแนะนำของผู้เป็นแม่ ที่นั่นเอง โนริโกะได้เรียนรู้พิธีชงชากับ “อาจารย์ทาเคดะ” และแล้วการชงชาก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ ไม่ว่าจะในยามทุกข์หรือสุข นี่คือเรื่องราวการค้นหาอิสรภาพผ่านกลิ่นหอมและไออุ่นจากชา
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดยอ้างอิงจากงานเขียนของ “โมริชิตะ โนริโกะ” เรื่อง “Everyday is a good day: 15 happiness taught by ‘Tea’ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2002 โดยสำนักพิมพ์ “Asukashinsha”
ผู้กำกับ: “โอโมริ เท็ตสึชิ” (ผลงานก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในไทยคือ ภาพยนตร์ “Seto & Utsumi” (2016), “Hikari” (2017))
ผู้เขียนบท: “โมริชิตะ โนริโกะ” (เจ้าของงานเขียนต้นฉบับภาพยนตร์), “โอโมริ เท็ตสึชิ” (ผลงานการเขียนบทที่เป็นที่รู้จักในไทย “Seto & Utsumi” (2016))
นักแสดงนำ: “คุโรกิ ฮารุ” รับบทเป็น “โนริโกะ”
“กิกิ คิริน” รับบทเป็น “อาจารย์ทาเคดะ” (ปัจจุบันนักแสดงเสียชีวิตแล้ว)
“ทาเบะ มิคาโกะ” รับบทเป็น “มิจิโกะ”
นักแสดงสมทบ: สึรุตะ มายุ, สึรุมิ ชินโงะ, ทาคิซาวา เมกุมิ, คาวามุระ ซายะ, ฮาราดะ มายุ, ยามาชิตะ มิซึกิ, โอคาโมโตะ จิฮิโระ, คูริยามะ ฟุยุกะ
“Hatsukoi: Otosan, Chibi ga Inaku Narimashita”
(First Love: Dad, Chibi’s Gone Missing)
(ฉาย 15 สิงหาคม 2562)
เรื่องย่อ: “มาซารุ” และ “ยูกิโกะ” คู่แต่งงานที่ใช้ชีวิตร่วมกันมากว่า 44 ปี พวกเขามีลูกด้วยกัน 3 คน แต่ว่าแต่ละคนก็โตจนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ทั้งคู่จึงได้ใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างสงบด้วยกันกับ “จิบิ” เจ้าแมวดำของบ้าน มาซารุเป็นคนนิ่งเงียบที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกจนเกือบจะเรียกได้ว่าเย็นชา ส่วนยูกิโกะก็แสนอึดอัดใจกับท่าทีของเขาจนมีเพียงเจ้าแมวดำจิบิเป็นที่พึ่งเท่านั้น กระทั่งวันหนึ่ง ยูกิโกะก็ได้บอกกับลูกสาวของเธอว่าตนต้องการจะหย่ากับมาซารุ และตอนนั้นเองเจ้าจิบิก็เกิดมาหายตัวไป
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างโดยอ้างอิงจากมังงะชื่อเรื่องเดียวกัน “Otousan, Chibi ga Inakunarimashita” เขียนโดย “อาจารย์นิชิ เคย์โกะ” ตีพิมพ์ช่วงปี 2013-2015 ในนิตยสาร “Zoukan Flowers” และได้ตีพิมพ์รวมเล่ม 1 เล่มจบ
ผู้กำกับ: “โคบายาชิ โชทาโร” (ผลงานก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในไทยคือ ภาพยนตร์ “Maestro!” (2015) และ “Hamon: Yakuza Boogie” (2017))
ผู้เขียนบท: “นิชิ เคย์โกะ” (นักเขียนมังงะ “Otousan, Chibi ga Inakunarimashita” ต้นฉบับภาพยนตร์) และ “ฮอนโจ ยูกะ” (“Don’t Laugh at My Romance” (2008))
นักแสดงนำ: “ไบโช จิเอโกะ” รับบทเป็น “ทาเคอิ ยูกิโกะ”
“ฟูจิ ทัตซึยะ” รับบทเป็น “ทาเคอิ มาซารุ”
“อิชิคาวะ มิคาโกะ” รับบทเป็น “ทาเคอิ นาโอโกะ” (ลูกสาวคนที่สอง)
“Farewell Song”
“เพลงรักที่เพราะที่สุด คือเพลงที่ร้องเพื่อเธอ”
(ฉาย 12 กันยายน 2562)
เรื่องย่อ: “ฮารุ” และ “เรโอะ” ได้ร่วมกันฟอร์มวงดนตรีแนวอินดี้ชื่อ “ฮารุเรโอะ” แล้วก็เริ่มกลายเป็นวงที่โด่งดังขึ้นมา ทั้งสองตัดสินใจออกทัวร์แสดงคอนเสิร์ต ตอนนั้นเองก็ได้พบกับ “ชิมะ” อดีตโฮสต์เก่าที่มาขอสมัครเป็นผู้ช่วยวง ด้วยเหตุผลว่าเขาชอบเพลงที่ฮารุเป็นคนแต่ง ทั้งสามออกทัวร์ไปด้วยกัน พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ เรโอะเริ่มชอบชิมะ แต่ชิมะกลับชอบฮารุ ในขณะที่ฮารุก็รู้สึกดีกับเรโอะ ระหว่างที่วงมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งฮารุและเรโอะก็ตัดสินใจจะยุบวง ฮารุเรโอะ ออกทัวร์แสดงคอนเสิร์ตด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายที่ฮาโกดาเตะ ฮอกไกโด พร้อมกับความรู้สึกแท้จริงที่ค่อยๆ เปิดเผย
ผู้กำกับ: “ชิโอตะ อากิฮิโระ” (ผลงานก่อนหน้านี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในไทยคือ ภาพยนตร์ “Dororo” (2007) และ “I Just Wanna Hug You” (2014))
ผู้เขียนบท: “ชิโอตะ อากิฮิโระ” (ภาพยนตร์ “Dororo” (2007) และ “I Just Wanna Hug You” (2014))
นักแสดงนำ: “โคมัตสึ นานะ” รับบทเป็น “เรโอะ”
“คาโดวากิ มุกิ” รับบทเป็น “ฮารุ”
Final Fantasy XIV Dad of Light (Live Action)
“มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่นะ? ที่ผมกับพ่อ เราไม่ได้พูดคุยกันเลย”
ความสัมพันธ์อันห่างเหินของพ่อและลูกชายที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นผ่านการผจญภัยในเกมส์ “Final Fantasy XIV” ร่วมกัน
(ฉาย 26 กันยายน 2562)
เรื่องย่อ: “อากิโอะ” ไม่เคยเข้าใจเลยว่าพ่อของเขากำลังคิดอะไรอยู่ และพวกเขาก็ไม่สนิทกันพอที่จะถามไถ่ได้ แม้แต่กับวันที่จู่ๆ พ่อผู้ขยันทำงานของเขาก็ลาออกจากงาน แล้วเอาแต่นั่งอยู่หน้าทีวีทั้งวัน กระทั่งแม่และน้องสาวของเขาเองก็ยังไม่ทราบเหตุผล ตอนนั้นเองที่อากิโอะเกิดความคิดขึ้นมาว่าเขาอยากจะทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของพ่อ ผ่านโลกที่เขาหลงใหลอย่างเกมส์ “Final Fantasy XIV” โดยไม่เปิดเผยตัวตน และได้ตั้งชื่อแผนนี้ว่า “Hikari no Otousan”
สร้างโดยอ้างอิงจากซีรีส์งานเขียนชื่อ “Hikari no Otousan” ในเว็บบล็อกของผู้เล่นเกมส์ “Final Fantasy XIV” ที่ใช้ชื่อว่า “Ichigeki Kakusatsu SS Nikki” ผู้ซึ่งอ้างว่านี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงระหว่างเขากับพ่อ ปัจจุบันมียอดผู้เข้าชมบล็อกนั้นมากกว่า 10 ล้านวิว และยังเคยได้ขึ้นหน้าแนะนำของ Yahoo! จนถูกนำไปตีพิมพ์และสร้างซีรีส์มาแล้ว
ผู้กำกับ: “โนงุจิ เทรุโอะ” (มีผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง “Cycle Soul Apartment” (2007) และเป็นผู้กำกับให้กับทีวีซีรี่ส์เรื่อง “Fainaru fantajî XIV: Hikari no otousan” (2017)), “ยามาโมโตะ คิโยชิ” (มีผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง “End Call” (2008) และเป็นผู้กำกับร่วมในพาร์ตเกมให้กับทีวีซีรีส์เรื่อง “Fainaru fantajî XIV: Hikari no otousan” (2017))
ผู้เขียนบท: “Ichigeki Kakusatsu SS Nikki” (ผู้เขียนเว็บบล็อกซีรีส์ “Hikari no Otousan” ต้นฉบับของภาพยนตร์), “ฟุคุฮาระ โคตะ” (ผลงานเขียนบทก่อนหน้านี้คือ ภาพยนตร์เรื่อง “Hibi Rock: Puke Afro and the Pop Star” (2014) ผลงานการเขียนบททีวีซีรีส์เรื่อง “Otomen” (2009) และ “Fainaru fantajî XIV: Hikari no otousan” (2017))
นักแสดงนำ: “ซาคางุจิ เคนทาโร” รับบทเป็น “อิวาโมโตะ อากิโอะ”
“โยชิดะ โคทาโร” รับบทเป็น “อิวาโมโตะ อากิระ”
“Last Letter”
“ถ้าบอกว่าตอนนี้ผมก็ยังรักคุณอยู่ คุณจะเชื่อรึเปล่า?”
(ฉายต้อนรับวาเลนไทน์ 2020)
เรื่องย่อ: “คิชิเบโนะ ยูริ” เป็นแม่บ้านที่อาศัยอยู่กับสามีนักเขียนมังงะและลูกทั้งสองคนของเธอ วันหนึ่งยูริได้ไปร่วมงานศพของพี่สาวฝาแฝด “โทโนะ มิซากิ” ที่นั่นเอง ยูริได้พบกับ “อายูมิ” หลานสาวที่ไม่ได้เจอกันมานาน อายูมิยังคงไม่อาจยอมรับการตายของแม่ เธอจึงไม่สามารถที่จะเปิดอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายที่แม่ทิ้งไว้ให้ต่างหน้าได้ ยูริจึงอาสาไปงานเลี้ยงรุ่นของมิซากิแทนเจ้าตัว เพื่อแจ้งข่าวการตายของเธอให้พวกเขาทราบ ทว่ายูริกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็นมิซากิ เธอก็ได้พบกับ “โอโตซากะ เคียวชิโร” นักเขียนนิยายชายผู้เป็นรักแรกของเธอ แต่เขาเข้าใจผิดว่าเธอคือมิซากิ ทั้งสองแลกข้อมูลการติดต่อกันไว้ กระทั่งวันหนึ่ง ยูริก็ได้รับข้อความจากเคียวชิโรที่ส่งมาว่า “ถ้าบอกว่าตอนนี้ผมก็ยังรักคุณอยู่ จะเชื่อรึเปล่า?”
ภาพยนตร์เรื่อง “Last Letter” คือผลงานของ “อิวาอิ ชุนจิ” ผู้กำกับและนักเขียนบทคนดัง ชุนจิกล่าวว่า ตัวเขาเองเคยคิดว่าการใช้จดหมายดำเนินเรื่องอย่างสมัย “Love Letter” แทบจะเป็นไปไม่ได้ในบริบทของสังคมปัจจุบันที่ถูกโซเชียลมีเดียเข้ามาแทนที่แล้ว แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดคิดไอเดียได้ว่ามันอาจพอมีทางอยู่บ้าง จากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเกิดขึ้น
ผู้กำกับ: “อิวาอิ ชุนจิ” (ผลงานภาพยนตร์ที่เป็นที่รู้จักในไทยเช่น “Love Letter” (1995), “April Story” (1998), “All about Lily Chou-Chou” (2001), “Hana & Alice” (2004), “Rainbow Song” (2006) และ “The Case of Hana & Alice” (2015))
นักแสดงนำ: “มัตสึ ทาคาโกะ” รับบทเป็น “คิชิเบโนะ ยูริ”
“ฮิโรเสะ ซุสุ” รับบทเป็น “อายูมิ” / “โทโนะ มิซากิ” (ตอน ม.ปลาย)
“ฟุคุยามะ มาซาฮารุ” รับบทเป็น “โอโตซากะ เคียวชิโร”
“คามิกิ ริวโนะสึเกะ” รับบทเป็น “โอโตซากะ เคียวชิโร” (ตอน ม.ปลาย)
มิถุนายน 2019 – กุมภาพันธ์ 2020
เตรียมพบความประทับใจจาก 6 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นจาก “มงคลซีนีมา” (Mongkol Cinema)
เพราะความรักไม่ควรรอที่จะได้พูดออกไป