ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 6 อวสานหงสา (The Legend of King Naresuan 6)

วันเข้าฉาย: 09/04/2015 ดราม่า, ประวัติศาสตร์, สงคราม, แอ็กชัน 01 ชั่วโมง 35 นาที

เรื่องย่อ

แม้น “ยุทธหัตถี” จะเป็น “มหาศึก” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

แต่ก็หาใช่ “ศึกสุดท้าย” ที่ทำให้ “อโยธยา” มีความสุขสงบมาอีกกว่า 200 ปีไม่

หากคือการเริ่มต้นแห่งการรวบรวมบ้านเมืองและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับแผ่นดิน

ด้วยระยะเวลาการเตรียมงานสร้างและถ่ายทำถึง 14 ปี

คือผลงานภาพยนตร์เกริกเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ “หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล”

“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา”

สู่ “บทสรุป” ของ “อภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์”

จาก “ตำนานกษัตริย์นักรบ” อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยกว่า 4 ศตวรรษ

9 เมษายน 2558

 

ในปี พ.ศ. 2135  หลังพ่าย “ศึกยุทธหัตถี” ฝ่ายหงสาวดี “พระเจ้านันทบุเรง” (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) ทรงโทมนัสที่ต้องสูญเสียพระราชโอรส จึงมีรับสั่งให้คลอกไฟเหล่าแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จ “พระมหาอุปราช” (นภัสกร มิตรเอม) ให้ตายตกตามกัน  ทั้งยังระบายพระโทสะไปที่ “พระสุพรรณกัลยา” (เกรซ มหาดำรงค์กุล) องค์ประกันและพระราชโอรสธิดาถึงสิ้นพระชนม์ชีพ

 

ข้าง “สมเด็จพระนเรศวร” (พันโท วันชนะ สวัสดี) นั้น มีพระราชประสงค์จะนำทัพปราบหงสาวดีให้ราบคาบมิให้ตกค้างเป็นเสี้ยนหนาม ครั้นมาได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระพี่นางและพระราชนัดดาก็ยิ่งโทมนัส จึงตัดสินพระทัยยกทัพใหญ่ หมายเหยียบหงสาวดีให้ราบเป็นหน้ากลอง ในระหว่างที่เดินทางมาถึงเมืองเมาะตะมะได้จับตัว “พระยาลอ” ผู้สำเร็จราชการแทน ที่ “พระเจ้านันทบุเรง” ส่งให้มาปกครองเมือง ถูก “เม้ยมะนิก” (เต็มฟ้า กฤษณายุธ) ราชธิดาของ “ศิริสุธรรมราชา” เจ้าเมืองเมาะตะมะลอบสังหารเพื่อแก้แค้นแทนบิดา พร้อมรวบรวมชาวรามัญเพื่ออาสาขอเข้าร่วมรบพม่ากับชาวอโยยา

 

แต่ครั้นเมื่อทัพของพระองค์เสด็จถึงหงสาวดีก็พบแต่เพียงเศษซากของมหานครอันเคยยิ่งใหญ่ ด้วย “นัดจินหน่อง” (นาวาอากาศโทจงเจต วัชรานันท์) ราชบุตรพระเจ้าตองอูได้วางอุบายเชิญพระเจ้านันทบุเรงพร้อมกวาดต้อนผู้คนแลทรัพย์ศฤงคารของหงสาไปไว้ยังตองอูจนหมดสิ้น

 

ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรจึงทรงยกทัพตามขึ้นไปถึงเมืองตองอู มีพระราชบัญชาให้ “เมงเยสีหตู” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) เจ้าเมืองส่งตัวพระเจ้านันทบุเรงออกมาถวาย ด้านนัดจินหน่องเห็นว่าพระเจ้านันทบุเรงที่เชิญมานั้นเป็นภัยชักศึกเข้าบ้านจึงหมายยืมมือสมเด็จพระนเรศวรสังหารพระเจ้านันทบุเรงเสีย แต่เมื่อสมเด็จพระนเรศวรได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้านันทบุเรงที่ทรงทุพพลภาพเป็นที่น่าสมเพชก็ให้สลดพระราชหฤทัย ระหว่างนั้น “เมงราชาญี” (รณ ฤทธิชัย) เจ้าเมืองยะไข่ได้แต่งทัพเป็นกองโจรตีลัดตัดเสบียงอยุธยามิให้ส่งข้าวน้ำขึ้นไปเลี้ยงทัพที่ล้อมพระนครตองอูอยู่ “สมเด็จพระเอกาทศรถ” (พันเอก วินธัย สุวารี) จึงแบ่งทัพลงมาหมายจะเผด็จศึกยะไข่มิให้เป็นหอกข้างเเคร่ แต่ทรงพลาดท่าถูกเมงราชาญีจับตัวได้ พระราชมนูจำต้องขันอาสานำกำลังลงมาแก้เอาสมเด็จพระเอกาทศรถกลับคืน และยกทัพกลับยังอยุธยา

 

ข้างฝ่ายพุกามประเทศนั้นได้บังเกิดกษัตริย์ชาตินักรบขึ้นมาแทนพระเจ้าชนะสิบทิศมีพระนามว่า “พระเจ้ายองยาน” ตามชื่อพระนครที่ปกครอง  พระเจ้ายองยานทรงขยายแสนยานุภาพครอบคลุมดินแดนพม่าตอนบน เข้ายึดครองหัวเมืองในรัฐไทยใหญ่ทั้งหลาย  และทรงกรีฑาทัพเข้าตีเมืองยองห้วยและเมืองแสนหวีซึ่งขณะนั้นล้วนเป็นเมืองประเทศราชของอยุธยา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงล่วงรู้ก็ทรงมีพระราชดำริที่จะตัดไฟเสียแต่ต้นลมไม่ให้อธิราชศัตรูพลิกฟื้นขึ้นมาเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินอยุธยาได้อีก สมเด็จพระนเรศวรจึงได้เสด็จยกกองทัพไปตีอังวะ ครั้งนั้น “พระมหาเถรคันฉ่อง” (สรพงษ์  ชาตรี) และ “พระอัครมเหสีมณีจันทร์” (ทักษอร  ภักดิ์สุขเจริญ) ซึ่งกำลังทรงพระครรภ์ก็ทูลขอให้งดซึ่งราชการสงคราม สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงให้สัญญาว่าจะเสด็จไปทำศึกครานี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเสด็จถึงเมืองเชียงใหม่ก็ยั้งทัพจัดกระบวนอยู่หนึ่งเดือน แล้วให้ทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกขึ้นไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหางตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว  อยู่มาสมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวรจึงโปรดให้ข้าหลวงรีบเชิญเสด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า ครั้นมาถึงได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันจันทร์ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 สมเด็จพระเอกาทศรถจึงได้อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรกลับกรุงศรีอยุธยาราชธานี

 

King-Naresuan-6-Still01

 

พ.ศ. 2544-2558 ตลอดระยะเวลากว่า 14 ปีในการเตรียมงานสร้าง

เปิดกล้องบวงสรวง และใช้เวลาถ่ายทำยาวนานร่วมทศวรรษ

ทุ่มทุนสร้างสูงที่สุด ระดมนักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทยมากที่สุด

 

หลังจากความสำเร็จอย่างมหาศาลที่ยังไม่เคยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องใดในประวัติศาสตร์เคยทำได้มาก่อนของ “สุริโยไท” ภาพยนตร์ดราม่าเชิงประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยเกียรติประวัติและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระศรีสุริโยไท วีรสตรีผู้หาญกล้าที่ได้รับการยกย่องในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ “หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” (ท่านมุ้ย) ได้ทรงถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มและออกฉายในปีพุทธศักราช 2544

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าทันทีที่ภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยไท” ออกฉายเป็นที่ประจักษ์สายตาต่อผู้ชม คือจุดเริ่มต้นของบันทึกครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยที่เรียกได้ว่าเป็นย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติชีวิตการสร้างภาพยนตร์ของ “ท่านมุ้ย” ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นการเตรียมงานสร้าง ค้นคว้าข้อมูลหลักฐานต่างๆ ตลอดจนพงศาวดาร จดหมายเหตุ ย้อนกลับไปของประวัติศาสตร์ในอดีตตลอดช่วงระยเวลากว่า 4 ศตวรรษที่ดำเนินต่อเนื่องมาตราบจนปัจจุบันทั้งที่ได้รับการบันทึกและไม่เคยถูกบันทึกมาก่อนจากหลักฐานที่มีอยู่จริงที่เป็นลายลักษณ์อักษร คำบอกกล่าวหรือเรื่องราวที่มีการเล่าขานต่อเนื่องกันมาทั้งในประเทศและต่างประเทศทั้งในส่วนของไทยเอง พม่า ชนกลุ่มน้อยใหญ่ รวมไปถึงบันทึกของชาวตะวันตกที่ได้แวะเวียนเข้ามาในแต่ละช่วงเวลาในแต่ละยุคสมัยที่เอ่ยอ้างและกล่าวถึง “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” กษัตริย์นักรบวีรบุรุษผู้ห้าวหาญผู้ซึ่งรวบรวมปึกแผ่นผืนดินเป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับประกาศอิสรภาพความเป็นไทจนเกิดเป็นประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้

 

ยังไม่รวมกับการที่ท่านมุ้ยพร้อมด้วย “รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์” ที่ปรึกษาและผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์ได้ออกเดินทางตามรอยประวัติศาสตร์ออกสำรวจและเข้าไปสัมผัสในทุกพื้นที่และดินแดนต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นจริงเพื่อรวบรวมหลักฐานและเกร็ดข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อถกเถียง ตลอดจนสมมติฐานต่างๆ อันนำไปสู่การเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ไทยอิงประวัติศาสตร์ระดับตำนานเพื่อเตรียมเนรมิตรภาพในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยมีใครได้เคยเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวให้ออกมาใกล้เคียงความเป็นจริงในที่สุด ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการบันทึกว่าเป็นโปรเจกต์ภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าภาพยนตร์เรื่องใดในอดีตในทุกๆ ด้าน รวมทั้งผลงานระดับมาสเตอร์พีซก่อนหน้าของท่านอย่าง “สุริโยไท” นับตั้งแต่ทุนสร้าง จำนวนนักแสดงหลัก และนักแสดงสมทบ ตลอดจนบรรดาซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยมากที่สุดและนักแสดงสมทบที่ร่วมเข้าฉากมากมายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์จากจำนวนนับหมื่นคน ยังไม่รวมจำนวนช้างม้าวัวควายและสัตว์ต่างๆ ที่ต้องเข้าฉากอีกมากมาย

 

ภายหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยไท” เข้าฉาย หลังจากนั้น 3 ปีต่อมา “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคแรก” ที่ใช้ชื่อว่า “องค์ประกันหงสา” จึงได้เริ่มต้นทำเปิดกล้องถ่ายทำพร้อมด้วยพิธีบวงสรวงขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2547 ที่กองพลทหารราบที่ 9 (ค่ายสุรสีห์) ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรีที่ถูกเนรมิตให้เป็นเมืองอโยธยาเมื่อราว 400 กว่าปีก่อน โดยมี “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีบวงสรวงเปิดกล้องภาพยนตร์ และทรงทอดพระเนตรการถ่ายทำโดยมีนักแสดงเข้าร่วมฉากถ่ายทำกว่า 1,000 คน และหลังจากนั้นได้มีการถ่ายทำอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2558 ก่อเกิดเป็นภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่มาพร้อมด้วยจำนวนภาคต่อของภาพยนตร์ที่มีการถ่ายทำที่ตั้งใจไว้จากเดิม 3 ภาคกลายเป็น 6 ภาค โดยมีเหล่านักแสดงคุณภาพทุกรุ่นทั่วฟ้าเมืองไทยจากในอดีตจนถึงปัจจุบันร่วมเป็นส่วนหนึ่งและถ่ายทอดการแสดงในบทบาทและตัวละครต่างๆ ทั้งที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์และที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในภาพยนตร์

 

ด้วยระยะเวลาในการถ่ายทำยาวนานต่อเนื่องกว่า 14 ปี นับตั้งแต่การเริ่มต้นเตรียมงานสร้างและใช้เวลาในการถ่ายทำอย่างยาวนานกว่าทศวรรษ จาก “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช องค์ประกันหงสา” (18 ม.ค. 50) ปฐมบทของวีกรรมอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตามมาด้วยภาค 2 “ประกาศอิสรภาพ” (15 ก.พ. 50), ภาค 3 “ยุทธนาวี” (31 มี.ค. 54) ต่อเนื่องด้วยภาค 4 “ศึกนันทบุเรง” (11 ส.ค. 54) และภาค 5 “ยุทธหัตถี” (29 พ.ค. 57) จนกล่าวได้ว่า “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” คือภาพยนตร์ไทยเรื่องสุดท้ายที่ได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าใช้ระบบการถ่ายทำด้วยกล้องฟิล์มภาพยนตร์

 

King-Naresuan-6-Still02

King-Naresuan-6-Still03

 

สู่บทสรุปส่งท้ายแห่งอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

ของกษัตริย์นักรบยอดวีรบุรุษที่อยู่ในหัวใจ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช”

อันเป็นที่รัก เคารพ และศรัทธาของคนไทยมากว่า 4 ศตวรรษ

 

9 เมษายน 2558 “พร้อมมิตร โปรดักชั่น” และ “สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล” พร้อมแล้วที่จะนำผู้ชมและคนไทยทั้งแผ่นดินเดินทางย้อนเวลากว่า 4 ศตวรรษสู่บทสรุปของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา” ที่สร้างจากตำนานกษัตริย์วีรบุรุษนักรบไทยอันเป็นที่รักและศรัทธาของปวงชนชาวไทยมาอย่างยาวนาน เพื่อถ่ายทอดหลากหลายเรื่องราวในตำนานที่หลายคนไม่เคยรู้ บ้างยังคงเป็นที่ถกเถียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับอีกหลายศึกสงครามและข้อขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างไทยกับพม่าซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากอภิมหาศึกแห่งประวัติศาสตร์ยุทธหัตถีจบลง พระราชประวัติของพระนเรศวรที่ยังคงดำเนินต่อ ไม่ว่าจะเป็นการที่พระองค์ยังคงทรงออกศึกสมรภูมิรบกับอาณาจักรต่างๆ อีกหลายครั้งหลายคราก็เพื่อมวลประชาราษฎร์ของพระองค์ รวมไปถึงหลากหลายชะตากรรมชีวิตที่ยังคงดำเนินต่อของผู้คนในประวัติศาสตร์ที่อยู่รายล้อมรอบตัวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทั้งในฝั่งอโยธยาและนอกอาณาจักร การเปลี่ยนผ่านถ่ายอำนาจการปกครองจากอาณาจักรหงสาวดี ราชธานีของพม่าที่เคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่เหนือชมพูทวีปในอดีตที่กลับมลายหายสิ้นไปจากแผนที่ การล่มสลายของหงสาวดีและการก้าวขึ้นมาเรืองอำนาจของอาณาจักรใหม่ๆอย่างเกตุมวดีตองอู เหตุผลสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระนเรศวรต้องเปิดศึกครั้งใหม่ทั้งๆ ที่อโยธยาไม่เคยชักศึกไกลถึงหงสามาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้านันทบุเรงภายหลังจากสูญเสียพระมหาอุปราชาที่ทรงสวรรคตจากการศึกยุทธหัตถี หลากหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ว่ากันว่าชีวิตทหารไพร่พลพม่ารามัญนับหมื่นนับแสนที่พ่ายแพ้จากศึกในประวัติศาสตร์ล้วนตกต้องทัณฑ์มหันต์ถูกสั่งให้สุมไฟเผาทั้งเป็นรวมไปถึงวิบากกรรมที่พระสุพรรณกัลยาทรงรับไว้จากผลกระทบดังกล่าว นำไปสู่การสิ้นสุดในสถานภาพของการเป็นองค์ประกันหงสาอย่างแท้จริง และยังมีอีกหลากหลายเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การบุกเข้าตีตองอูของกองทัพอโยธยา รวมไปถึงการเสด็จสู่สวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฯลฯ

 

รวบรวมเหล่านักแสดงระดับตำนานถ่ายทอดการแสดงสุดเข้มข้นสู่บทสรุปส่งท้ายอันยิ่งใหญ่ “พันโทวันชนะ สวัสดี, จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์, นพชัย ชัยนาม, เกรซ  มหาดำรงค์กุล, ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ, พ.อ.วินธัย สุวารี, นาวาอากาศโทจงเจต วัชรานันท์, สรพงษ์ ชาตรี, ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง, พันโทคมกริช อินทรสุวรรณ, นภัสกร มิตรเอม” พร้อมด้วยเหล่านักแสดงระดับคุณภาพมาร่วมเพิ่มความเข้มข้นอย่างถึงขีดสุดในบทบาทของตัวละครที่เข้ามามีบทบาทใน “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา” ไม่ว่าจะเป็น “นิรุตติ์ ศิริจรรยา” (เมงเยสีหตู – เจ้าของนครเกตุมวดีตองอู), “สะอาด เปี่ยมพงษศ์สานต์”, “รัชนี ศิระเลิศ” (พระมเหสีผู้อยู่เคียงข้างเมงเยสีหตู / พระราชมารดาของนัดจินหน่อง), “เต็มฟ้า กฤษณายุธ” (เม้ยมะนิก – ราชธิดาที่มีเชื้อสายรามัญพม่าของศิริสุธรรมราชา เจ้าเมืองเมาะตะมะ ผู้ซึ่งนำชาวรามัญมาร่วมกับชาวอโธยาเพื่อรบกับพม่า), “รณ ฤทธิชัย” (เมงราชาญี – เจ้าเมืองยะไข่โจรสลัดที่ลอบตัดเสบียงและคร่าชีวิตชาวเมาะตะมะ), “ดามพ์ ดัสกร” (สีหรั่น – สหายรบคู่ใจของเมงราชาญี), “อรรถพร สุวรรณ”, “สมศักดิ์ แก้วลือ”,”ไกรลาศ เกรียงไกร” (พระยาลอ – ผู้สำเร็จราชการที่ถูกส่งมาปกครองเมืองเมาะตะมะ) ฯลฯ

 

“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา” กล่าวได้ว่าคือบทสรุปส่งท้ายอย่างสมบูรณ์ของโปรเจกต์ภาพยนตร์ไทยที่คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่จะถูกจารึกลงในบันทึกอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทยถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของกษัตริย์นักรบผู้อันเป็นที่เคารพรักและศรัทธาของปวงชนชาวไทยมาตลอด 4 ศตวรรษ ผู้รวบรวมผืนแผ่นดินอโยธยาให้เป็นไทยมาจนถึงทุกวันนี้ โดยถ่ายทอดบางส่วนของพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจนสิ้นราชการของพระองค์โดยจบลงที่พระองค์ทรงสวรรคต

 

พร้อมประจักษ์ทุกสายตากับอภิมหาภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ “หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล” กับภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหัวใจคนไทย “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อวสานหงสา” 9 เมษายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

 


นักแสดง

พันโท วันชนะ สวัสดี
นพชัย ชัยนาม
ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ
เกรซ มหาดำรงค์กุล
จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์
สรพงษ์ ชาตรี
พันเอก วินธัย สุวารี
ปราบต์ปฏล สุวรรณบาง
นาวาอากาศโท จงเจต วัชรานันท์
นิรุตติ์ ศิริจรรยา
รัชนี ศิระเลิศ
เต็มฟ้า กฤษณายุธ

ผู้กำกับ

หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล

โปสเตอร์ภาพยนตร์


ตัวอย่างภาพยนตร์ / คลิป


รูปภาพ