From a House on Willow Street จับปีศาจมาเรียกค่าไถ่
เรื่องย่อ
“From a House on Willow Street จับปีศาจมาเรียกค่าไถ่” ภาพยนตร์สยองขวัญแนวใหม่ที่ผสมผสานหนังจารกรรมบุกบ้าน บวกกับจุดหักมุมที่ทำให้คุณต้องอ้าปากค้าง คือความแปลกใหม่ที่หนังเรื่องนี้ต้องการนำเสนอ
“เฮเซล, มาร์ก และ เอด” 3 สมาชิกแก๊งโจรกระจอกวางแผนเรียกค่าไถ่สาวน้อย “แคทเธอรีน” ลูกสาวคนสวยของสามีภรรยาเศรษฐี แต่มันกลายเป็นฝันร้ายของทั้ง 3 เมื่อแคทเธอรีนไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่พวกเขาคิด
เธอกลายมาเป็นตัวอันตรายที่จะปลดปล่อยปีศาจร้ายที่สยองเกินจินตนาการออกมา
แก๊งที่ลักพาตัวเธอมากลับตกเป็นฝ่ายที๋โดนตามล่าเสียเอง พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่…
เกี่ยวกับงานสร้าง
“มีชาวแอฟริกาใต้ไม่กี่คนที่ทำหนังสไตล์ที่ อลาสแตร์ ทำอยู่“ โปรดิวเซอร์ “ซิโน เวนทูรา” กล่าวถึงผู้กำกับ “อลาสแตร์ ออร์” ทั้งสองคนพบกันที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ก่อนที่ออร์จะไปทำเรื่อง “Indigenous” (2014) ที่ปานามา ให้กับบริษัท “Kilburn Media” หลังจากเสร็จกับ Indigenous ออร์กลับมาที่แอฟริกาใต้ ทั้งสองเตรียมงานหนังเรื่องใหม่กัน ตั้งแต่เริ่มแรกสองคู่หูดูโออยากให้หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่สามารถแพร่หลายได้ทั่วโลก
“ผมอยากทำหนังที่เกี่ยวกับการลักพาตัว แต่ผมอยากเพิ่มลูกเล่นให้มัน ผมไม่อยากให้คนดูเดาออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ“ ออร์กล่าว เมื่อ เคท แบล็กแมน ศิลปินเมคอัพที่เคยร่วมงานกับออร์ในผลงานก่อนหน้านี้ของเขาทุกเรื่องให้คำแนะว่า ถ้าเหยื่อลักพาตัวคนนั้นถูกปีศาจสิงล่ะ เวนทูราและออร์รู้ทันทีว่า นั่นแหละคือส่วนผสมที่พวกเขากำลังหาอยู่
“มันต้องตื่นเต้นแบบไม่ให้พัก มีปีศาจเยอะแยะไปหมด ไม่ใช่แค่ตัวเดิมโผล่มาซ้ำๆ” โจนาธาน จอร์ดาน กล่าว เขาคือนักเขียนจากโจฮันเนสเบิร์กที่รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “เรารู้ตั้งแต่แรกว่าเราไม่ได้ทำหนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่ทุนหนา เราเลยต้องฉลาดเลือกเข้าไว้”
ออร์กล่าวต่อ “ผมหางบเพิ่มได้ แต่ผมต้องหาคนที่ไว้ใจได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมไปหาซิโน คือเขาปล่อยให้ผมจัดการตามวิธีที่ผมต้องการ เมื่อคุณทำหนังทุนต่ำ มันต้องเน้นไปที่ประเด็นเดียวและคนอื่นในทีมต้องเห็นตามนั้น คุณต้องหาคุณที่พร้อมจะสนับสนุนคุณไปสุดทางเพื่อให้ภาพในหัวคุณออกมาเป็นความจริง ซึ่งในสายตาของผม Fat Cigar (บริษัทสร้างของเวนทูรา) โดดเด่นกว่าใครเมื่อผมมองหาเพื่อสร้างหนังเรื่องใหม่ของผม”
“ดังนั้นในบทเราอัดตัวประหลาดเหล่านี้ไปเต็มที่ แต่เราจะทำให้มันออกมาเป็นภาพได้ยังไงวะ” เวนทูรากล่าว พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ค้นพบยอดฝีมือที่อยู่ใกล้แค่หลังบ้านพวกเขาเอง “เจโค สไนแมน” เป็นหัวหน้าทีมออกแบบแต่งหน้าด้วยชิ้นส่วนสังเคราะห์ให้ “MaD Max: Fury Road” (2015)
เขาเข้าร่วมทีมทันทีที่มีโอกาสได้สร้างหนังสยองขวัญในประเทศบ้านเกิดตัวเอง “เราดูหนังประเภทนี้ตลอดอยู่แล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสได้ลองทำเองเลย” สไนแมนกล่าว
“เรื่องนี้ผมได้ปล่อยของเต็มที่ เอาฝันร้ายของตัวเองมาทำให้เป็นจริง” สไนแมนร่วมงานกับ Dreamsmith Studios ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ทีมของเขาใช้เครื่องสแกน 3 มิติ แบบบ้านๆ ด้วยการให้นักแสดงนั่งบนเก้าอี้ล้อมรอบด้วยกล้อง DSLR 20 ตัว เมื่อพวกเขาได้โมเดล 3 มิติเต็มตัวของนักแสดงแล้วถึงจะเริ่มออกแบบชิ้นส่วนสังเคราะห์
ออร์ต้องการตัวละครหญิงแกร่งเป็นศูนย์กลางของเรื่อง “ผมต้องการนักแสดงหญิงที่ไม่ต้องให้ผู้ชายมาคอยช่วย ผมยังต้องการให้พวกเธอตัดสินใจและรับผิดชอบผลของมันด้วยตัวพวกเธอเอง ซึ่งนั่นทำให้เธอต้องพยายามแก้ปัญหาให้ได้”
การหาจุดศูนย์กลางระหว่างโจรลักพาตัวสุดโฉดและฮีโร่สาวที่คนดูต้องเอาใจช่วยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ออร์ที่เป็นแฟนตัวยงของ You’re Next เขาส่งบทเรื่องนี้ให้ ชาร์นี วินสัน ซึ่งเธอเองตอบตกลงพร้อมบินไปผจญภัยในกองถ่ายถึงแอฟริกาใต้ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะเธอเคยไปแอฟริกาใต้เพื่อถ่าย “Blue Crush 2” เมื่อหลายปีก่อน เอเยนต์ของออร์ในลอสแองเจลิส แนะนำนักแสดงที่กำลังมาแรง “คาร์ลิน เบอร์เชลล์” มารับบท “แคตเทอรีน” ซึ่งเธอชอบความลึกลับของตัวละครนี้ “เธอซ่อนอะไรหลายอย่างไว้ข้างในทั้งความลับและความเจ็บปวด ตลอดทั้งเรื่องคุณจะได้เห็นปริศนาเหล่านั้นเริ่มเผยตัว”
การถ่ายทำเริ่มขึ้นในเช้าสุดหนาวเหน็บในเดือนมิถุนายนในโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ ไม่ได้มีบ้านช่องสไตล์อเมริกันแต่ทีมงานพบฉากภายในที่ใช้แทนกันได้ ส่วนภายนอกพวกเขาเดินทางไกลออกไปเป็นร้อยไมล์ ฉากภายในถ่ายกันที่พิพิธภันฑ์ยุคอาณานิคมที่เป็นที่เก็บโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศ ด้วยความที่มันเต็มไปด้วยของเก่าและเครื่องกระเบื้องที่แตกหักได้ ทีมงานพบกับความท้าทายที่ทำให้พวกเขาต้องเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างระมัดระวังระหว่างทำงาน
“เราปิดหน้าต่างและใช้ไฟจำลองแสงจากถนน” เบรนแดน บาร์นส์ บรรยาย เขาร่วมงานกับออร์ในผลงาน 3 เรื่องล่าสุดของเขาในตำแหน่งผู้กำกับภาพ “ทุกอย่างเป็นแสงจริงหมด ทั้งแต่ไฟฉายไปจนถึงโคมไฟ ผมต้องการให้มันดูสมจริงยิ่งขึ้น” บาร์นส์กล่าว “มันต้องเต็มไปด้วยเงาและความมืด คุณต้องไม่รู้ว่าจมีอะไรซ่อนอยู่ที่หัวมุม” ออร์กล่าว
จากนั้นการถ่ายทำย้ายไปที่รังลับของเหล่าโจรลักพาตัวที่โรงงานผลิตน้ำมันร้างกลางเมืองโจฮันเนสเบิร์ก บริเวณนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ แก๊สเวิร์ก เป็นที่ต้องห้ามสำหรับการถ่ายภาพยนตร์มาตลอด 20 ปีให้หลัง ในช่วงต้นยุค 2000 เกิดอุบัติเหตุพนักงานคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุตกจากที่สูง ทำให้เจ้าของที่ปิดตายโรงงานนี้ไม่ให้เข้ามาตั้งแต่บัดนั้น “เมอร์เรลล์ เวนทูรา” โปรดิวเซอร์อีกคน สามารถกล่อมให้ทางการอนุญาตให้ “From a House on Willow Street” เป็นหนังเรื่องแรกที่ได้ถ่ายที่นี่หลังเกิดอุบัติเหตุ “เราเป็นทีมเล็กๆ เป็นทีมที่ตั้งใจทำงานและให้เกียรติสถานที่” เวนทูรากล่าว “ทำให้เขาเชื่อใจมันลำบากพอควร แต่พวกเขาเห็นความตั้งใจของพวกเรา ฉันคิดว่าพวกเขาเองอยากเห็นโลเคชั่นนี้ในหนังสยองขวัญด้วยซ้ำ”
“อาริยี มาห์เด็บ” ผู้ที่รับหลายหน้าที่ในหนังเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นคือการเป็นโคโปรดิวเซอร์และผู้ช่วยผู้กำกับ “ตัวบทมันทำให้ยากต่อการถ่ายทำไม่น้อย มันมีทั้งหลุมลึก ลวดหนามสนิมจับ หลังคาก็เปื่อย ถ้าคุณไม่ระวัง ก้าวผิดเพียงก้าวเดียวก็ฆ่าคุณได้” มาห์เด็บกล่าว “แต่มันก็คุ้มนะเพราะมันเพิ่มมูลค่าให้งานเรา”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำกัน 25 วัน ทีมงานและนักแสดงรอดจากทั้งแมงมุมขนาดยักษ์, อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และสิ่งเหนือธรรมชาติ
เหมือนหนังทุกเรื่องของเขา ออร์ตัดต่อด้วยตัวเอง “ข้อดีที่สุดในการตัดต่อหนังเอง คือผมจะรู้ว่าต้องถ่ายยังไงให้มันออกมาเวิร์กตอนตัดต่อ ไม่มีการเสียเวลาไปกับช็อตที่ไม่มีประโยชน์ แค่นี้เราก็ถ่ายกันลำบากอยู่แล้วสำหรับทีมงานและนักแสดงทุกคน ผมรู้ว่าผมต้องการอะไรดังนั้นจะไม่มีการย้อนกลับไปทำใหม่ เพราะว่าเราไม่ได้มีงบมหาศาล” ขั้นตอนการตัดต่อใช้เวลา 3 เดือน ก่อนที่จะส่งต่อให้บริษัทวิชวลเอฟเฟคต์ Loco ที่รับผิดชอบงานเอฟเฟคต์กว่า 100 ช็อตในเรื่อง “เราสร้างทั้งลิ้น ปากฉีกกว้าง และไฟ” จอร์จ เว็บสเตอร์ ผู้ดูแลด้านเทคนิคพิเศษกล่าว “นี่มันต่างจากงานปกติที่เราทำมาก” เว็บสเตอร์กล่าว “เรารู้ว่างานของเราดีตอนที่อลาสแตร์สำลักตอนได้เห็นครั้งแรก” เว็บสเตอร์พูดพลางหัวเราะ
Sound and Motion studios บริษัททำดนตรีและมิกซ์เสียงที่มาสาขาทั้งในโจฮันเนสเบิร์ก, เคป ทาวน์ และไนจีเรีย เข้าร่วมทีม “ริชาร์ด เวสต์” ผู้ดูแลด้านเสียงและผู้อำนวยการสร้างให้ “From a House on Willow Street” กล่าวว่า “มันกดดันจริงๆ เราไม่เคยทำอะไรที่คลั่งขนาดนี้มาก่อน มีแต่เสียงโหยหวนและดนตรีสุดระทึก มันสนุกมากที่ได้ทำให้คนดูต้องขนหัวลุก”
Alastair Orr Carlyn Burchell From a House on Willow Street Sharni Vinson Steven John Ward Zino Ventura จับปีศาจมาเรียกค่าไถ่