doc68hn1v3bjjk1diqvjlf4

 

คุณคิดพล็อตเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

ตอนแรกเราเริ่มถ่ายหนังซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย เดิมทีเราเรียกหนังที่เราถ่ายกันว่า “เรื่องของอาหาร” (A Story about Food) แล้วเรื่องสั้นๆ หนึ่งในนั้นคือเรื่องของเพื่อนบ้านสองคนที่ออกมาเจอกันเวลาพวกเขามาซื้อบะหมี่ ผ่านไปสักพักผมก็รู้สึกว่าเหตุผลหลักที่ผมทำโปรเจกต์นี้ เพราะผมชอบเรื่องพาร์ตนี้ ผมเลยตัดสินใจทิ้งพาร์ตอื่นๆ แล้วขยายพาร์ตนี้ให้เป็นหนังยาว

 

มันดูเป็นหนังแบบคิดไปถ่ายไปอยู่เหมือนกัน ถ้าเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ คุณเปลี่ยนแปลงอะไรมากน้อยแค่ไหนตอนอยู่ในห้องตัดต่อ

ตอนแรกผมคิดว่าจะทำหนังง่ายๆ ขึ้นมาสักเรื่อง เพราะมันมีแค่ตัวละครสองตัว ทั้งเรื่องก็มีแค่คนสองคนคุยกัน แต่แล้วผมก็พบว่ามันยากกว่าหนังทุกเรื่องที่ผมทำมาเสียอีก ทั้งๆ ที่ผมเคยทำหนังที่เคยมีตัวละครประมาณ 10 ตัวมาแล้วก็ตาม ด้วยความที่มีกันแค่ 2 คน ผมจึงต้องใส่รายละเอียดยิบย่อยเข้าไปเยอะมาก เราถ่ายตัวละครจากช่วงปี 1962-1972 คือช่วง 10 ปีของความสัมพันธ์ แต่พอไปดูในห้องตัดต่อ ผมตัดสินใจให้หนังจบแค่ปี 1966 แล้วตัดส่วนที่เหลือทิ้งไป

 

คุณทิ้งส่วนนั้นไปหมดเลยเหรอ

ไม่แน่ในอนาคต ผมอาจจะเอาส่วนนั้นมาทำอีกเวอร์ชัน

 

In-the-Mood-for-Love-Still19

 

ทำไมคุณถึงเลือกฉากหลังเป็นยุค 60 ของฮ่องกง

ผมมักจะเลือกช่วงเวลานั้นมาทำหนัง เพราะผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับฮ่องกง เพราะนับตั้งแต่ปี 1949 (เหมาเจ๋อตงพาจีนเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม) คนจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยอยู่ในฮ่องกงยังคงฝันถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง เหมือนชุมชนชาวจีนในหนัง พวกเขามาจากเซี่ยงไฮ้ พวกเขาพูดภาษาของตนเอง และไม่ข้องแวะกับคนกวางตุ้งซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของฮ่องกง พวกเขาดูหนัง ฟังเพลง และมีพิธีกรรมที่ไม่เหมือนคนฮ่องกง ผมคิดว่าช่วงเวลานั้นมันพิเศษ และผมก็เติบโตมากับสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผมอยากจึงอยากทำหนังด้วยบรรยากาศและอารมณ์แบบนั้น

 

ทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า “In the Mood for Love”

ผมตั้งใจมาตลอดว่าจะตั้งชื่อหนังว่า “Secrets” หรือชื่ออะไรก็ได้ที่มีคำว่า “ความลับ” อยู่ในนั้น แต่คนที่เมืองคานส์บอกว่า อย่าเลย มีหนังเรื่องความลับเยอะแล้ว เราเลยต้องหาชื่อใหม่ จนเราได้ฟังเพลงของ “ไบรอัน เฟอร์รี” เพลง “In the Mood for Love” เราเลยตัดสินใจใช้ชื่อนี้ ซึ่งมันก็เข้ากับเรื่องดี เพราะความรักทำให้คนสองคนในเรื่องแอบมาเจอกัน

 

บรรยากาศในเรื่องมีความเป็นละตินสูงมาก คุณยังติดกลิ่นนี้มาจากตอนไปถ่าย “Happy Together” ที่อเมริกาใต้หรือเปล่า

ผมชอบวรรณกรรมละตินอเมริกา ผมคิดว่าคนละตินและคนอิตาเลียนมีลักษณะคล้ายคนจีนมาก โดยเฉพาะผู้หญิงเวลาแสดงอารมณ์รักใคร หึงหวง และการเชิดชูครอบครัว เพลงละตินในหนัง ผมใส่เข้ามาเพราะว่า มันเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมในฮ่องกงตอนนั้นจริงๆ เนื่องจากวงดนตรีที่แสดงในฮ่องกงสมัยนั้นเป็นนักดนตรีจากฟิลิปปินส์ ไนต์คลับแทบทุกแห่งมีแต่นักร้องนักดนตรีจากฟิลิปปินส์ เพลงละตินจึงตัดไม่ขาดกับสังคมฮ่องกง นอกจากนี้ผมยังใส่เพลงของ “แนต คิง โคล” เข้ามาด้วย เพราะเขาเป็นนักร้องคนโปรดของแม่ผม

 

In-the-Mood-for-Love-Still15

In-the-Mood-for-Love-Still20

 

ใครๆ ก็รู้จักคุณในฐานะผู้กำกับที่ทำหนังด้วยสไตล์ปล่อยทุกอย่างให้เป็นอิสระ (ทั้งมุมกล้องและการตัดต่อ) อย่างใน “Chungking Express” หรือ “Fallen Angels” แต่กับ “In the Mood for Love” เป็นไปในทางตรงข้าม คุณดูเคร่งขรึมขึ้นมาก คุณตั้งใจจะลองทำอะไรใหม่ๆ หรือเปล่า

ผมและทีมงานชินกับการเล่าเรื่องแบบเดิมมากจนมันกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเราไปแล้ว และเราก็คิดว่ามันคงน่าเบื่อถ้าต้องทำแบบเดิม เราเลยพยายามถ่ายหนังด้วยวิธีใหม่ อีกอย่างคือ “คริส ดอยล์” ไม่ว่างถ่ายหนังให้กับผมนานถึง 15 เดือน เราจึงต้องมีผู้กำกับภาพร่วมอีกคน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็จะขี้เกียจ และปล่อยให้คริสจัดการทุกอย่างไป พอผมต้องมาใช้ตากล้องคนใหม่ (“หลี่ผิงปิง” – ผู้กำกับภาพคู่ใจของ “โหวเสี้ยวเสียน”) ผมเลยต้องขยันมากขึ้น ต้องคิดว่าแต่ละช็อตควรถ่ายอย่างไรเพื่อสนับสนุนเนื้อหาหรืออารมณ์ของหนัง หลี่ผิงปิงเป็นตากล้องชั้นยอด เขาทำให้ผมมองเห็นวิธีใหม่ๆ ในการถ่ายหนัง

 

พวกลายพิมพ์ดอกไม้ในหนังสวยงามมาก เราอยากให้คุณพูดถึงส่วนนี้หน่อย

ผมโชคดีที่ได้ผู้กำกับศิลป์ที่เก่งอย่าง “วิลเลียม ชาง” เขาทำงานกับผมมาตั้งแต่หนังเรื่องแรก เราเติบโตมาด้วยภูมิหลังที่คล้ายกัน เราเลยรู้ใจกันทุกอย่าง เราแทบจะไม่ต้องปรึกษาอะไรกันเลย เพราะทุกอย่างมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เขาไม่ได้สร้างงานเพื่อรับใช้ผม เขาทำงานเพื่อรังสรรค์ความคิดของตนเองออกมา และผมก็แค่มีหน้าที่ถ่ายมันเก็บไว้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนตัดต่อให้ผมด้วย บางครั้งผมก็แทบไม่ต้องบอกอะไรเขาเลย เขารู้ดีว่าอะไรควรตัด อะไรควรเอาไว้

 

หนังของคุณชอบมีอะไรวางอยู่หน้ากล้องเสมอ คล้ายกับทำให้พื้นที่ในแต่ละช็อตอึดอัดคับแคบ

ผมชอบวางอะไรไว้เป็นโฟร์กราวด์ตลอดเวลา เพราะผมอยากให้คนดูรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังแอบมองตัวละครอยู่ อย่างในหนังเรื่องนี้ เรากำลังแอบมองคนสองคนพลอดรักกัน

 

In-the-Mood-for-Love-Still07

 

การออกแบบเครื่องแต่งกายก็โดดเด่นมาก “จางม่านอวี้” เปลี่ยนชุดใหม่ตลอดเวลาเลยทีเดียว

เราเตรียมชุดให้ “แม็กกี้” (จางม่านอวี้) ราว 20-25 ชุดเพื่อถ่ายหนังทั้งเรื่อง แต่เนื่องจากเราตัดให้แต่ละฉากกลายเป็นฉากสั้นๆ คนดูจึงรู้สึกเหมือนเธอเปลี่ยนชุดใหม่ตลอดเวลา ความตั้งใจเดิมของผมคือการถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยวิธีการซ้ำๆ เปิดเพลงเดิมๆ โลเคชันเดิมๆ ตรอกแคบๆ หรือโถงๆ เดิม เพราะผมอยากให้คนดูรู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากความรู้สึกระหว่างพวกเขาทั้งคู่

 

คุณเคยพูดถึงแรงบันดาลใจและอิทธิพลที่คุณได้รับจาก “อันโตนิโอนี, โกดาร์ด์ และ ทรุฟโฟต์” งานของคนทำหนังเหล่านี้ช่วยสร้างรูปแบบการเล่าเรื่องให้คุณอย่างไร

ในฮ่องกงยุค 60 การไปดูหนังถือเป็นเรื่องสำคัญ เรามีโรงหนังที่ฉายหนังฮอลลีวูด หนังฮ่องกง และหนังจากยุโรป สมัยนั้นยังไม่มีการแปะป้ายว่านี่คือหนังอาร์ต แม้กระทั่งหนังของเฟลลีนีก็ยังถือว่าเป็นหนังตลาด ตอนเด็กผมไปโรงหนังกับแม่บ่อยมาก ผมกับแม่แยกไม่ออกหรอกว่าอันไหนหนังอาร์ต อันไหนหนังตลาด เราแค่ชอบดูสิ่งที่อยู่บนจอ เราไปดูหนังเพราะชอบดูหนัง ในส่วนของอิทธิพลที่ผมได้รับ ความชื่นชมที่ได้ชมหนังพวกนั้น มันยังอยู่ในความทรงจำผมเสมอมา

 

ตอนนี้คุณกลายเป็นไอดอลให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่ๆ คุณอยากบอกอะไรกับพวกเขาบ้าง

อดทนไว้ อดทนให้มากๆ คอยจนกว่าจังหวะเหมาะๆ จะมาถึง

 

 

ปีนี้ครบรอบ 20 ปี “In the Mood for Love” เราจะได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในเวอร์ชัน 4K ที่ได้รับการบูรณะในแบบดิจิทัล ซึ่งจะเข้าฉายไทย 29 ตุลาคมนี้ ที่ “House สามย่าน – Major Cineplex – SF Cinema”

 

In-the-Mood-for-Love-WKW02

 

 

In the Mood for Love

In the Mood for Love

At the end of my film In the Mood for...

รายละเอียดภาพยนตร์

Featured News